ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 58

ซู่เป่ามองซืออี้หรันอย่างสงสัย

ท่าเดินของพี่ชายคนนี้ดูแปลกเป็นอย่างมาก หลังจากนั่งลงก็ทำท่าทางเคร่งขรึม มองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่

ซู่เป่าส่ายหน้า “นี่ กลายเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อยเลยเหรอ!”

ช่วงนี้มักมีคนบอกประจำว่าเธอ ‘อายุยังน้อย’ ก็ยังไงๆ ซู่เป่าจึงหยิบยกมาใช้ในทันที

ซืออี้หรัน “…”

เขาเม้มปาก ทันใดนั้นก็แบมือ “ให้เธอ”

ซู่เป่าก้มหน้ามอง ไม่นึกเลยว่าจะเห็นลูกอมผลไม้เม็ดหนึ่งอยู่ในฝ่ามือของเขาอยู่นิ่งๆ...

กระดาษแก้วใสห่อลูกอมที่มองทะลุได้ เผยให้เห็นลูกอมผลไม้สีชมพูด้านใน ดูเหมือนจะเป็นรสสตรอว์เบอร์รี

ซู่เป่าถามขึ้นว่า “ให้หนูเหรอ”

ซืออี้หรันพยักหน้า

ซู่เป่าคิด แล้วถามอีกว่า “มีเม็ดเดียวเหรอ ให้หนูโดยเฉพาะเหรอ”

เจ้าเด็กน้อยคิดว่าตัวถามให้ชัดเจนหน่อยก็ดี

เธอกับพี่อี้หรันเป็นเด็กกันอยู่สองคน ลูกอมมีเพียงเม็ดเดียว ไม่พอให้แบ่ง

ถ้าเธอกินไป จู่ๆ พี่อี้หรันร้องไห้โฮขึ้นมาจะทำยังไง

ซืออี้หรันเบือนศีรษะ ใบหน้าน้อยๆ เต็มไปด้วยความเย็นชา

เขาพูดชืดๆ ว่า “เปล่าหรอก เมื่อกี้ลวดหยิบมาตรงประตูน่ะ”

ซู่เป่าอ๋อขึ้นมาทีหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าซืออี้หรันไม่กิน จึงเอื้อมมือไปคว้าลูกอมผลไม้ขึ้นมา

การกระทำของเธอรวดเร็ว มิหนำซ้ำยังมองข้างๆ ทีหนึ่งอีกด้วย

ลุงใหญ่กับคุณอาซือกำลังพูดคุยกันอยู่

อาศัยจังหวะที่ผู้ใหญ่ไม่สนใจ เสี่ยวซู่เป่ารีบแกะห่อลูกอมออก จากนั้นโยนเข้าไปในปากอย่างรวดเร็ว

จากนั้นนั่งตัวตรง มือน้อยๆ วางไว้บนเข่า มองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่

ซืออี้หรัน “…”

เขาก้มมองฝ่ามือของตัวเอง

เมื่อกี้ตอนที่ซู่เป่าคว้าลูกอมไปอย่างรวดเร็ว นิ้วคว้าถูกฝ่ามือของเขา

รู้สึกราวกับท่าทางของเต่าที่บ้านเขากำลังเกาอยู่ในฝ่ามือของเขาอย่างนั้น...

“อร่อยไหม” เขาถามขึ้น

ซู่เป่าพยักหน้า “อร่อยมาก! ชู่...อย่าพูดเยอะ”

ถ้าลุงใหญ่รู้เข้า คงไม่ให้เธอกินแน่

ซืออี้หรันมองตรงไปข้างหน้า เงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างกระซิบกระซาบว่า “เธอกลัวลุงใหญ่ของเธอเหรอ”

ซู่เป่ากัดลูกอมผลไม้พลางพูดพึมพำว่า “ก็ไม่เชิงกลัวหรอก...แค่ฟันของหนูหักไปซี่หนึ่ง พวกลุงใหญ่กับคุณยายเขาเลยไม่อนุญาตให้หนูกินลูกอม”

ซืออี้หรัน “งั้นก็อย่ากิน”

ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้ว เขาก็ไม่ควรหยิบลูกอมให้เธอเลย

ซู่เป่ารีบอุดปากไว้ “เข้าปากซู่เป่าแล้ว ก็ไม่มีวันคายออกมาหรอก”

ซืออี้หรันแสยะยิ้มมุมปากทีหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ใช่ไม่มีเหตุผลให้ต้องคายออก”

คายออกมาอะไรกันล่ะ...

ซู่เป่าพยักหน้า “อืมๆ ! เข้าปากซู่เป่าแล้วก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องคายออก! ลูกอมหวานมากๆ ซู่เป่าชอบลูกอมที่สุดเลย”

ฉะนั้นจะให้เธอคายออกมาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

ถ้าถูกพบเข้า ต่อให้ต้องกลืนก็จะกลืนลงไป

ซืออี้หรันเหล่ตามองเธอทีหนึ่ง

เห็นเพียงแต่ใบหน้ากลมป๊อกของซู่เป่า ท่าทางแอบกินลูกอมราวกับกระต่ายน้อยแอบกินแครอทอย่างนั้น

อมลูกอมไว้ในปาก ปากน้อยๆ เบะขึ้นมา ทำแก้มป่องๆ สองข้างเผยให้เห็นบนใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ น่ารักเป็นอย่างมาก

ซืออี้หรันชักสายตากลับในทันใด

“วันนั้นขอบคุณเธอด้วยนะ” ใบหน้าน้อยๆ แสนเคร่งขรึมของเขา มองไปข้างหน้า

ซู่เป่ากำลังตั้งใจกินลูกอมอยู่ สัมผัสได้ถึงรสหวานที่กระจายไปทั่วทั้งปาก ทันใดนั้นก็ได้ยินซืออี้หรันพูดขอบคุณ จึงอึ้งไปชั่วขณะ

“ห๊ะ”

ซืออี้หรันไม่ได้พูดต่อ บนโพเดียม พิธีกรกำลังพูดบลาๆๆ ยกใหญ่

เขารู้สึกไม่น่าสนใจเลย จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปทางซู่เป่าอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะกินลูกอมหมดแล้ว เลียปากท่าทางเหมือนยังไม่หนำใจ

ซืออี้หรันถามขึ้นว่า “ทำไมเธอถึงชอบกินลูกอมขนาดนั้นล่ะ”

ซู่เป่ายกแก้วน้ำที่มีหลอดดูดของตัวเองขึ้นมาดื่มน้ำ พลางพูดขึ้นว่า “เพราะลูกอมมันหวานน่ะสิ! ชีวิตมันขม ลูกอมหวาน”

ซืออี้หรันอึ้ง ยากจะเชื่อว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากของซู่เป่า

ใบหน้าน้อยๆ ของเธอดูบริสุทธิ์อย่างชัดเจน ดวงตาทั้งสองกระพริบปริบๆ

“ก่อนหน้านี้ซู่เป่าถูกแม่เลี้ยงตี แล้วพ่อก็ไม่ฟังซู่เป่าอธิบายอีก ซู่เป่ารู้สึกเสียใจมากๆ”

ความเสียใจแบบนั้น รวมๆ แล้วคือรสชาติขมใช่ไหม

จากนั้นเธอก็็๋็็เก็บลูกอมเม็ดหนึ่งที่หล่นอยู่ใต้โซฟาได้อย่างไม่ทันระวัง ตอนนั้นเธอหิวมากๆ ทันใดนั้นเธอก็จำความหวานของลูกอมเม็ดนั้นเอาไว้

ซืออี้หรันเงียบไม่พูดอะไร แต่ภายในใจกลับจำคำพูดของซู่เป่าเอาไว้

จำไว้ว่าเธอชอบกินลูกอม...

บนโพเดียม พิธีกรก็ยังพูดบลาๆๆ

หลังพูดบลาๆๆ จบ ก็ถึงตาผู้รับผิดชอบของถังหมิงเซิ่งซื่อพูดบลาๆๆ ต่อ

ทุกคนต่างกะเวลา เพื่อเลื่อนการตัดริบบิ้นไปให้ถึงตอนสิบโมงสิบแปดนาที

ที่นั่งชมพิธี คนที่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่หลังเวทีเกิดก็อดไม่ได้ที่จะมองเวลา แค่รอให้ถึงสิบโมงสิบแปดนาที!

พวกเขาอยากจะดูว่า เวลานั้นจะมีแสงอันเป็นมงคลอะไรไหม

“เด็กน้อยก็แค่เล่นสนุกๆ...ตระกูลซูตามใจเด็กคนดีมาก ช่างเกินที่พวกเราจินตนาการไว้จริงๆ”

“แสงอันเป็นมงคล...ก็พูดมั่วเกินไปแล้ว”

“คุณว่าถ้าเป็นไต้ซือคนไหนพูดผมค่อยเชื่อหน่อย เด็กน้อยคนหนึ่งเนี่ยนะ อีกเดี๋ยวถ้ามีแสงโผล่อออกมาจริงๆ งั้นก็ให้ผมหัวโล้นไปเลย”

“ฮ่าๆ ประธานหวงโหดร้ายเกินไปหรือเปล่า!”

ทุกคนต่างกระซิบกระซาบกัน ล้วนอดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะ

เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครเชื่อคำของซู่เป่า กระทั่งคิดว่าเมื่อครู่ที่เธอทำท่าทางนับนิ้วคำนวณ ราวกับศาสดาตัวน้อยอย่างนั้น

และไม่รู้ว่าไปดูละครอะไรมา เลียนแบบมาใช่ไหม

ในที่สุดก็ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ทุกคนต่างเงียบและจ้องมองไปที่โพเดียม

“ในวันที่เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิ เต็มไปด้วยความยินดีปรีดา...เวลานี้ ขอให้พวกเราปรบมืออย่างอบอุ่นให้กับประธานถังแห่งถังหมิงเซิ่งซื่อและประธานซูแห่งซูซื่อกรุ๊ปขึ้นมาตัดริบบิ้นบนเวทีด้วยครับ!”

เมื่อซู่เป่าได้ยิน ก็ออกแรงปรบมือเต็มที่!

ซูอีเฉินจัดการกระดุมเล็กน้อย ลูบศีรษะของซู่เป่า “อยู่ตรงนี้กับอาชวีเสี่ยงอย่างเชื่อฟังนะ อย่าวิ่งมั่วล่ะ”

ซู่เป่า “อืมๆๆ!”

ราวกับเพื่อยืนยันว่าตัวเองจะไม่วิ่งมั่วซั่วอย่างแน่นอน ซู่เป่ายังหันหน้าไปคว้านิ้วของชวีเสี่ยงผู้ช่วยไว้อีกด้วย

ทันใดนั้นนิ้วของชวีเสี่ยงก็ถูกมือน้อยๆ จับเอาไว้ อึ้งก่อน จากนั้นค่อยมองเด็กน้อยน่ารักที่อยู่ตรงหน้า ในใจอดไม่ได้ที่จะอ่อนปวกเปียกขึ้นมา!

“ประธานซูวางใจเถอะครับ” ชวีเสี่ยงพูดขึ้น

ซูอีเฉินพยักหน้า แล้วเดินขึ้นเวทีไป

หลังเขาพูดเรียบๆ สองประโยค ผู้รับผิดชอบคนสำคัญต่างยืนอยู่ตรงหน้าริบบิ้น แล้วหยิบกรรไกรทองขึ้นมา

เมื่อเสียงสลุตดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีก็ปรบมือกันอย่างอบอุ่น กรรไกรทองมีเสียงฉับทีหนึ่ง จากนั้นก็ตัดzผ้าแพรแดงขาด

ในขณะนี้เอง พระอาทิตย์ก็อยู่ในตำแหน่งทางทิศตะวันออกของที่จัดงานพอดี แสงอาทิตย์ลอดผ่านหลังคาของที่จัดงานพอดีจนเกิดเป็นสายรุ้ง สะท้อนลงบนโพเดียม!

วินาทีนี้ โพเดียมที่มีลูกบอลเปิดงานเป็นศูนย์กลางก็ถูกปกคลุมอยู่ในแสงอันเป็นมงคลเจ็ดสี!

ซูอีเฉินหยุดชะงัก ยกมือขึ้นเพื่อมองเวลาตามสัญชาตญาณ เป็นเวลาสิบโมงสิบแปดนาทีพอดี!

ล่างเวทีต่างแตกตื่นกันยกใหญ่ มองแสงอันเป็นมงคลบนเวทีอย่างตกตะลึงและเหลือเชื่อ แล้วมองไปทางซู่เป่า

มีแสงอันเป็นมงคลจริงๆ !

คนที่เมื่อครู่ที่เพิ่งจะสาบานให้ตัวเองหัวล้านพึมพำอยู่กับตัวเอง “เป็นไปไม่ได้! ต้องวางแผนเอาไว้ก่อนหน้าแล้วแน่ๆ...”

คนข้างๆ เขาเองก็พูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว...ลี้ลับเกินไปแล้ว ต้องมีคนวางแผนไว้แน่...”

แต่พวกเขาเงยหน้าขึ้น มองไปทางที่แสงอันเป็นมงคลสาดส่องมา

แต่กลับไม่เห็นร่องรอยอะไรเลย มีเพียงแต่แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านแก้วเจ็ดสี จึงหักเหลงมาเป็นแสงอันเป็นมงคล

ซึ่งก็หมายความว่า เป็นความบังเอิญจริงๆ !

ทุกคนต่างหน้าชาไปตามๆ กัน...

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน