ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 52

นายหญิงซือรู้สึกชื่นชอบครอบครัวนี้มาก จึงพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “เชิญนั่งสิ เสวี่ยเอ๋อร์มานั่งตรงนี้”

เสวี่ยเอ๋อร์นั่งอยู่บนโซฟาอย่างเรียบร้อย เธอเอาสะโพกนั่งลงไปแค่ครึ่งเดียวและหัวเข่าสองข้างชิดกันพร้อมกับสองมือวางไว้บนตัก

อายุแค่นี้ก็มีกิริยางดงามสมดั่งเป็นลูกคุณหนูผู้ลากมากดี นายหญิงซือพยักหน้าอย่างพอใจเหมือนกับกำลังเลือกหลานสะใภ้เข้าบ้าน สีหน้ายิ้มแย้มชื่นชมอย่างไม่หยุด

พ่อแม่ของเสวี่ยเอ๋อร์ต่างรู้สึกดีใจอย่างมาก!

แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์พูดอย่างเสียงอ่อนโยนว่า “คุณชายซือหายดีหรือยังคะ?เมื่อวานฉันเห็นเขาในสภาพเลือดท่วมตัวแบบนั้น ฉันกับสามีก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จึงอยากจะมาเยี่ยมเยียมดูอาการสักหน่อย”

นายหญิงซือพูดตอบไปว่า “โชคดีที่ยังมีอวิ๋นไต้ซือ ซึ่งท่านได้ช่วยชีวิตอี้หรันฟื้นขึ้นมาได้แล้ว!”

แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์พูดอย่างตกใจว่า“อวิ๋นไต้ซือที่อยู่บนหิ้งเฉินหนงเหรอคะ?”

นายหญิงซือรู้สึกว่าแม่ของเสวี่ยเอ๋อร์คุยกับเธอถูกคอรู้เรื่อง จึงได้แต่พยักหน้าอย่างชอบใจ

“ใช่แล้วคะ!อวิ๋นไต้ซือช่างสมกับที่เป็นเซียนผู้สูงส่ง แม้แต่คนสิ้นลมหายใจไปแล้วอย่างอี้หรัน

อวิ๋นไต้ซือก็ยังสามารถดึงวิญญาณกลับจากประตูนรกขึ้นมาได้!”

แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์ทำหน้าตาอย่างประหลาดใจ “โอ้ เป็นเรื่องจริงหรือคะ?”

นายหญิงซือพูดอย่างมั่นใจว่า “จริงสิ!”

ทั้งสองคุยกันอย่างสนุกสนาน นายหญิงซือรู้สึกว่าได้เจอเพื่อนที่รู้ใจ

เพราะแม่ของเสวี่ยเอ๋อร์ก็ศรัทธาในตัวอวิ๋นไต้ซือเป็นอย่างมาก จึงฉวยโอกาสสักถามเรื่องราวต่างๆเพิ่มเติม

เมื่อคุยกันจนถึงสุดท้าย แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์ก็เอ่ยปากถามขึ้นว่า“พวกเราสามารถเข้าไปเยี่ยมคุณชายน้อยซือได้ไหมคะ?เมื่อวานเห็นเขาเลือดท่วมอย่างนั้น เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกเป็นห่วงมาก และบอกว่าจะต้องมาเห็นกับตาว่าคุณชายน้อยซูไม่เป็นอะไรแล้วถึงจะสบายใจได้ ฉันเองก็ยังต้องยอมแพ้ต่อความดื้อรั้นของเธอ... ”

นายหญิงซือยิ่งรู้สึกพอใจจนได้แต่พยักหน้า “ได้อยู่แล้วคะ”

เธอก็คือนายหญิงของตระกูลนี้ จะต้องขออนุญาตใครอีกล่ะ?

นายหญิงซือพาคนสองสามคนขึ้นไปบนบ้าน พร้อมกับใช้มือแตะที่คางและเอ่ยปากพูดว่า

“เสวี่ยเอ๋อร์ช่างมีความจริงใจ เป็นเด็กที่มีจิตใจดีงามเหลือเกิน!”

เด็กผู้หญิงคนนี้ดีจริง ดีจริงๆ ช่างเหมาะสมที่จะเป็นหลานสะใภ้ อืม!

นายหญิงซือรู้สึกประทับใจมาก จนพ่อแม่ของเสวี่ยเอ๋อร์ก็มองออกมาได้อย่างชัดเจนและรู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างยิ่ง!

ถ้าสามารถทำให้นายหญิงซือชื่นชอบ ต่อไปตระกูลของเราก็จะได้มีความรุ่งเรืองแล้ว!

