หลี่เหมยที่ถูกอ้วกออกมาร้องไห้ดังลั่นและฟ้องด้วยความโกรธเคือง
“เธอกินฉัน เธอกินฉันเข้าไป”
“ทุกตัวก็เป็นผีที่โดนจับมาเหมือนกัน ฮือ ๆ เธอข่มเหงรังแกผู้อื่น”
ผีจองหองถูกตรึงไว้อีกด้านด้วยพลังที่มองไม่เห็นจนไม่สามารถขยับได้และพูดเย้ยหยันว่า “ถ้าอยากจะฆ่าก็ฆ่าเลย มิเช่นนั้นฉันจะทำให้พวกแกไม่มีวันสงบสุข”
สองตาของเธอแดงก่ำและจ้องซู่เป่าอย่างดุร้าย
ทันใดนั้นจี้ฉางพลันยกมือขึ้นตบที่ศีรษะของเธอ
“เจ้ากล้าข่มขู่ลูกศิษย์ของข้ารึ”
พอศีรษะของผีจองหองถูกตบก็หลุดลอยออกจากบ่าในทันที แล้วกลิ้งขลุกๆ ไปอยู่ใต้เท้าของซูเหอเวิ่นอย่างรวดเร็ว
ซู่เป่าอ้าปากกว้างและสายตาก็มองไปตามศีรษะของป้าอ้วน... สุดท้ายหยุดลงตรงหน้าซูเหอเวิ่น
ซูเหอเวิ่นกลืนน้ำลายเอือก “เธอกำลังมองอะไรน่ะ...”
ซู่เป่าชี้ไปที่ศีรษะของผีจองหอง “ศีรษะของป้าอ้วนหลุดออกแล้วกลิ้งไปอยู่ใต้เท้าพี่ค่ะ”
ซูเหอเวิ่น “...”
เขารีบลุกขึ้นโดยพลัน แล้วรีบไปนั่งข้างๆ ซู่เป่า
“อะแฮ่ม เก้าอี้นั่งแล้วไม่สบาย ฉันนั่งตรงนี้แล้วกัน”
ซู่เป่าพยักหน้า “หนูเข้าใจค่ะ”
ซูเหอเวิ่นไม่อยากอธิบายอะไรอีกแล้ว
จากนั้นพอจี้ฉางยกมือขึ้น ศีรษะของผีจองหองก็ลอยกลับมา
เขานั่งขัดสมาดและเอามือค้ำคาง แล้วถามอย่างไม่อินังขังขอบว่า “ทำไมถึงเสียชีวิตรึ”
ผีจองหองแสยะยิ้ม “ไม่ต้องถาม ฉันไม่มีทางพูดมันออกมาหรอก”
จี้ฉางยกมือขึ้นแล้วฟาดศีรษะของเธอหลุดลอยออกไปอีกครั้ง จากนั้นดึงกลับมาเหมือนเล่นลูกโยโย่
“ทำไมถึงเสียชีวิตรึ”
จนผีสาวรู้สึกวิงเวียนศีรษะ
แม้ว่าผีจะดึงศีรษะตัวเองออกได้โดยไม่เป็นอะไร
แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าโดนจี้ฉางฟาดแบบนี้แล้วจะไม่เป็นไร และจี้ฉางก็ไม่ใช่ผีธรรมดา
“แก...” ผีจองหองโมโหโกรธ
แล้วจี้ฉางก็ตบศีรษะของเธอลอยออกไปอีกครั้ง “โอ้ ไม่พูดเหรอ”
ผีจองหอง “...”
เล่นเหรอ
ซู่เป่าที่อยู่ข้างๆ จ้องมองตาโต
ทำ... ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ
ทำตามเป็นแล้ว
จี้ฉางพูด “มาสิเป๋าน้อย”
ผีจองหองพลันนึกถึงภาพที่ตัวเองโดนซู่เป่าทุบตีเหมือนกระสอบทรายได้ในทันที แล้วรีบพูดว่า “พูดก็พูดสิ ลงไม้ลงมือทำไม”
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าจี้ฉางก็คือเจ้าเด็กน้อยแปลกประหลาดคนนี้...
เมื่อเธออยู่ในมือของเธอแล้วจะไม่มีแรงตอบโต้ได้เลย
ผีจองหองเพียงรู้สึกกลัดกลุ้มและพูดอย่างจนใจว่า “ฉันชื่อหลี่รั่วผิง เมื่อก่อนเป็นลูกคนรวย...”
ซู่เป่าพลันถามขึ้นว่า “จริงเหรอค่ะ”
ผีจองหองอ้ำอึ่ง แต่ในที่สุดก็พูดว่า “ฉันขยันทำงานจนกลายเป็นคนรวย...”
ซู่เป่าและจี้ฉางมองเธอด้วยสีหน้าไม่เชื่อ
สัญชาตญาณของเด็กซู่เป่ามองออกว่าเธอโกหก
จี้ฉางหมดคำพูด สมกับเป็นผีจองหองจริง ๆ จนถึงตอนนี้ยังจองหองผองขน
สุดท้ายผีจองหองก็เล่าแต่โดยดีว่า “ก่อนเสียชีวิตฉันทำงานอยู่โรงพิมพ์”
เดิมทีหลี่รั่วผิงเป็นลูกจ้างของโรงพิมพ์ ทุกวันทำงานอยู่แต่ในโรงงาน
แต่ถือว่าเธอโชคดีมาก เพราะมีครั้งหนึ่งเธอทำโอทีจนถึงดึกและบังเอิญได้พบกับลูกสาวของหัวหน้าโรงงานและมีน้ำใจไปส่งเธอ จากนั้นทั้งสองคนก็กลายเป็นเพื่อนกันอย่างไม่คาดคิด
“ความสัมพันธ์ของฉันและเธอนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ... และเพื่อนสนิทก็พาฉันไปทานข้าวที่บ้านบ่อยๆ”
ผีจองหองเลียปาก “ตอนนั้นฉันถึงได้รู้ว่าเดิมทีแล้วเนื้อวัวเป็นอีกรสชาตหนึ่ง และเดิมทีกุ้งเนื้อแน่น แน่นจน...”
“ก่อนหน้านี้ฉันคิดมาตลอดว่ากุ้งเนื้อกลวง...”
จี้ฉางเข้าใจว่าที่เธอพูดน่าจะเป็นกุ้งที่เสียชีวิตแล้ว
กุ้งมีสารฮิสทิดีนสูง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมกุ้งถึงมีรสชาติอร่อย แต่เมื่อเสียชีวิตแล้วจะถูกแบคทีเรียย่อยสลายและเน่าเหม็นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงทำให้เนื้อกุ้งเปื่อยยุ่ยและมีกลิ่นเหม็นฉุน
กุ้งพวกนี้มักถูกร้านอาหารเล็ก ๆ หรือร้านอาหารริมทางซื้อไป และเพิ่มเครื่องปรุงจำนวนมากเพื่อกลบกลิ่นเหม็นเน่า ตอนทานแทบจะเห็นเป็นเปลือกเปล่าๆ
ซู่เป่าถาม “จากนั้นล่ะคะ”
ซูเหอเวิ่นที่อยู่ข้างๆ ทั้งมองไม่เห็นและไม่ได้ยินก็แอบรู้สึกร้อนใจ
จริงๆ เลย ตอนไม่อยากเห็นผีก็เกิดเห็นขึ้นมาอย่างกะทันหัน พอตอนนี้อยากฟังว่าผีจองหองเสียชีวิตยังไง กลับทำได้แค่รอให้ซู่เป่าถามให้เสร็จก่อน
ผีจองหองพูด “เพื่อนสนิทของฉันมักจะเอาชุดที่เธอไม่ใส่แล้วให้ฉัน แล้วยังมีทั้งกระเป๋าและเครื่องประดับ...”
ตอนแรกเธอมีความสุขมากจริงๆ ถึงแม้จะเป็นชุดที่เพื่อนสนิทไม่ต้องการแล้ว แต่สำหรับเธอกลับเป็นชุดที่ไม่มีทางซื้อได้เลยในชีวิตนี้
ลืมบอกไป พ่อเพื่อนสนิทของเธอไม่เพียงแต่เป็นหัวหน้าโรงพิมพ์ที่เธอทำงานอยู่ แต่ยังเป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง
โรงพิมพ์แห่งนั้นเป็นเพียงหนึ่งในโรงงานเล็กๆ ของครอบครัวพวกเขาเท่านั้น
“เพราะเพื่อนสนิทของฉัน ฉันถึงได้ดื่มด่ำกับชีวิตที่ไม่เคยแม้แต่จะกล้าฝันถึง...”
ตอนกลางวันทำงานที่โรงพิมพ์ หลังเลิกงานก็ไปชอปปิงกับเพื่อนสนิท มองดูเพื่อนสนิทซื้อของตามความชอบใจโดยไม่กระพริบตา
เธอเดินตามอยู่ข้างๆ และเพลิดเพลินไปกับสายตาอิจฉาริษยาของผู้อื่น ราวกับว่าเธอเองก็เป็นสาวสวยและรวยมาก
“มีครั้งหนึ่งฉันหยุดพักผ่อนและตอนฉันเล่นอยู่ที่บ้านของเพื่อนสนิท... ผู้จัดการร้านแบรนด์กุชไนท์ ส่งเสื้อผ้าใหม่ทั้งหมดของฤดูกาลนั้นของพวกเขามาให้เพื่อนสนิทของฉันเลือกด้วยตนเอง”
“วันนั้นเพื่อนสนิทของฉันเลือกเสื้อผ้าในราคาสองล้านในแวบเดียว จากนั้นใบหน้าของผู้จัดการร้านก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ผงกศีรษะและโค้งคำนับ จากนั้นเอาส่วนที่เหลือที่เธอไม่ชอบกลับไป”
หลี่รั่วผิงพูดด้วยสีหน้าเหม่อลอย “ฉันถึงได้รู้ว่าคนรวยเขาซื้อเสื้อผ้ากันแบบนี้ และสินค้าฟุ่มเฟือยในร้านล้วนเป็นสไตล์หรือแบบที่เหลือเลือกจากพวกคนรวย”
เดิมทีเธอคิดว่าการที่ได้เดินชอปปิงกับเพื่อนสนิทนั้นมีหน้ามาตามากพอแล้ว
แต่ใครจะรู้ว่าการมีหน้ามีตาที่แท้จริงคือการที่ผู้จัดการร้านส่งของมาให้ถึงบ้านด้วยตัวเอง
นี่คือชีวิตแบบไหนกัน
คำประจบสอพอและใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้จัดการร้าน รวมทั้งบิลราคาสองล้านใบนั้น ทำให้เธอประทับใจมากเป็นอย่างยิ่ง
เป็นเพราะเสื้อผ้าล็อตนั้น เธอจึงได้รับชุดกระโปรงแบรนด์หรูที่เพิ่งซื้อมาไม่นานต่อจากเพื่อนสนิทอีก
เธอใส่ชุดเดรสสายเดียวแบรนด์กุชไนท์ สะพายกระเป๋าแบรนด์ยาชาด้า และใส่รองเท้าแบรนด์ออลาล่าเดินไปตามถนน
ในมือถือแก้วสตาร์บัคที่ธรรมดาที่สุด แต่นั่นเท่ากับเงินเดือนวันหนึ่งของเธอ
“ฉันในตอนนั้นจะอยู่ห้องพักของโรงงานที่ห้องหนึ่งอยู่รวมกันสิบคนได้อย่างไร มันไม่สมฐานะฉันเลย”
จี้ฉางพูดไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง
เป็นจริงอย่างที่เขาว่าเสื้อผ้าพอใส่นานแล้วก็จะลืมว่าตัวเองเป็นเต่าประเภทไหน
“หลังจากนั้นล่ะคะ” ซู่เป่าค้ำคางเหมือนกับกำลังฟังนิทาน
หลี่รั่วผิงพูดว่า “ดังนั้นฉันจึงคิดอยากจะเช่าห้องอยู่ข้างนอก ตอนหาห้องเช่านายหน้าเห็นฉันที่สวมใส่ล้วนเป็นของแบรนด์เนม ดังนั้นเขาจึงแนะนำคอนโดหรูให้ฉันอย่างเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ...”
สายตาประจบประแจงและอิจฉาริษยาของนายหน้า รวมทั้งคอยชมว่าเธอทั้งขาวทั้งสวยซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้น เติมเต็มความทะนงตัวของเธออย่างที่สุด
เธอต้องผิวขาวแน่นอนสิ ทุกวันอยู่แต่ในโรงพิมพ์ ตอนเช้าเจ็ดโมงครึ่งออกไปทำงาน ถ้ามีทำโอที ห้าทุ่มคอยกลับถึงห้องพัก
จะไม่ขาวได้ไง
ท่วมกลางเสียงชื่นชมของนายหน้า เธอกลับคิดว่าตัวเองเป็นสาวสวยและรวยมากจริงๆ
“ดังนั้นฉันจึงเช่าคอนโดเล็กๆ ห้องหนึ่งในราคาห้าพันต่อเดือน...”
แต่ตอนเซ็นสัญญาเธอกลับรู้สึกเสียใจทีหลังแต่เธอก็ไร้ซึ่งหนทาง เพราะนายหน้าเอาแต่ใช้สายตากระตือรือร้นมองเธอตลอด
ต้องรู้ว่าเงินเดือนเมื่อหลายสิบปีก่อนและทำโอทีอย่างเอาเป็นเอาเสียชีวิต เดือนหนึ่งก็ได้แค่สามพันกว่า...
ซู่เป่านับนิ้วมือ “เงินเดือนสามพัน ค่าเช่าห้องห้าพัน ยังขาดอีก....”
ซูเหอเวิ่นที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “ยังขาดอีกสองพัน”
ซู่เป่าชักสีหน้าประหลาดใจ “ยังขาดอีกตั้งเยอะแหนะ ป้าอ้วนป้าไปเอาที่เหลือมาจากไหนคะ”
หลี่รั่วผิงยิ้มเฝื่อนๆ “ใช่ จะไปเอามาจากไหนล่ะ...”
คอนโดชุดนั้นต้องจ่ายมัดจำหนึ่งเดือนและค่าเช่าล่วงหน้าสามเดือน แล้วต้องจ่ายสองหมื่นหยวนให้คราวเดียว
เธอทำงานในโรงงานมาตั้งนาน แต่ในบัญชีเหลือแค่พันหยวน...
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน
สนุกค่ะ รออัพตอนใหม่อยู่นะคะ...
สนุกค่ะ อ่านได้เรื่อยๆ...
ยังมีใครอ่านอยู่ไหมค่ะเนี่ย ไม่รู้ตัวเอกเป็นยมบาลหรืออันธพาล ใครอ่านอยู่มาคุยกันค่ะ...
เสียดายเวลาที่อ่านมานานก็เลยพยายามอดทนอ่านต่อไปเรื่อยถ้าเนื้อเรื่องยังเป็นแบบนี้สักวันคงเลิกอ่านจริงๆอ่ะ...
อ้าว...ยัยแก่ มหาภัย ยังไงกันหะ อยู่ไปจะมาทำร้าย คุณพี่ชายซูจื่อซี ได้ไง...แกต้องโดนท่านยมบาลน้อย ชำระความ....
ชื่อเรื่อง "ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน" ไอ้เราก็นึกว่า ชีวิตใหม่ที่ว่าคือชีวิตที่ได้เจอคนรอบครัว มีตายายและลุงๆที่รักยัยหนู...แค่นั้น ที่ไหนได้ ที่แท้ชีวิตใหม่คือเป็นมือจับผีตัวน้อย...
🧐รอๆๆๆ...
เป้ยเฉินอวี่ เธอชอบ ซูอีเฉินของฉันไม่ได้!.... รออัพเดตนะค่ะ กำลังสนุก pleaseee...
มีผีร้ายเพิ่มอีกตัว.... ขอบคุณมากค่ะแอดมิน...
เย้ๆ ท่านหญิงซูเดินได้แล้ว ลุ้นๆแม่ของซูเป่าจะจำอดีตได้มั๊ยน๊า ขอบคุณมากค่ะแอดมิน...