เสวี่ยเอ๋อร์มองครูสองคนกำลังลุมล้อมที่ซู่เป่า ถึงภายนอกเธอจะยิ้มหัวเราะแหะ ๆ แต่ในใจกลับไม่สนุกด้วยแม้แต่น้อย
เธอยิ้มแล้วพูดขึ้นมา
“น้องซู่เป่า ไม่ถูกนะ 50 ลบ 50 เท่ากับ 0 100 ลบ 100 ก็เท่ากับ 0 70 ลบ 60 เท่ากับ 10 ดังนั้นอมยิ้มกับลูกอมผลไม้ถูกกินหมดแล้ว ยังเหลือแค่มาร์ชเมลโลว์ 10 ลูก ไม่ใช่เหลือแค่โรคเบาหวาน”
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ตั้งใจจะโชว์ว่าตัวเองเก่งคณิต พูดจบก็จงใจหันไปหาครู ตั้งหน้าตั้งตารอคำชม
ทว่าครูกลับให้ความสนใจแต่ซู่เป่า ไม่มีใครตอบเสวี่ยเอ๋อร์เลย
เจ้าอ้วนที่อยู่ข้าง ๆ ยิ่งหัวเราะและตีโต๊ะไปด้วยราวกับคนบ้า
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เด็กเป็นเบาหวาน ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตลกมากเลย”
เพื่อนคนอื่น ๆ ก็พาหัวเราะกันใหญ่ พวกเขาล้อมวงหยอกล้อเล่นกับซู่เป่าอย่างสนุกสนาน
เสวี่ยเอ๋อร์มองไปยังซู่เป่าที่ถูกรายล้อมราวกับเดือนล้อมดาว และเมื่อสิ่งที่เธอพูดไปเมื่อกี้กลับไม่มีใครสนใจ
เธอจึงรู้สึกอาย และขายหน้าขึ้นมาทันใด...
ครูทั้งสองลูบไล้ศีรษะของซู่เป่า กำชับเธอว่าถ้าต้องการอะไรก็สามารถไปหาครูได้นะ จากนั้นก็เดินออกไป
เพื่อนในห้องก็รีบรายล้อมกันทันที มองดูเต่าของซู่เป่าที่อยู่บนโต๊ะ
“ซู่เป่า เธอทำไมถึงพาเต่ามาด้วย ทำไมถึงให้มันนอนอย่างนี้”
“เพราะว่าถ้าพลิกตัวกลับมา คุณปู่เต่าจะวิ่งหนีไปได้” ซู่เป่าอธิบาย
แล้วก็มีคนถามอีก “เอ๊ะ แล้วนกแก้วตัวเมื่อกี้ของเธอล่ะ”
ซู่เป่านั่งยอง ๆ หน้าโต๊ะหนังสือ พลางเอาหน้ากลม ๆ แนบไปที่ลิ้นชัก มองไปที่เสียวอู่ที่อยู่ข้างใน
“เสียวอู่อยู่ในนั้นไง มันกลัวคนแปลกหน้า”
“งั้นทำอย่างไรให้มันไม่กลัวล่ะ”
“มันกินขนมปังไหม”
“แล้วนกหงส์หยกสีเขียวมรกตล่ะ ได้ยินมาว่านกหงส์หยกฉลาดมาก ๆ”
พวกเพื่อน ๆ ต่างก็เลียนแบบท่าทางตามซู่เป่า บ้างก็นั่งยอง ๆ บ้างก็คุกเข่า ก้มลงไปดูนกแก้วที่อยู่ในลิ้นชักด้วยความตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็น
ซู่เป่ามาแค่แปปเดียวก็เป็นที่รักของทุก ๆ คนแล้ว
เสวี่ยเอ๋อร์ที่นั่งโต๊ะเดียวกัน ตอนนี้ถูกเบียดไปอยู่อีกด้าน
เธอรู้สึกโกรธมาก
แต่ก่อนตอนเลิกเรียน ทุกคนชอบมานั่งลุมล้อมคุยเล่นกับเธอ
ทว่าตอนนี้ทุกคนกลับไปหาซู่เป่ากันหมด
ไม่ใช่แค่เสวี่ยเอ๋อร์ แต่ยังมีซูเหอเวิ่นอีกคนที่กำลังรู้สึกไม่ค่อยชอบใจนัก
ไม่รู้ว่าเป็นไปได้อย่างไร ซู่เป่าเดิมทีควรจะเป็นเด็กที่น่ารำคาญสิถึงจะถูก แต่เธอกลับถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน แม้แต่พี่ชายของเธอคนนี้ยังไม่มาหาเลย
ซูเหอเวิ่นก็รู้สึกไม่ชอบใจ!
เขาเก็บหนังสือเสียงดังตึงตัง
เสวี่ยเอ๋อร์ได้ยินก็หันไปมอง แล้วเดินไปที่ซูเหอเวิ่น
“พี่เหอเวิ่น ทุกคนชอบซู่เป่ามากๆเลย ซู่เป่ารู้จักพูด ไม่เหมือนเสวี่ยเอ๋อร์พูดจาไม่เป็น...”
เสวี่ยเอ๋อร์แอบคิด ซูเหอเวิ่นก็คงไม่ชอบซู่เป่า
หลังจากที่เธอพูดไปแบบนั้น ซูเหอเวิ่นต้องตอบว่า เด็กอย่างซู่เป่ามีอะไรให้น่าชอบงั้นเหรอ ฉันชอบแบบเธอมากกว่า
คาดไม่ถึง ซู่เหอเวิ่นเด็กน้อยคลั่งวิทยาศาสตร์เขามุ่งมั่นแน่วแน่ในเส้นทางนี้มาตั้งแต่เล็ก ได้แหกหน้าความจอมปลอมของเสวี่ยเอ๋อร์
“ทำอะไร เธอเพิ่งจะกี่ขวบกลับทำหน้าซื่อตาใสได้แล้วเหรอ อย่ามาเสแสร้งต่อหน้าฉัน”
“……”
ตาเธอเริ่มแดง
“พี่เหอเวิ่น ทะ ทำไม พี่พูดกับฉันขนาดนี้”
ซูเหอเวิ่นตอบกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์
“ไสหัวไป!”
ซูเหอเวิ่นต่างจากพี่ชายของเขา
พี่ชายของเขาซูเหอเหวิน เด็กน้อยสายศิลป์ที่มีความอ่อนโยนแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์นิด ๆ และใช่ นี่คืออคติที่ซูเหอเวิ่นมีต่อคนสายศิลป์
คราวก่อนที่ไปตั้งแคมป์ เสวี่ยเอ๋อร์ไปเกาะแกะพี่ชายของเขา พี่ชายเขาก็ยังรักษามารยาท แต่ซูเหอเวิ่นกลับรู้สึกว่าไม่สมกับเป็นชายชาตรี
ชายชาตรีที่แท้จริง ต้องอย่างเขานี่
ซูเหอเวิ่นมองเสวี่ยเอ๋อร์ด้วยสายตาเย็นชา อดไม่ไหวที่จะพูดออกไป
“เธอจะไสหัวไปได้แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ไสหัวไป ฉันจะไล่เธอเอง”
เสวี่ยเอ๋อร์กัดริมฝีปาก แล้วเดินออกไปหน้าละห้อย
นี่ก็คือเหตุผลที่ที่ผ่านมาเธอไม่อยากเข้าใกล้ซูเหอเวิ่น ถึงแม้เธอกับเขาจะเรียนอยู่ห้องเดียวกัน
เสวี่ยเอ๋อร์ที่จะกลับมานั่งที่เดิมพบว่าคนที่รายล้อมซู่เป่ากลับเยอะขึ้น พวกเขาดูสนุกสนานหยอกล้อซู่เป่า เจ้าอ้วนนั่นถึงขนาดแย่งที่นั่งของเธอ
กริ่งสัญญาณเข้าเรียนดังพอดี เสวี่ยเอ๋อร์เดินไป แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“เข้าเรียนแล้ว ทุกคนรีบกลับไปนั่งที่เดิม!”
เพื่อน ๆ กลับไปนั่งที่ตัวเองอย่างอาลัยอาวรณ์
หมดคาบเรียนไม่ถึงสิบนาที ซู่เป่าก็รู้จักเพื่อนเยอะเลย เธอดีใจมาก!
คาบนี้เป็นวิชาภาษาอังกฤษ ซู่เป่าฟังไม่เข้าใจจริง ๆ ขณะเดียวกันก็มีคนเตะเก้าอี้ของซู่เป่า
เธอหันหลังไปมองอย่างประหลาดใจ ก็เห็นเพื่อนโต๊ะข้างหลังส่งกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ให้เธอ
“ซู่เป่า เธอกินข้าวหรือยัง เอ่อ ถ้ายังไม่กิน อีกสักพักไปกินน่องไก่ด้วยกันไหม”
จี้ฉางยิ้มมุมปาก
เขาขยับเข้าไปใกล้ๆ เห็นบนกระดาษเขียนไว้ว่า
‘สู้เป่าตอนหมดคาบเรียนพาเต่ากับนกแก้วของเธอไปเล่นด่านนอกกันไหมฉันขอลูบนกแก้วนิดหนึ่งได้ไหม
เด็ก ป.1 ยังเขียนหนังสือได้ไม่หมด บางคำเลยเขียนผิด ๆ ถูก ๆ
จี้ฉางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ซู่เป่าควานหาของในกระเป๋า แล้วหยิบดินสอ
เธอฟุบลงที่โต๊ะตั้งหน้าตั้งตาจะเขียนตอบกลับ
“ได้เลย ฉันก็ชอบกินน่องไก่ เดี๋ยวไปกินน่องไก่กัน”
จี้ฉางมองปากของเธอที่กำลังสะกดคำ แต่บนกระดาษกลับวาดภาพน่องไก่สองน่องแบบหวัด ๆ
เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เอามือลูบคางพลางมองซู่เป่าที่กำลังพับกระดาษ แล้วส่งกลับไปให้เพื่อนที่อยู่ข้างหลัง
เสวี่ยเอ๋อร์วางสองมือลงบนโต๊ะ นั่งหลังตรง ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้น
“ครูคะ ถังจื่อหางกับซู่เป่าส่งกระดาษให้กันตอนครูสอนค่ะ”
เธอรู้ว่าครูสอนภาษาอังกฤษเป็นคนที่เข้มงวด ครูเกลียดมากเวลาสอนแล้วมีคนส่งกระดาษ ดังนั้นซู่เป่าต้องโดนด่าแน่นอน
ในใจเสวี่ยเอ๋อร์เต็มไปด้วยความดีใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกมาคือสีหน้าแห่งความยุติธรรม
ครูที่กำลังบรรยายอยู่ด้านบนเวทีถูกขัดจังหวะ มองมายังซู่เป่าและเพื่อนผู้ชายด้านหลังเธอ
ครูสอนภาษาอังกฤษเข้มงวดคนนี้ เธอเป็นหญิงวัยกลางคน สวมแว่นตากรอบสีดำ และกำลังเดินตรงลงมาข้างล่าง
เธอยื่นมือออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“หยิบออกมา!”
ถังจื่อหางหน้าซีดเป็นไก่ต้ม นำกระดาษที่อยู่ในมือส่งให้ครูสอนภาษาอังกฤษ
ครูคลี่กระดาษออกมา กวาดตาดูบนกระดาษ สายตาก็จ้องมาที่ซู่เป่า
“ซู่เป่า ใครให้เธอนำสัตว์เลี้ยงมาที่โรงเรียน”
ครูสอนภาษาอังกฤษเป็นหญิงวัยกลางคนที่มีนิสัยแปลกประหลาด ตั้งแต่ถูกจับได้ว่าติดสินบน ก็คอยอ้างกฎกติกาอยู่ตลอดเวลา แถมไม่พอใจอะไรก็ด่า ไม่ชอบพวกคณะกรรมการโรงเรียนที่ชอบประจบสอพลอผู้ถือหุ้นรายใหญ่ตระกูลซู
ดังนั้น แม้ว่าเมื่อเช้าในที่ประชุมคณะกรรมการโรงเรียน จะให้พวกครูดูแลซู่เป่าอย่างดีเป็นพิเศษ
แต่ว่าไม่ใช่เธอ
ทั้งระดับชั้น ไม่ว่าจะกี่ห้องวิชาภาษาอังกฤษที่เธอสอนก็ได้คะแนนดีที่สุดในโรงเรียน คะแนนคือทุกสิ่ง ดั้งนั้น เธอจึงมีความภูมิใจเป็นทุนเดิม
“หยิบของของเธอออกมา แล้วออกไปยืนด้านนอก” ครูสอนภาษาอังกฤษก้มหน้ามองซู่เป่า
ซู่เป่าไม่เคยเข้าเรียนมาก่อน ก็เลยรู้เท่าไม่ถึงการณ์แต่ก็สำนึกได้ว่าตัวเองผิด
ที่แท้เวลาเข้าเรียนยื่นกระดาษให้กันไม่ได้นี่เอง
“ครูคะ หนู...”
พูดยังไม่ทันจบ ครูก็หยิบไม้บรรทัดตีลงบนโต๊ะด้านหน้าของซู่เป่า แล้วพูดอย่างเยือกเย็น
“ฉันไม่สนว่าเธอจะเป็นลูกหลานของตระกูลไหน! บ้านรวยแค่ไหน! แต่อยู่ในคาบเรียนของฉัน ก็ต้องปฏิบัติตามกฎของฉัน!”
“……”
เธอแค่อยากจะขอโทษเท่านั้นเอง
ทว่าเพียงมองไปที่ครูท่านนี้ เธอก็เลิกคิ้วขึ้น โหนกแก้มสูง ๆ ริมฝีปากบาง ๆ แต่กลับซีดเซียว
เธอยังจำที่ท่านอาจารย์พูดได้ หน้าตาแบบนี้เป็นใบหน้าของคนจิตใจดำ
ซู่เป่าจึงไม่ได้พยายามจะขอโทษอีก เธอสะพายกระเป๋าหนังสือ แล้วก็อุ้มนกแก้วกับเต่าออกไปข้างนอก
ถังจื่อหางมุดหน้าลง ไม่แม้แต่จะกล้าคัดค้านใด ๆ เดินตามออกไปรับการลงโทษด้วยเช่นกัน
เสวี่ยเอ๋อร์ดีใจจนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
เฮ้อ~
นึกว่าซู่เป่าจะเจ๋งแค่ไหนเชียว ดูสิ ก็ถูกทำโทษเหมือนกัน
เธอคิดว่าที่นี่เป็นตระกูลซูเหรอ ดูเอาสิ ตอนอยู่นอกบ้าน เธอก็ไม่ได้ดีเด่ไปกว่าคนอื่นหรอก!
เสวี่ยเอ๋อร์เม้มปากดีใจ ดวงตาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่กลับไม่รู้เลยว่าผีร้ายที่อยู่บนหัวของเธอสูดลมหายใจเข้าไปหนึ่งเฮือก ยิ้มเยาะสะใจ ทันใดนั้นก็อ้าปากกัดไปที่บริเวณคอของเธอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน
สนุกค่ะ รออัพตอนใหม่อยู่นะคะ...
สนุกค่ะ อ่านได้เรื่อยๆ...
ยังมีใครอ่านอยู่ไหมค่ะเนี่ย ไม่รู้ตัวเอกเป็นยมบาลหรืออันธพาล ใครอ่านอยู่มาคุยกันค่ะ...
เสียดายเวลาที่อ่านมานานก็เลยพยายามอดทนอ่านต่อไปเรื่อยถ้าเนื้อเรื่องยังเป็นแบบนี้สักวันคงเลิกอ่านจริงๆอ่ะ...
อ้าว...ยัยแก่ มหาภัย ยังไงกันหะ อยู่ไปจะมาทำร้าย คุณพี่ชายซูจื่อซี ได้ไง...แกต้องโดนท่านยมบาลน้อย ชำระความ....
ชื่อเรื่อง "ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน" ไอ้เราก็นึกว่า ชีวิตใหม่ที่ว่าคือชีวิตที่ได้เจอคนรอบครัว มีตายายและลุงๆที่รักยัยหนู...แค่นั้น ที่ไหนได้ ที่แท้ชีวิตใหม่คือเป็นมือจับผีตัวน้อย...
🧐รอๆๆๆ...
เป้ยเฉินอวี่ เธอชอบ ซูอีเฉินของฉันไม่ได้!.... รออัพเดตนะค่ะ กำลังสนุก pleaseee...
มีผีร้ายเพิ่มอีกตัว.... ขอบคุณมากค่ะแอดมิน...
เย้ๆ ท่านหญิงซูเดินได้แล้ว ลุ้นๆแม่ของซูเป่าจะจำอดีตได้มั๊ยน๊า ขอบคุณมากค่ะแอดมิน...