ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 69

น้ำลายใสๆเกือบจะย้อยลงบนหน้าของซูเหอเวิ่นแล้ว

เขาทำท่าทางแบบไม่อยากเข้าใกล้ “ไม่ต้องขอบคุณแล้ว รีบกินซะ”

พลางหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปากให้ซู่เป่าด้วยความขะยักแขยง

ไม่ใช่เพราะว่าเขาคลั่งไคล้เธอ แต่ถ้าปล่อยให้คนอื่นเห็นน้องสาวของตัวเองน้ำลายไหลอย่างนี้ *-*

เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

ซู่เป่าเริ่มกินกรุบ ๆ กรับ ๆ

ซูเหอเวิ่นก็ไม่รู้ว่าเขากลายเป็นพนักงานบริการลวกกุ้ง แกะกุ้งให้น้องสาวตั้งแต่เมื่อไหร่ ตัวเขาเองเพิ่งจะกินได้ไม่กี่คำ

ซู่เป่ากินไปก็รู้สึกเกรงใจ “พี่คะ กินนี่...”

ซู่เหอเวิ่นอารมณ์ไม่จอย “กินของเธอไปเลย ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน รีบ ๆ กินเข้า อีกเดี๋ยวก็คาบสี่ วิชาภาษาจีนแล้ว”

“อืมอืมอืม!”

แต่ว่า เหมือนว่าพี่เหอเวิ่นไม่ชอบวิชาภาษาจีนใช่ไม่ใช่เหรอ

ซู่เป่าจำได้ว่าพี่เหอเหวินชอบอ่านหนังสือ ชอบวิชาภาษาจีน

ส่วนพี่เหอเวิ่นชอบพวกวิชาที่มีตัวเลขแปลก ๆ แล้วยังชอบฝึกคิดเลขในสมุดอีกด้วย

ซู่เป่ากินอย่างมีความสุข

ด้านเสวี่ยเอ๋อร์ที่ไม่มีซู่เป่ากับจี้ฉางคอยเฝ้า เจ้าวิญญาณชั่วร้ายก็กำเริบเสิบสานไม่เกรงใจใคร

เสวี่ยเอ๋อร์นั่งตัวตรงอยู่ที่เดิม กลับรู้สึกล้าราวกับว่ากำลังมีภูเขาขนาดมหึมากดทับไว้

ขณะนั้นเธอก็รู้สึกว่าเก้าอี้เธอถูกเตะจึงหันหน้าไปดู

เพื่อนที่อยู่ด้านหลังตกใจ พูดเสียงต่ำ “เสวี่ยเอ๋อร์ เธอไม่เป็นไรใช่ไหม เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ”

เสวี่ยเอ๋อร์ส่ายหน้า กำลังจะหันกลับมาก็ถูกเพื่อนข้างหลังเตะที่ขาเก้าอี้ ก่อนจะยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้

เธอเปิดดู บนกระดาษมีตัวอักษรที่ถูกเขียนขึ้นมาคดซ้ายคดขวาไม่เป็นแถวเป็นแนว

‘เสวี่ยเอ๋อร์ ฉันอยากจะบอกอะไรกับเธอสักหนึ่งประโยค ถึงแม้ว่าลูบล่างหน้าตาฉันจะไม่หล่อเหลา

แต่จิตใจของฉันดีมากนะ รู้ไว้ว่าเธอคือผู้หญิงคนเดียวในใจฉัน ฉันไม่สามาดชอบใครได้แล้ว

เพราะว่า I LOVE YOU (ป.ล. รักนะ ไม่ได้ชอบ) จากหลิวจื่อซิน

(ถ้าเธอรับรัก ก็เซ็นชื่อตรงนี้ได้เลยนะ..........)’

หลิวจื่อซินก็คือเด็กผู้ชายตัวเล็กที่นั่งอยู่แถวสุดท้ายของห้องสอง

เด็กน้อย ป.1 ยังไม่รู้จักคำว่า ‘ป๊อปปี้เลิฟ’ เพียงแต่รู้สึกอยากรู้อยากเห็น กระดาษก็เขียนมาแบบหน่อมแน้ม ถึงขนาดที่ว่าตัวหนังสือบางตัวยังเขียนผิด ๆ ถูก ๆ

เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ชอบหลิวจื่อซิน แต่เธอก็ไม่บอกให้ชัดเจน กลับเขียนตอบไปบนกระดาษว่า ‘ตั้งใจเรียนหนังสือ ครูหันมามองแล้ว’

เขียนเสร็จก็รีบขยำกระดาษไว้ในมือ

ทันใดนั้นวิญญาณที่อยู่บนหลังของเธอกลับหัวเราะแล้วบอกเธอว่า “มีคนมาชอบเป็นเรื่องที่น่ายินดีจะตาย มา หยิบกระดาษแล้วยกมือขึ้น บอกกับทุกคนไปเลยว่าหลิวจื่อซินมาสารภาพรักกับเธอ”

ร่องรอยความตื่นเต้นปรากฏในแววตาของเสวี่ยเอ๋อร์ เธอยกมือขึ้นแล้วพูดเสียงดัง

“ครูคะ หลิวจื่อซินส่งกระดาษมาให้ค่ะ”

หลิวจื่อซินที่นั่งอยู่แถวสุดท้ายลุกลี้ลุกลนจนทำปากกาที่อยู่ในมือตกบนพื้น

“ยังจะมีคนกล้าส่งกระดาษอีกเหรอ” ครูฟาดหนังสือที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ

เธอเพิ่งจะถูกซูเหอเวิ่นทำให้โกรธไม่ทันหาย นี่ยังมีคนกล้าทำอีกเหรอ

เสวี่ยเอ๋อร์เปิดกระดาษออกมา แล้วพูดเสียงดัง

“หลิวจื่อซินเขียนมาว่า เสวี่ยเอ๋อร์ ฉันอยากจะบอกอะไรกับเธอสักหนึ่งประโยค.... ไอ เลิฟ ยู.... ”

เธออ่านทุก ๆ คำที่อยู่บนกระดาษอย่างไม่ตกหล่นสักตัวอักษร อ่านจบก็เชิดหน้าขึ้นราวกับนกยูงรำแพนหาง

เพื่อนในห้องพากันหัวเราะกันยกใหญ่ หลังจากนั้นก็ทยอยเข้ามาปลอบหลิวจื่อซิน

เจ้าอ้วนนี่ยิ่งหัวเราะดังกว่าเพื่อน หัวเราะจนเป็นคนสุดท้าย เอานิ้วบีบจมูกทำท่าเหม็นความรักก่อนจะพูด

“เพราะว่า ไอ เลิฟ ยู แปลว่ารัก ไม่ได้แปลว่าชอบ”

เพื่อน ๆ ยิ่งพากันหัวเราะดังกว่าเดิม

ครูพูดเสียงเย็นชา “หลิวจื่อซินออกไปยืนข้างนอก! พรุ่งนี้เรียกผู้ปกครองมาพบด้วย!”

“เป็นเด็กเป็นเล็กมาพูดเรื่องความรงความรัก เด็กแบบเธอน่ะฉันเจอมาเยอะแล้ว โตไปก็คงไม่มีอะไรดีหรอก ไม่เป็นพวกเศษเดนมนุษย์ก็เป็นได้แค่พวกเศษขยะ”

เธอระเบิดความโกรธออกมาราวกับภูเขาไฟที่กำลังปะทุ

หลิวจื่อซินหน้าซีด มองไปยังเสวี่ยเอ๋อร์ด้วยความโกรธแค้น ไม่พูดอะไรสักแอะ ก่อนจะเดินออกไป

เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังอยู่ข้างๆหูของเขา นี่คงจะเป็นเงามืดที่อยู่ภายในจิตใจของเขาอีกนานยากที่จะลืมเลือนได้

เสวี่ยเอ๋อร์กลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่น้อย

เจ้าผีนั่นเพียงแค่มีผลต่อความทะนงตัวของเธอ แต่กลับไม่ได้ส่งผลกับความรู้สึกผิดของเธอ เธอจึงไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดกับสิ่งที่ทำลงไปกับหลิวจื่อซิน

ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน เสวี่ยเอ๋อร์ก็รู้พึงพอใจขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด มุมปากเธอเผยออกปรากฏรอยยิ้มแปลกพิกล…

แล้วกริ่งสัญญาณหมดเวลาก็ดังขึ้น ครูหวังกินเวลาคาบนี้ไปกว่าเจ็ดนาที ถึงจะหยิบหนังสือแล้วเดินออกไป

เพื่อนในห้องกรูกันเข้ามารุมล้อม

“เอ่อ เสวี่ยเอ๋อร์ หลิวจื่อซินชอบเธอตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

“ฮ่า ๆ หลิวจื่อซินหน้าตาดูไม่ได้ เขาก็แค่คางคกที่อยากจะกินเนื้อหงส์”

“แต่จะว่าไป มีหลายคนเลยนะที่ชอบเสวี่ยเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าจดหมายรักกองเต็มลิ้นชักหมดแล้วเหรอ”

เสวี่ยเอ๋อร์พูดอย่างถ่อมตัว “มีที่ไหนกันล่ะ”

ถึงอย่างนั้นเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งก็จัดการรื้อจดหมายรักจากในลิ้นชักของเธอออกมาจนหมด

พูดถึงจดหมายรัก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกเศษกระดาษเล็ก ๆ ลูกสมุนของเธออ่านไปก็พากันหัวเราะคิกคัก

ด้านนอกทางเดิน พวกเด็กผู้ชายกำลังรุมล้อมหัวเราะเยาะหลิวจื่อซิน เขาเอาแต่ก้มหน้าหนี รู้สึกขายขี้หน้าสุด ๆ

เจ้าอ้วนที่ยืนเกาะอยู่ตรงขอบหน้าต่างก็ส่งเสียง ยะฮู้ว โห่ลั่น ในขณะที่พวกเด็กผู้ชายกำลังพากันหัวเราะคิกคักอยู่ ทันใดนั้นก็เห็นว่าเสวี่ยเอ๋อร์ให้คนอื่นเอาจดหมายในลิ้นชักออกมาจนหมด

โดยปกติเสวี่ยเอ๋อร์จะชอบแต่งตัวโทนสีขาวสะอาดตา หน้าตาก็ดี พูดจาอ่อนหวาน เปรียบเสมือนดาวประจำห้อง

พวกเด็ก ๆ ผู้ชายต่างก็ชอบเธอ แน่นอนว่าต้องมีคนเคยแอบเขียนจดหมายรักส่งให้เธอ

เด็กผู้ชายสองคนที่เพิ่งจะล้อหลิวจื่อซินตอนนี้กลับยิ้มไม่ออกแล้ว

พวกเขาหน้าถอดสี ชั่วขณะก็พบว่าเสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่ได้น่ารักอย่างที่คิด แถมยังรู้สึกเกลียดด้วยนิดหน่อย!

เสวี่ยเอ๋อร์แสร้งพูด “พอได้แล้ว พวกเธอนี่น่าเบื่อจัง! ฉันไม่มีทางที่จะมีความสัมพันธ์อะไรกับพวกเขาหรอก”

ลูกสมุนของเธอช่วยเสริม “ใช่ ๆ เสวี่ยเอ๋อร์ของพวกเราเป็นถึงคู่หมั้นของตระกูลซือ อนาคตก็จะเป็นคุณนายหญิงซือเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลซือ”

เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้ปฏิเสธ เธอก็ยอมรับไปโดยปริยายท่ามกลางความตกใจของทุกคน ความทะนงตัวภายในจิตใจเธอทำให้เธอล่องลอยไปไกลสุดขีด

หารู้ไม่ เจ้าผีที่เกาะอยู่บนหลังเธอตอนนี้ก็พองตัวขึ้นจนสุดขีดเช่นกัน

จี้ฉางกลับมาเห็นแบบนี้

“โอ้โห ขยายใหญ่ขึ้นอีกแล้วเหรอ”

นี่เขาดูดกินไอความชั่วร้ายทะนงตัวมาได้เยอะแค่ไหนเนี่ย

จี้ฉางส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว

เสวี่ยเอ๋อร์เป็นแค่เด็กน้อย ไม่ได้มีร่างกายและพละกำลังเหมือนผู้ใหญ่ ถ้าความเร็วในการดูดกินของเจ้าผีร้ายตนนี้ยังคงที่อยู่แบบนี้อีกละก็ อีกไม่เกินสองวันเสวี่ยเอ๋อร์ต้องตายแน่ ๆ

เมื่อเสวี่ยเอ๋อร์ตาย เจ้าผีร้ายก็จะครองร่างแทน พอถึงตอนนั้นเสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่ใช่เสวี่ยเอ๋อร์คนเดิมอีกต่อไป แต่เป็นเจ้าผีร้ายแทน!

ผีร้ายที่มาแทนเจ้าของร่างเดิม ก็จะยิ่งทวีความอำมหิตขึ้น ดังนั้นเราจึงต้องจัดการมันก่อนที่มันจะช่วงชิงร่างได้

“เป๋าน้อยไปไหนแล้ว…”

จี้ฉางเดินพลางก็บ่นไป

ในห้องพักครู

ครูที่ปรึกษาสอนเสร็จก็ดื่มน้ำ ก่อนจะถามขึ้น

“ครูหวัง สอนมาเมื่อกี้เป็นอย่างไรบ้าง ราบรื่นดีไหม”

ครูหวังกลืนชาเขียวลงคอไปหนึ่งอึก ก็บ่นพึมพำในลำคอ

ซู่เป่าเป็นเด็กที่คณะกรรมการโรงเรียนต้องระมัดระวัง ถึงแม้เธอไม่ได้บ้าอำนาจ แต่ก็ไม่ได้อยากถูกตามสอบสวนทีหลัง

ครูที่ปรึกษาถามขึ้นอีก

“ซู่เป่าไม่ดื้อใช่เปล่า”

ครูหวังค่อย ๆ พูดพลางยิ้มเย้ยหยัน

“เด็กสี่ขวบ จะไปมีระเบียบวินัยอะไร”

ขณะเดียวกันครูอีกคนก็กลับมา “เอ๊ะ ทำไมไม่เห็นซู่เป่าแล้วล่ะ”

ครูที่ปรึกษาออกไปดูบ้าง ก็ไม่เจอซู่เป่ากับซูเหอเวิ่น รีบกลับมาถามหาจากครูหวัง

ครูหวังขมวดคิ้ว “ฉันจะรู้ได้อย่างไร เลิกเรียนแล้วจะไปรู้เหรอว่าไปเล่นอยู่ที่ไหน เด็กเล็ก ๆ อย่างนี้ชอบแต่จะเล่น โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ อีกอย่างก็ไม่ใช่โรงเรียนอนุบาล หรือว่าต้องให้ฉันคอยเดินตามตูดตลอดเหรอ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน