น้ำลายใสๆเกือบจะย้อยลงบนหน้าของซูเหอเวิ่นแล้ว
เขาทำท่าทางแบบไม่อยากเข้าใกล้ “ไม่ต้องขอบคุณแล้ว รีบกินซะ”
พลางหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปากให้ซู่เป่าด้วยความขะยักแขยง
ไม่ใช่เพราะว่าเขาคลั่งไคล้เธอ แต่ถ้าปล่อยให้คนอื่นเห็นน้องสาวของตัวเองน้ำลายไหลอย่างนี้ *-*
เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ซู่เป่าเริ่มกินกรุบ ๆ กรับ ๆ
ซูเหอเวิ่นก็ไม่รู้ว่าเขากลายเป็นพนักงานบริการลวกกุ้ง แกะกุ้งให้น้องสาวตั้งแต่เมื่อไหร่ ตัวเขาเองเพิ่งจะกินได้ไม่กี่คำ
ซู่เป่ากินไปก็รู้สึกเกรงใจ “พี่คะ กินนี่...”
ซู่เหอเวิ่นอารมณ์ไม่จอย “กินของเธอไปเลย ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน รีบ ๆ กินเข้า อีกเดี๋ยวก็คาบสี่ วิชาภาษาจีนแล้ว”
“อืมอืมอืม!”
แต่ว่า เหมือนว่าพี่เหอเวิ่นไม่ชอบวิชาภาษาจีนใช่ไม่ใช่เหรอ
ซู่เป่าจำได้ว่าพี่เหอเหวินชอบอ่านหนังสือ ชอบวิชาภาษาจีน
ส่วนพี่เหอเวิ่นชอบพวกวิชาที่มีตัวเลขแปลก ๆ แล้วยังชอบฝึกคิดเลขในสมุดอีกด้วย
ซู่เป่ากินอย่างมีความสุข
ด้านเสวี่ยเอ๋อร์ที่ไม่มีซู่เป่ากับจี้ฉางคอยเฝ้า เจ้าวิญญาณชั่วร้ายก็กำเริบเสิบสานไม่เกรงใจใคร
เสวี่ยเอ๋อร์นั่งตัวตรงอยู่ที่เดิม กลับรู้สึกล้าราวกับว่ากำลังมีภูเขาขนาดมหึมากดทับไว้
ขณะนั้นเธอก็รู้สึกว่าเก้าอี้เธอถูกเตะจึงหันหน้าไปดู
เพื่อนที่อยู่ด้านหลังตกใจ พูดเสียงต่ำ “เสวี่ยเอ๋อร์ เธอไม่เป็นไรใช่ไหม เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ”
เสวี่ยเอ๋อร์ส่ายหน้า กำลังจะหันกลับมาก็ถูกเพื่อนข้างหลังเตะที่ขาเก้าอี้ ก่อนจะยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้
เธอเปิดดู บนกระดาษมีตัวอักษรที่ถูกเขียนขึ้นมาคดซ้ายคดขวาไม่เป็นแถวเป็นแนว
‘เสวี่ยเอ๋อร์ ฉันอยากจะบอกอะไรกับเธอสักหนึ่งประโยค ถึงแม้ว่าลูบล่างหน้าตาฉันจะไม่หล่อเหลา
แต่จิตใจของฉันดีมากนะ รู้ไว้ว่าเธอคือผู้หญิงคนเดียวในใจฉัน ฉันไม่สามาดชอบใครได้แล้ว
เพราะว่า I LOVE YOU (ป.ล. รักนะ ไม่ได้ชอบ) จากหลิวจื่อซิน
(ถ้าเธอรับรัก ก็เซ็นชื่อตรงนี้ได้เลยนะ..........)’
หลิวจื่อซินก็คือเด็กผู้ชายตัวเล็กที่นั่งอยู่แถวสุดท้ายของห้องสอง
เด็กน้อย ป.1 ยังไม่รู้จักคำว่า ‘ป๊อปปี้เลิฟ’ เพียงแต่รู้สึกอยากรู้อยากเห็น กระดาษก็เขียนมาแบบหน่อมแน้ม ถึงขนาดที่ว่าตัวหนังสือบางตัวยังเขียนผิด ๆ ถูก ๆ
เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ชอบหลิวจื่อซิน แต่เธอก็ไม่บอกให้ชัดเจน กลับเขียนตอบไปบนกระดาษว่า ‘ตั้งใจเรียนหนังสือ ครูหันมามองแล้ว’
เขียนเสร็จก็รีบขยำกระดาษไว้ในมือ
ทันใดนั้นวิญญาณที่อยู่บนหลังของเธอกลับหัวเราะแล้วบอกเธอว่า “มีคนมาชอบเป็นเรื่องที่น่ายินดีจะตาย มา หยิบกระดาษแล้วยกมือขึ้น บอกกับทุกคนไปเลยว่าหลิวจื่อซินมาสารภาพรักกับเธอ”
ร่องรอยความตื่นเต้นปรากฏในแววตาของเสวี่ยเอ๋อร์ เธอยกมือขึ้นแล้วพูดเสียงดัง
“ครูคะ หลิวจื่อซินส่งกระดาษมาให้ค่ะ”
หลิวจื่อซินที่นั่งอยู่แถวสุดท้ายลุกลี้ลุกลนจนทำปากกาที่อยู่ในมือตกบนพื้น
“ยังจะมีคนกล้าส่งกระดาษอีกเหรอ” ครูฟาดหนังสือที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ
เธอเพิ่งจะถูกซูเหอเวิ่นทำให้โกรธไม่ทันหาย นี่ยังมีคนกล้าทำอีกเหรอ
เสวี่ยเอ๋อร์เปิดกระดาษออกมา แล้วพูดเสียงดัง
“หลิวจื่อซินเขียนมาว่า เสวี่ยเอ๋อร์ ฉันอยากจะบอกอะไรกับเธอสักหนึ่งประโยค.... ไอ เลิฟ ยู.... ”
เธออ่านทุก ๆ คำที่อยู่บนกระดาษอย่างไม่ตกหล่นสักตัวอักษร อ่านจบก็เชิดหน้าขึ้นราวกับนกยูงรำแพนหาง
เพื่อนในห้องพากันหัวเราะกันยกใหญ่ หลังจากนั้นก็ทยอยเข้ามาปลอบหลิวจื่อซิน
เจ้าอ้วนนี่ยิ่งหัวเราะดังกว่าเพื่อน หัวเราะจนเป็นคนสุดท้าย เอานิ้วบีบจมูกทำท่าเหม็นความรักก่อนจะพูด
“เพราะว่า ไอ เลิฟ ยู แปลว่ารัก ไม่ได้แปลว่าชอบ”
เพื่อน ๆ ยิ่งพากันหัวเราะดังกว่าเดิม
ครูพูดเสียงเย็นชา “หลิวจื่อซินออกไปยืนข้างนอก! พรุ่งนี้เรียกผู้ปกครองมาพบด้วย!”
“เป็นเด็กเป็นเล็กมาพูดเรื่องความรงความรัก เด็กแบบเธอน่ะฉันเจอมาเยอะแล้ว โตไปก็คงไม่มีอะไรดีหรอก ไม่เป็นพวกเศษเดนมนุษย์ก็เป็นได้แค่พวกเศษขยะ”
เธอระเบิดความโกรธออกมาราวกับภูเขาไฟที่กำลังปะทุ
หลิวจื่อซินหน้าซีด มองไปยังเสวี่ยเอ๋อร์ด้วยความโกรธแค้น ไม่พูดอะไรสักแอะ ก่อนจะเดินออกไป
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังอยู่ข้างๆหูของเขา นี่คงจะเป็นเงามืดที่อยู่ภายในจิตใจของเขาอีกนานยากที่จะลืมเลือนได้
เสวี่ยเอ๋อร์กลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
เจ้าผีนั่นเพียงแค่มีผลต่อความทะนงตัวของเธอ แต่กลับไม่ได้ส่งผลกับความรู้สึกผิดของเธอ เธอจึงไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดกับสิ่งที่ทำลงไปกับหลิวจื่อซิน
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน เสวี่ยเอ๋อร์ก็รู้พึงพอใจขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด มุมปากเธอเผยออกปรากฏรอยยิ้มแปลกพิกล…
แล้วกริ่งสัญญาณหมดเวลาก็ดังขึ้น ครูหวังกินเวลาคาบนี้ไปกว่าเจ็ดนาที ถึงจะหยิบหนังสือแล้วเดินออกไป
เพื่อนในห้องกรูกันเข้ามารุมล้อม
“เอ่อ เสวี่ยเอ๋อร์ หลิวจื่อซินชอบเธอตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“ฮ่า ๆ หลิวจื่อซินหน้าตาดูไม่ได้ เขาก็แค่คางคกที่อยากจะกินเนื้อหงส์”
“แต่จะว่าไป มีหลายคนเลยนะที่ชอบเสวี่ยเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าจดหมายรักกองเต็มลิ้นชักหมดแล้วเหรอ”
เสวี่ยเอ๋อร์พูดอย่างถ่อมตัว “มีที่ไหนกันล่ะ”
ถึงอย่างนั้นเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งก็จัดการรื้อจดหมายรักจากในลิ้นชักของเธอออกมาจนหมด
พูดถึงจดหมายรัก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกเศษกระดาษเล็ก ๆ ลูกสมุนของเธออ่านไปก็พากันหัวเราะคิกคัก
ด้านนอกทางเดิน พวกเด็กผู้ชายกำลังรุมล้อมหัวเราะเยาะหลิวจื่อซิน เขาเอาแต่ก้มหน้าหนี รู้สึกขายขี้หน้าสุด ๆ
เจ้าอ้วนที่ยืนเกาะอยู่ตรงขอบหน้าต่างก็ส่งเสียง ยะฮู้ว โห่ลั่น ในขณะที่พวกเด็กผู้ชายกำลังพากันหัวเราะคิกคักอยู่ ทันใดนั้นก็เห็นว่าเสวี่ยเอ๋อร์ให้คนอื่นเอาจดหมายในลิ้นชักออกมาจนหมด
โดยปกติเสวี่ยเอ๋อร์จะชอบแต่งตัวโทนสีขาวสะอาดตา หน้าตาก็ดี พูดจาอ่อนหวาน เปรียบเสมือนดาวประจำห้อง
พวกเด็ก ๆ ผู้ชายต่างก็ชอบเธอ แน่นอนว่าต้องมีคนเคยแอบเขียนจดหมายรักส่งให้เธอ
เด็กผู้ชายสองคนที่เพิ่งจะล้อหลิวจื่อซินตอนนี้กลับยิ้มไม่ออกแล้ว
พวกเขาหน้าถอดสี ชั่วขณะก็พบว่าเสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่ได้น่ารักอย่างที่คิด แถมยังรู้สึกเกลียดด้วยนิดหน่อย!
เสวี่ยเอ๋อร์แสร้งพูด “พอได้แล้ว พวกเธอนี่น่าเบื่อจัง! ฉันไม่มีทางที่จะมีความสัมพันธ์อะไรกับพวกเขาหรอก”
ลูกสมุนของเธอช่วยเสริม “ใช่ ๆ เสวี่ยเอ๋อร์ของพวกเราเป็นถึงคู่หมั้นของตระกูลซือ อนาคตก็จะเป็นคุณนายหญิงซือเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลซือ”
เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้ปฏิเสธ เธอก็ยอมรับไปโดยปริยายท่ามกลางความตกใจของทุกคน ความทะนงตัวภายในจิตใจเธอทำให้เธอล่องลอยไปไกลสุดขีด
หารู้ไม่ เจ้าผีที่เกาะอยู่บนหลังเธอตอนนี้ก็พองตัวขึ้นจนสุดขีดเช่นกัน
จี้ฉางกลับมาเห็นแบบนี้
“โอ้โห ขยายใหญ่ขึ้นอีกแล้วเหรอ”
นี่เขาดูดกินไอความชั่วร้ายทะนงตัวมาได้เยอะแค่ไหนเนี่ย
จี้ฉางส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว
เสวี่ยเอ๋อร์เป็นแค่เด็กน้อย ไม่ได้มีร่างกายและพละกำลังเหมือนผู้ใหญ่ ถ้าความเร็วในการดูดกินของเจ้าผีร้ายตนนี้ยังคงที่อยู่แบบนี้อีกละก็ อีกไม่เกินสองวันเสวี่ยเอ๋อร์ต้องตายแน่ ๆ
เมื่อเสวี่ยเอ๋อร์ตาย เจ้าผีร้ายก็จะครองร่างแทน พอถึงตอนนั้นเสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่ใช่เสวี่ยเอ๋อร์คนเดิมอีกต่อไป แต่เป็นเจ้าผีร้ายแทน!
ผีร้ายที่มาแทนเจ้าของร่างเดิม ก็จะยิ่งทวีความอำมหิตขึ้น ดังนั้นเราจึงต้องจัดการมันก่อนที่มันจะช่วงชิงร่างได้
“เป๋าน้อยไปไหนแล้ว…”
จี้ฉางเดินพลางก็บ่นไป
ในห้องพักครู
ครูที่ปรึกษาสอนเสร็จก็ดื่มน้ำ ก่อนจะถามขึ้น
“ครูหวัง สอนมาเมื่อกี้เป็นอย่างไรบ้าง ราบรื่นดีไหม”
ครูหวังกลืนชาเขียวลงคอไปหนึ่งอึก ก็บ่นพึมพำในลำคอ
ซู่เป่าเป็นเด็กที่คณะกรรมการโรงเรียนต้องระมัดระวัง ถึงแม้เธอไม่ได้บ้าอำนาจ แต่ก็ไม่ได้อยากถูกตามสอบสวนทีหลัง
ครูที่ปรึกษาถามขึ้นอีก
“ซู่เป่าไม่ดื้อใช่เปล่า”
ครูหวังค่อย ๆ พูดพลางยิ้มเย้ยหยัน
“เด็กสี่ขวบ จะไปมีระเบียบวินัยอะไร”
ขณะเดียวกันครูอีกคนก็กลับมา “เอ๊ะ ทำไมไม่เห็นซู่เป่าแล้วล่ะ”
ครูที่ปรึกษาออกไปดูบ้าง ก็ไม่เจอซู่เป่ากับซูเหอเวิ่น รีบกลับมาถามหาจากครูหวัง
ครูหวังขมวดคิ้ว “ฉันจะรู้ได้อย่างไร เลิกเรียนแล้วจะไปรู้เหรอว่าไปเล่นอยู่ที่ไหน เด็กเล็ก ๆ อย่างนี้ชอบแต่จะเล่น โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ อีกอย่างก็ไม่ใช่โรงเรียนอนุบาล หรือว่าต้องให้ฉันคอยเดินตามตูดตลอดเหรอ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน
สนุกค่ะ รออัพตอนใหม่อยู่นะคะ...
สนุกค่ะ อ่านได้เรื่อยๆ...
ยังมีใครอ่านอยู่ไหมค่ะเนี่ย ไม่รู้ตัวเอกเป็นยมบาลหรืออันธพาล ใครอ่านอยู่มาคุยกันค่ะ...
เสียดายเวลาที่อ่านมานานก็เลยพยายามอดทนอ่านต่อไปเรื่อยถ้าเนื้อเรื่องยังเป็นแบบนี้สักวันคงเลิกอ่านจริงๆอ่ะ...
อ้าว...ยัยแก่ มหาภัย ยังไงกันหะ อยู่ไปจะมาทำร้าย คุณพี่ชายซูจื่อซี ได้ไง...แกต้องโดนท่านยมบาลน้อย ชำระความ....
ชื่อเรื่อง "ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน" ไอ้เราก็นึกว่า ชีวิตใหม่ที่ว่าคือชีวิตที่ได้เจอคนรอบครัว มีตายายและลุงๆที่รักยัยหนู...แค่นั้น ที่ไหนได้ ที่แท้ชีวิตใหม่คือเป็นมือจับผีตัวน้อย...
🧐รอๆๆๆ...
เป้ยเฉินอวี่ เธอชอบ ซูอีเฉินของฉันไม่ได้!.... รออัพเดตนะค่ะ กำลังสนุก pleaseee...
มีผีร้ายเพิ่มอีกตัว.... ขอบคุณมากค่ะแอดมิน...
เย้ๆ ท่านหญิงซูเดินได้แล้ว ลุ้นๆแม่ของซูเป่าจะจำอดีตได้มั๊ยน๊า ขอบคุณมากค่ะแอดมิน...