ทันใดนั้นก็ยิ่งแสดงความกระตือรือร้นออกมา แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์ก้มตัวลงพร้อมกับใบหน้าที่เต็มด้วยรอยยิ้มได้ยื่นมือไปประคองนายหญิงซือขึ้นบนบ้าน

และในเวลานี้ ก็มีคนรับใช้เดินลากกระเป๋าสัมภาระออกมาสองสามใบ

นายหญิงซือแค่รู้สึกว่ากระเป๋าสัมภาระนั้นหน้าตาคุ้นๆ แต่ก็นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะโดนไล่ออกจากบ้าน

จึงขมวดคิ้วอย่างโมโหก่อนจะพูดว่า “พวกแกทำอะไรกัน?”

พ่อบ้านเอ่ยปากพูดอย่างรู้สึกอึดอัดใจว่า“นายหญิง คุณชายสั่งให้ท่านกลับชนบทครับ... ”

นายหญิงซือถามกลับอย่างไม่อยากจะเชื่อ “แกพูดอะไรนะ!?”

ตลกจริงๆ เธอเป็นญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ของซือเย่ และเป็นแม่ของเขา!

เขาจะส่งเธอกลับบ้านเกิดที่ชนบทได้ยังไง?

“เหลวไหล!ใครสั่งให้แกทำเรื่องพวกนี้ เวินหรูอวิ๋นใช่ไหม?!เรียกเธอออกมาหาฉันเดี๋ยวนี้!”

นายหญิงซือตะโกนด่าท่ออย่างเสียงดัง“คิดจะต่อต้านเหรอ ในสายตาไม่มีแม่สามีคนนี้อยู่อีกแล้วใช่ไหม

กล้าเอาชื่อลูกชายมาสวมรอยไล่ฉันออกไป!?คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหน!”

ซือเย่เปิดประตูเดินออกมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ผมเป็นคนสั่งเอง!”

นายหญิงซือถึงกับสำลักไปชั่วครู่ จากนั้นก็จ้องไปที่ซือเย่ “ แก แกหมายความว่ายังไง?

มีลูกที่ไหนทำกับแม่ตัวเองแบบนี้?”

ซือเย่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า“แม่อยู่ที่นี่มีแต่จะสร้างความวุ่นวายให้ครอบครัว ผมจึงอยากให้แม่ไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่ชนบท เรื่องราวในบ้านตระกูลซือแม่ไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวอีกต่อไป”

นายหญิงซือถึงกับอึ้งจนเงียบไป

เขาทำจริงหรือนี่!

เมื่อกี้ยังช่วยอี้หรันเลือกหลานสะใภ้อยู่เลย...ต่อหน้าพ่อแม่ของเสวี่ยเอ๋อร์ กลับถูกลูกชายของตัวเองไล่ออกจากบ้าน!

พ่อแม่ของเสวี่ยเอ๋อร์หันมามองหน้าสบตากัน

ที่แท้นายหญิงซือไม่ใช่คนที่ตัดสินใจเรื่องราวในตระกูลซือเหรอ...

เมื่อกี้อุตส่าห์เสียแรงประจบประแจง...

เมื่อเห็นสายตาพ่อแม่ของเสวี่ยเอ๋อร์ นายหญิงซือรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเหมือนโดนตบหน้ามาอย่างแรง!

“ก็ได้ ไอ้คนทรยศ……ฉันอุตส่าห์อุ้มชูเลี้ยงดูมาอย่างลำบากตรากตรำ……”

ไม่รอให้นายหญิงร้องไห้ปล่อยโฮออกมาก่อน ซือเย่ก็ส่งสายตากำชับพ่อบ้าน

พ่อบ้านรีบหาคนมาอีกสองสามคน เพื่อช่วยกันพาตัวนายหญิงขึ้นรถอย่างรวดเร็ว

เสียงประตูรถถูกปิดลงอย่างแรง มีคนใช้คนหนึ่งได้วิ่งมาอย่างรีบร้อน

และยื่นกระเป๋าหลุยส์วิตตองให้นายหญิงซือ

นายหญิงซือขว้างปาข้าวของและร้องไห้อย่างเสียงดัง

“แก แกจะบีบให้ฉันตายใช่ไหม...โอ๊ย หัวใจของฉัน โอ๊ย...ฉันหายใจไม่ออก…”

สีหน้าของซือเย่ไม่ตกใจเลยแม้แต่นิด พ่อบ้านจึงรีบสั่งให้คนขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อนายหญิงซือเห็นว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล ยิ่งทำให้เธอโมโหมากขึ้นจนเอากระเป๋าทุบตีประตูรถ

จากนั้นหน้าต่างก็โดนล็อคไว้ทันที

ความดันโลหิตของเธอสูงขึ้นมาจนทำให้รู้สึกสมองมึนๆ ทั้งโมโหทั้งตกใจและชอกช้ำใจ

เธอเป็นถึงแม่แท้ๆของซือเย่ เขาทำแบบนี้กับเธอได้ยังไง…!

แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์ก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า

“คุณซือคะ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันดีๆก็ได้....ถึงยังไงนายหญิงซือท่านก็เป็นแม่แท้ๆของคุณนะคะ…”

ซือเย่แสดงสีหน้าเยือกเย็นพร้อมกับเอ่ยปากพูดจาอย่างไม่ไว้หน้าว่า“เรื่องในบ้านของตระกูลซือไม่จำเป็นต้องให้คุณมาแสดงความคิดเห็น?ลุงจง เชิญพวกเขาออกไป”

พ่อของเสวี่ยเอ๋อร์หน้าซีดขึ้นมาทันที จนทำให้แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกอับอายไปด้วย

เสวี่ยเอ๋อร์เงยหน้าที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์ขึ้นมาจากนั้นก็พูดว่า “ลุงซือ เสวี่ยเอ๋อร์แค่รู้สึกเป็นห่วง…”

ซือเย่ยังไม่ทันได้ฟังก็หันหลังเดินไปแล้ว

เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกเสียใจอย่างมากได้แต่เม้มปากและน้ำตาคลอเบ้า...

ครอบครัวเสวี่ยเอ๋อร์ถูกไล่ออกมาจากบ้านตระกูลซืออย่างน่าอับอายและทุลักทุเล

“แม่คะ…”เสวี่ยเอ๋อร์ไม่เคยเจอเรื่องขายหน้าแบบนี้มาก่อน ฮือๆ เธอร้องไห้อย่างเสียใจ

ขณะที่แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์กำลังพูดปลอบใจเธออยู่ ก็ได้เหลือบไปเห็นของสิ่งหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้นจากนั้นก็หยิบขึ้นมาดู ที่แท้ก็เป็นการ์ดเชิญถังหมิงเซิ่งซื่อที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้

น่าจะร่วงหล่นลงมาในช่วงที่นายหญิงซือทุบตีหน้าต่างรถ...

แววตาของแม่เสวี่ยเอ๋อร์ก็เปล่งประกายขึ้นมา แล้วรีบหยิบการ์ดใบนั้นซ่อนเอาไว้

ไหนๆนายหญิงซือก็ถูกไล่ออกไปแล้ว พวกเขาก็สามารถเอาการ์ดเชิญใบนี้ไปร่วมงานในฐานะตัวแทนของนายหญิงซือ...

งานเปิดตัวส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยแขกเหรื่อที่มีหน้ามีตามาเข้าร่วม

ขอเพียงแค่ได้รู้จักกับใครสักคนในงาน ตระกูลหลานก็จะมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน

“ไป กลับกันเถอะ!” แม่ของเสวี่ยเอ๋อร์พูดอย่างเสียงเบา แล้วพากันกลับไปอย่างรีบร้อน

**

วันต่อมา

เสี่ยวอู่หมอบอยู่ที่ข้างหน้าต่างพร้อมกับร้องเพลงส่งเสียงดัง

“มือซ้ายชี้เดือน มือขวาดึงด้ายแดง อู้ๆๆ ฉันและเธอ อ้าๆๆ…”

เสียงสูงจนร้องไม่ไหว แม้แต่นกยังร้องเพี้ยน

ซู่เป่าลืมตาขึ้นแล้วกระพริบตาอย่างสะลึมสะลือ ดูแล้วช่างน่ารักไร้เดียงสา

“ใครกำลังเบ่งอึอยู่เหรอ?”

เบ่งไม่ออกใช่ไหม?ถึงได้ร้องเสียงหลงแบบนี้

เมื่อหันหน้าไปอีกฝั่ง ก็เห็นบนระเบียงฝั่งตรงข้ามมีเสี่ยวอู่กำลังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว

ซู่เป่ากระซิบพูดว่า“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นเสียงเสี่ยวอู่นี่เอง”

เสี่ยวอู่ตอบอย่างรวดเร็วว่า“ฉันไม่ได้กำลังเบ่งอึอยู่นะ!”

จี้ฉางกระตุกปากขึ้นมา

เหมือนไก่คุยกับเป็ด ถามอย่างตอบอย่างคุยยังไงก็ไม่รู้เรื่อง?

ทันทีที่ซู่เป่าลุกขึ้นมาจากเตียง ก็คิดถึงเรื่องที่จะไปเดินซื้อของกับลุงใหญ่

จึงรีบเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบเสื้อออกมาเลือกใส่

เธอเลือกชุดกระโปรงระบายสีชมพูที่น่ารักมาตัวหนึ่ง กระโปรงนี้มีผ้าชีฟองอยู่ชั้นนอกด้วย

และตกแต่งด้วยดอกเชอรี่เล็กๆ

ซู่เป่าฝึกเลือกเสื้อผ้าใส่ด้วยตัวเองมานานแล้ว เธอเลือกเสื้อแขนยาวเนื้อบางสำหรับใส่ไว้ด้านใน

จากนั้นก็จะสวมทับด้วยกระโปรงและกางเกงเลกกิ้งสีขาว

เมื่อเลือกเสื้อผ้าเข้าชุดกันดีแล้ว ที่เหลือก็คือต้องสวมใส่เข้าไปให้ได้

เมื่อเปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้ว ก็เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวพร้อมกับล้างหน้าแปรงฟัน

“ซู่เป่าเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว!”

หลังจากที่ซู่เป่าพูดกับตัวเองเสร็จก็สะพายกระเป๋าแล้วก็ไปเปิดประตูห้อง

ตึกๆๆ เดินลงจากบ้าน

เจ้าขาสั้นวิ่งอย่างรวดเร็ว

ซูอีเฉินนั่งรออยู่บนโซฟาชั้นล่าง และกำลังประชุมทางวีดีโอด้วยสีหน้าที่จริงจัง

เมื่อเห็นซู่เป่าวิ่งลงมาเขาก็ยืนขึ้นอย่างเป็นห่วงพร้อมกับพูดว่า “วิ่งช้าๆหน่อย!”

ซู่เป่าตอบกลับมาว่า “ลุงใหญ่ ซู่เป่าเตรียมตัวเสร็จแล้วคะ!”

เมื่อซูอีเฉินมองดูเวลาถึงกับต้องรู้สึกแปลกใจ

วันนี้คุณท่านซูกับนายหญิงซูไปทำกายภาพบำบัดที่เนอร์สซิงโฮม

ก่อนออกจากบ้านก็ได้กำชับไว้ว่าปกติแล้วซู่เป่าจะตื่นตอนเก้าโมงเช้า

ตอนนี้แค่แปดโมงเอง

“ไปกินข้าวเช้ากันเถอะ”

ซูอีเฉินให้ป้าอู๋ยกอาหารเช้ามาวาง ตัวเองก็ถือคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คมาวางที่ห้องครัวนั่งเป็นเพื่อนซู่เป่า

“แผนการของไตร่มาสที่สองเป็นยังไงบ้าง?” เขาทำหน้าเยือกเย็นพร้อมกับพูดจาอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์

ซึ่งในมือกำลังปอกไข่ต้มอยู่...

เขาเอาไข่ที่ปอกเสร็จแล้ววางในถ้วยซู่เป่า พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า“ตอนเช้าต้องกินไข่ต้มนะ”

ผู้บริหารระดับของซูซื่อกรุ๊ปต่างก็ไม่เคยเห็นภาพบรรยากาศแบบนี้มาก่อน

เฮ้ย เพชฌฆาตหน้าบึ้งถึงกับปอกไข่เป็นด้วย!ทั้งยังพูดจาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล?!

ส่วนเรื่องแผนการไตรมาสที่สอง ต่างก็มัวแต่ตะลึงจนลืมไปหมดเแล้ว

เมื่อซูอีเฉินหันหน้ากลับมา ก็เห็นทุกคนนิ่งเงียบอย่างตาค้าง จากนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนมาเคร่งขรึมเหมือนเดิม แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า“เป็นใบ้กันเหรอ?”

ผู้บริหารระดับสูงทุกคนต่างก็เริ่มรายงานแผนการ...

เมื่อผ่านไปไม่นานซู่เป่าก็กินอิ่มแล้ว ซูอีเฉินก็ได้จบการประชุมลงอย่างมีประสิทธิภาพ

“ไปกันเถอะ!” ซูอีเฉินจูงมือของซู่เป่าไว้

แล้วก็ได้พาเธอออกเดินทางโดยไม่มีการตรวจสอบทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน

ซึ่งถือก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชายที่พาเด็กไปข้างนอก

แม้ว่าซู่เป่าจะอยู่ในสภาพผมเผ้ารุงรังก็ตาม…

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน