ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 67

เสวี่ยเอ๋อร์มองครูสองคนกำลังลุมล้อมที่ซู่เป่า ถึงภายนอกเธอจะยิ้มหัวเราะแหะ ๆ แต่ในใจกลับไม่สนุกด้วยแม้แต่น้อย

เธอยิ้มแล้วพูดขึ้นมา

“น้องซู่เป่า ไม่ถูกนะ 50 ลบ 50 เท่ากับ 0 100 ลบ 100 ก็เท่ากับ 0 70 ลบ 60 เท่ากับ 10 ดังนั้นอมยิ้มกับลูกอมผลไม้ถูกกินหมดแล้ว ยังเหลือแค่มาร์ชเมลโลว์ 10 ลูก ไม่ใช่เหลือแค่โรคเบาหวาน”

เสวี่ยเอ๋อร์ที่ตั้งใจจะโชว์ว่าตัวเองเก่งคณิต พูดจบก็จงใจหันไปหาครู ตั้งหน้าตั้งตารอคำชม

ทว่าครูกลับให้ความสนใจแต่ซู่เป่า ไม่มีใครตอบเสวี่ยเอ๋อร์เลย

เจ้าอ้วนที่อยู่ข้าง ๆ ยิ่งหัวเราะและตีโต๊ะไปด้วยราวกับคนบ้า

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เด็กเป็นเบาหวาน ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตลกมากเลย”

เพื่อนคนอื่น ๆ ก็พาหัวเราะกันใหญ่ พวกเขาล้อมวงหยอกล้อเล่นกับซู่เป่าอย่างสนุกสนาน

เสวี่ยเอ๋อร์มองไปยังซู่เป่าที่ถูกรายล้อมราวกับเดือนล้อมดาว และเมื่อสิ่งที่เธอพูดไปเมื่อกี้กลับไม่มีใครสนใจ

เธอจึงรู้สึกอาย และขายหน้าขึ้นมาทันใด...

ครูทั้งสองลูบไล้ศีรษะของซู่เป่า กำชับเธอว่าถ้าต้องการอะไรก็สามารถไปหาครูได้นะ จากนั้นก็เดินออกไป

เพื่อนในห้องก็รีบรายล้อมกันทันที มองดูเต่าของซู่เป่าที่อยู่บนโต๊ะ

“ซู่เป่า เธอทำไมถึงพาเต่ามาด้วย ทำไมถึงให้มันนอนอย่างนี้”

“เพราะว่าถ้าพลิกตัวกลับมา คุณปู่เต่าจะวิ่งหนีไปได้” ซู่เป่าอธิบาย

แล้วก็มีคนถามอีก “เอ๊ะ แล้วนกแก้วตัวเมื่อกี้ของเธอล่ะ”

ซู่เป่านั่งยอง ๆ หน้าโต๊ะหนังสือ พลางเอาหน้ากลม ๆ แนบไปที่ลิ้นชัก มองไปที่เสียวอู่ที่อยู่ข้างใน

“เสียวอู่อยู่ในนั้นไง มันกลัวคนแปลกหน้า”

“งั้นทำอย่างไรให้มันไม่กลัวล่ะ”

“มันกินขนมปังไหม”

“แล้วนกหงส์หยกสีเขียวมรกตล่ะ ได้ยินมาว่านกหงส์หยกฉลาดมาก ๆ”

พวกเพื่อน ๆ ต่างก็เลียนแบบท่าทางตามซู่เป่า บ้างก็นั่งยอง ๆ บ้างก็คุกเข่า ก้มลงไปดูนกแก้วที่อยู่ในลิ้นชักด้วยความตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็น

ซู่เป่ามาแค่แปปเดียวก็เป็นที่รักของทุก ๆ คนแล้ว

เสวี่ยเอ๋อร์ที่นั่งโต๊ะเดียวกัน ตอนนี้ถูกเบียดไปอยู่อีกด้าน

เธอรู้สึกโกรธมาก

แต่ก่อนตอนเลิกเรียน ทุกคนชอบมานั่งลุมล้อมคุยเล่นกับเธอ

ทว่าตอนนี้ทุกคนกลับไปหาซู่เป่ากันหมด

ไม่ใช่แค่เสวี่ยเอ๋อร์ แต่ยังมีซูเหอเวิ่นอีกคนที่กำลังรู้สึกไม่ค่อยชอบใจนัก

ไม่รู้ว่าเป็นไปได้อย่างไร ซู่เป่าเดิมทีควรจะเป็นเด็กที่น่ารำคาญสิถึงจะถูก แต่เธอกลับถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน แม้แต่พี่ชายของเธอคนนี้ยังไม่มาหาเลย

ซูเหอเวิ่นก็รู้สึกไม่ชอบใจ!

เขาเก็บหนังสือเสียงดังตึงตัง

เสวี่ยเอ๋อร์ได้ยินก็หันไปมอง แล้วเดินไปที่ซูเหอเวิ่น

“พี่เหอเวิ่น ทุกคนชอบซู่เป่ามากๆเลย ซู่เป่ารู้จักพูด ไม่เหมือนเสวี่ยเอ๋อร์พูดจาไม่เป็น...”

เสวี่ยเอ๋อร์แอบคิด ซูเหอเวิ่นก็คงไม่ชอบซู่เป่า

หลังจากที่เธอพูดไปแบบนั้น ซูเหอเวิ่นต้องตอบว่า เด็กอย่างซู่เป่ามีอะไรให้น่าชอบงั้นเหรอ ฉันชอบแบบเธอมากกว่า

คาดไม่ถึง ซู่เหอเวิ่นเด็กน้อยคลั่งวิทยาศาสตร์เขามุ่งมั่นแน่วแน่ในเส้นทางนี้มาตั้งแต่เล็ก ได้แหกหน้าความจอมปลอมของเสวี่ยเอ๋อร์

“ทำอะไร เธอเพิ่งจะกี่ขวบกลับทำหน้าซื่อตาใสได้แล้วเหรอ อย่ามาเสแสร้งต่อหน้าฉัน”

“……”

ตาเธอเริ่มแดง

“พี่เหอเวิ่น ทะ ทำไม พี่พูดกับฉันขนาดนี้”

ซูเหอเวิ่นตอบกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์

“ไสหัวไป!”

ซูเหอเวิ่นต่างจากพี่ชายของเขา

พี่ชายของเขาซูเหอเหวิน เด็กน้อยสายศิลป์ที่มีความอ่อนโยนแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์นิด ๆ และใช่ นี่คืออคติที่ซูเหอเวิ่นมีต่อคนสายศิลป์

คราวก่อนที่ไปตั้งแคมป์ เสวี่ยเอ๋อร์ไปเกาะแกะพี่ชายของเขา พี่ชายเขาก็ยังรักษามารยาท แต่ซูเหอเวิ่นกลับรู้สึกว่าไม่สมกับเป็นชายชาตรี

ชายชาตรีที่แท้จริง ต้องอย่างเขานี่

ซูเหอเวิ่นมองเสวี่ยเอ๋อร์ด้วยสายตาเย็นชา อดไม่ไหวที่จะพูดออกไป

“เธอจะไสหัวไปได้แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ไสหัวไป ฉันจะไล่เธอเอง”

เสวี่ยเอ๋อร์กัดริมฝีปาก แล้วเดินออกไปหน้าละห้อย

นี่ก็คือเหตุผลที่ที่ผ่านมาเธอไม่อยากเข้าใกล้ซูเหอเวิ่น ถึงแม้เธอกับเขาจะเรียนอยู่ห้องเดียวกัน

เสวี่ยเอ๋อร์ที่จะกลับมานั่งที่เดิมพบว่าคนที่รายล้อมซู่เป่ากลับเยอะขึ้น พวกเขาดูสนุกสนานหยอกล้อซู่เป่า เจ้าอ้วนนั่นถึงขนาดแย่งที่นั่งของเธอ

กริ่งสัญญาณเข้าเรียนดังพอดี เสวี่ยเอ๋อร์เดินไป แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“เข้าเรียนแล้ว ทุกคนรีบกลับไปนั่งที่เดิม!”

เพื่อน ๆ กลับไปนั่งที่ตัวเองอย่างอาลัยอาวรณ์

หมดคาบเรียนไม่ถึงสิบนาที ซู่เป่าก็รู้จักเพื่อนเยอะเลย เธอดีใจมาก!

คาบนี้เป็นวิชาภาษาอังกฤษ ซู่เป่าฟังไม่เข้าใจจริง ๆ ขณะเดียวกันก็มีคนเตะเก้าอี้ของซู่เป่า

เธอหันหลังไปมองอย่างประหลาดใจ ก็เห็นเพื่อนโต๊ะข้างหลังส่งกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ให้เธอ

“ซู่เป่า เธอกินข้าวหรือยัง เอ่อ ถ้ายังไม่กิน อีกสักพักไปกินน่องไก่ด้วยกันไหม”

จี้ฉางยิ้มมุมปาก

เขาขยับเข้าไปใกล้ๆ เห็นบนกระดาษเขียนไว้ว่า

‘สู้เป่าตอนหมดคาบเรียนพาเต่ากับนกแก้วของเธอไปเล่นด่านนอกกันไหมฉันขอลูบนกแก้วนิดหนึ่งได้ไหม

เด็ก ป.1 ยังเขียนหนังสือได้ไม่หมด บางคำเลยเขียนผิด ๆ ถูก ๆ

จี้ฉางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

ซู่เป่าควานหาของในกระเป๋า แล้วหยิบดินสอ

เธอฟุบลงที่โต๊ะตั้งหน้าตั้งตาจะเขียนตอบกลับ

“ได้เลย ฉันก็ชอบกินน่องไก่ เดี๋ยวไปกินน่องไก่กัน”

จี้ฉางมองปากของเธอที่กำลังสะกดคำ แต่บนกระดาษกลับวาดภาพน่องไก่สองน่องแบบหวัด ๆ

เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เอามือลูบคางพลางมองซู่เป่าที่กำลังพับกระดาษ แล้วส่งกลับไปให้เพื่อนที่อยู่ข้างหลัง

เสวี่ยเอ๋อร์วางสองมือลงบนโต๊ะ นั่งหลังตรง ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้น

“ครูคะ ถังจื่อหางกับซู่เป่าส่งกระดาษให้กันตอนครูสอนค่ะ”

เธอรู้ว่าครูสอนภาษาอังกฤษเป็นคนที่เข้มงวด ครูเกลียดมากเวลาสอนแล้วมีคนส่งกระดาษ ดังนั้นซู่เป่าต้องโดนด่าแน่นอน

ในใจเสวี่ยเอ๋อร์เต็มไปด้วยความดีใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกมาคือสีหน้าแห่งความยุติธรรม

ครูที่กำลังบรรยายอยู่ด้านบนเวทีถูกขัดจังหวะ มองมายังซู่เป่าและเพื่อนผู้ชายด้านหลังเธอ

ครูสอนภาษาอังกฤษเข้มงวดคนนี้ เธอเป็นหญิงวัยกลางคน สวมแว่นตากรอบสีดำ และกำลังเดินตรงลงมาข้างล่าง

เธอยื่นมือออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

“หยิบออกมา!”

ถังจื่อหางหน้าซีดเป็นไก่ต้ม นำกระดาษที่อยู่ในมือส่งให้ครูสอนภาษาอังกฤษ

ครูคลี่กระดาษออกมา กวาดตาดูบนกระดาษ สายตาก็จ้องมาที่ซู่เป่า

“ซู่เป่า ใครให้เธอนำสัตว์เลี้ยงมาที่โรงเรียน”

ครูสอนภาษาอังกฤษเป็นหญิงวัยกลางคนที่มีนิสัยแปลกประหลาด ตั้งแต่ถูกจับได้ว่าติดสินบน ก็คอยอ้างกฎกติกาอยู่ตลอดเวลา แถมไม่พอใจอะไรก็ด่า ไม่ชอบพวกคณะกรรมการโรงเรียนที่ชอบประจบสอพลอผู้ถือหุ้นรายใหญ่ตระกูลซู

ดังนั้น แม้ว่าเมื่อเช้าในที่ประชุมคณะกรรมการโรงเรียน จะให้พวกครูดูแลซู่เป่าอย่างดีเป็นพิเศษ

แต่ว่าไม่ใช่เธอ

ทั้งระดับชั้น ไม่ว่าจะกี่ห้องวิชาภาษาอังกฤษที่เธอสอนก็ได้คะแนนดีที่สุดในโรงเรียน คะแนนคือทุกสิ่ง ดั้งนั้น เธอจึงมีความภูมิใจเป็นทุนเดิม

“หยิบของของเธอออกมา แล้วออกไปยืนด้านนอก” ครูสอนภาษาอังกฤษก้มหน้ามองซู่เป่า

ซู่เป่าไม่เคยเข้าเรียนมาก่อน ก็เลยรู้เท่าไม่ถึงการณ์แต่ก็สำนึกได้ว่าตัวเองผิด

ที่แท้เวลาเข้าเรียนยื่นกระดาษให้กันไม่ได้นี่เอง

“ครูคะ หนู...”

พูดยังไม่ทันจบ ครูก็หยิบไม้บรรทัดตีลงบนโต๊ะด้านหน้าของซู่เป่า แล้วพูดอย่างเยือกเย็น

“ฉันไม่สนว่าเธอจะเป็นลูกหลานของตระกูลไหน! บ้านรวยแค่ไหน! แต่อยู่ในคาบเรียนของฉัน ก็ต้องปฏิบัติตามกฎของฉัน!”

“……”

เธอแค่อยากจะขอโทษเท่านั้นเอง

ทว่าเพียงมองไปที่ครูท่านนี้ เธอก็เลิกคิ้วขึ้น โหนกแก้มสูง ๆ ริมฝีปากบาง ๆ แต่กลับซีดเซียว

เธอยังจำที่ท่านอาจารย์พูดได้ หน้าตาแบบนี้เป็นใบหน้าของคนจิตใจดำ

ซู่เป่าจึงไม่ได้พยายามจะขอโทษอีก เธอสะพายกระเป๋าหนังสือ แล้วก็อุ้มนกแก้วกับเต่าออกไปข้างนอก

ถังจื่อหางมุดหน้าลง ไม่แม้แต่จะกล้าคัดค้านใด ๆ เดินตามออกไปรับการลงโทษด้วยเช่นกัน

เสวี่ยเอ๋อร์ดีใจจนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา

เฮ้อ~

นึกว่าซู่เป่าจะเจ๋งแค่ไหนเชียว ดูสิ ก็ถูกทำโทษเหมือนกัน

เธอคิดว่าที่นี่เป็นตระกูลซูเหรอ ดูเอาสิ ตอนอยู่นอกบ้าน เธอก็ไม่ได้ดีเด่ไปกว่าคนอื่นหรอก!

เสวี่ยเอ๋อร์เม้มปากดีใจ ดวงตาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่กลับไม่รู้เลยว่าผีร้ายที่อยู่บนหัวของเธอสูดลมหายใจเข้าไปหนึ่งเฮือก ยิ้มเยาะสะใจ ทันใดนั้นก็อ้าปากกัดไปที่บริเวณคอของเธอ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน