ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน นิยาย บท 89

เหตุผลที่ซู่เป่าให้ความสนใจผู้หญิงในชุดแดงคนนั้นก็เพราะว่ามีผีสิงอยู่บนหลังของเธอ

เมื่อจี้ฉางมองเห็นผู้หญิงคนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “วิญญาณร้ายอีกแล้วหรือ”

จากผีขี้แยที่เอาแต่วิ่งหนีตอนนั้น

กลายเป็นผีจองหองที่ไปอยู่บนตัวของเสวี่ยเอ๋อร์ซะแล้ว

ถึงตอนนี้...

“จิ๊ สมัยนี้วิญญาณชั่วร้ายหาพบได้ง่ายขนาดนี้เลยหรือ” จี้ฉางมองซู่เป่าแวบหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง

โชคไม่สามารถเข้าข้างได้ทุกคนจริงๆ

เหมือนกับโคนัน ไปที่ไหนที่ไหนก้มีแต่คนตาย

เป๋าน้อยก็เช่นกัน ไปที่ไหนที่ไหนก็เจอแต่ผี

คนอื่นๆ ต้องผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วน ต้องไปยังสุดล้าฟ้าเขียวของทุกมุมโลกเพื่อค้นหาและเก็บรวบรวมผี แต่เธอช่างโชคดีเหลือเกิน ผีเดินมาหาเธอเองโดยไม่ต้องทำอะไรเลย

ชิชะ

“นั่นเรียกว่าผีขี้ขลาด เดี๋ยวอาจารย์จะทำสัญลักษณ์ไว้ให้ก็แล้วกัน” จี้ฉางพูด

เมื่อทำสัญลักษณ์เสร็จ ก็ไม่ปรากฎให้เห็นผีขี้แยตัวนั้นอีกเลย

ซู่เป่าไม่ได้พูดอะไรตอบ

เธอกำลังมองดูชายที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากผู้หญิงชุดแดงคนนั้น

ชายคนนั้นตัวสูงโปร่ง สวมเสื้อสีดำ ผมสีดำหยิกเล็กน้อยห้อยลงบริเวณหน้าผาก ดูดีและหล่อเหลา

ซู่เป่ามองไปที่เขาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ และยื่นศีรษะออกไปนอกหน้าต่างรถโดยไม่ได้ตั้งใจ...

“ซู่เป่า อย่ายื่นศีรษะออกไปนอกรถ มันอันตราย” ซูอีเฉินดึงเธอกลับเข้ามาแล้วปิดหน้าต่าง

มู่กุยฝานรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองเขาอยู่ เงยหน้าขึ้นมองรถไมบัคสีดำที่ขับผ่านหน้า และเงาเล็กๆ ที่วับหายไป

**

ณ ร้านอาหารอันโอ่อ่า นายหญิงมู่กำลังรับประทานอาหารอย่างหรูหรา มีลูกชาย ลูกสาว และลูกสะใภ้หลายคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร

ในบรรดาพวกเขา ลูกสะใภ้ยืนอยู่ คอยปรนนิบัตินายหญิงมู่ กำลังใช้ผ้าเปียกเช็ดมือและปากของเธอ

คนอื่นๆ ทำท่าทางเมินเฉย ราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ

ในเวลานี้ แม่บ้านเดินเข้ามาบอกว่า “คุณท่าน คุณนายหญิงคะ ตระกูลซูมาเยี่ยม พาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาด้วยค่ะ”

คุณท่านมู่เคี้ยวบางอย่างคำเล็ก ๆ และหลังจากกลืนมันลงอย่างช้า ๆ เขาก็ถาม “พวกเขามีธุระอะไร”

แม่บ้านตอบ “ฉันถามแล้ว คนจากตระกูลซูบอกว่าคุณชายสี่อาจจะเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดของคุณซูตัวน้อยก็ได้ค่ะ หากสะดวกจะไปตรวจเลือดกับคุณชายสี่เพื่อตรวจหาดีเอ็นเอก็ได้... ”

แม่บ้านถ่ายทอดคำพูดของซุอีเฉินทุกประโยค คำพูดของคนตระกูลซูเพียงคนเดียว ทำให้ตระกูลซูดูต่ำต้อยด้อยค่ายิ่งนัก

นายหญิงมู่กลอกตา “จะมานับญาติกันอีกแล้วเหรอ บอกพวกเขาไปว่าพวกเราไม่สะดวก ให้กลับไปซะ!”

เธอรู้จักเด็กคนนั้นจากตระกูลซู ได้ข่าวมาว่าเธอเกิดมาจากซูจิ่นอวี้ แม่ที่ป่วย แต่ก็ไม่รู้ด้วยว่านางไปหลอกล่อผู้ชายคนไหนมาอีกบ้าง

เด็กที่เกิดมาในสถานการณ์เช่นนั้น ยังจะกล้ามาขอนับญาติกับพวกเขาอีกหรือ

ต่อให้เธอจะมีเชื้อสายตระกูลมู่จริง แต่เธอก็คงจะปล่อยให้เด็กคนนี้เข้าไปในตระกูลมู่ไม่ได้

บนโต๊ะอาหาร เด็กผู้ชายชายคนหนึ่งถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “คุณอาสอง ไปดูหน่อยก็ดีนะว่าสรุปใช่คนจากตระกูลซูจริงไหม”

คุณท่านมู่กล่าวอย่างไม่พอใจ “ตระกูลซูทำไมอีกล่ะ ไม่ใช่ว่าเงินไม่พอใช้หรอกนะ”

รวยที่สุดในเอเชียอะไรกัน

ในประเทศเหมยโจวหากมีอำนาจเงินที่แข็งแกร่งก็สามารถหาเสียงเลือกตั้งเพื่อเป็นประธานาธิบดีได้ ในประเทศหานจิ่งหากมเงินที่มากพอก็สามารถควบคุมรัฐบาลและอาศัยอิทธิพลใช้เล่ห์เหลี่ยมหาผลประโยชน์ให้ตัวเองได้

แต่ในประเทศหลงไม่ว่าอำนาจเงินจะทรงพลังเพียงใดก็ยังเป็นเพียงแค่เงิน ต่อหน้าเบื้องบนไม่ว่าจะเป็นเสือหรือมังกรก็ยังต้องสยบลง

ตระกูลซูถึงจะร่ำรวยเพียงใดก็เป็นอย่างที่กล่าวมา แต่ตระกูลมู่ไม่เป็นเช่นนั้น ตระกูลมู่เป็นตระกูลที่มีวัฒนธรรมดีงามที่ฝังรากลึกและสืบทอดกันมาผ่าน’สายโลหิตสีแดง’

อีกทั้ง ตระกูลมู่ยังเป็นตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวยอีกด้วย

แม่บ้านพยักหน้าแล้วเดินออกไป ทำท่าทางหยิ่งจองหองกล่าวกับซูอีเฉินว่า นายหญิงและคุณท่านมู่ไม่ว่าง

หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและปิดประตูไปเสียแล้ว

ซูอีเฉินที่อยู่ในรถ ไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางอะไรมากนัก

ตระกูลมู่ไม่ได้ต้องการที่จะทำความรู้จักกับซู่เป่า พอดีเลย พวกเขาเองก็ไม่ได้อยากแบ่งซู่เป่าไปให้คนอื่นเหมือนกัน!

ซู่เป่าเห็นสีหน้าท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจของซูอีเฉิน เธอจึงถามขึ้นมาว่า “ลุงใหญ่คะ ทำไมเราถึงต้องมาที่นี่ด้วย”

สีหน้าของซูอีเฉินอ่อนโยนลง แล้วตอบกลับซู่เป่าว่า “เห็นซู่เป่าบอกว่าอยากเจอพ่อ ลุงใหญ่เลยพาหนูมาหาไงจ๊ะ”

เมื่อวานนี้ อากวนขอให้ซู่เป่าตามหาลูกหลานของมู่หมิงหย่วนให้ อากวนจดจ่อกับการค้นหากระดูกของลูกสาวมากจนอาจไม่ได้สนใจตระกูลมู่ที่เพิ่งเลื่อนตำแหน่งเข้ามา

เมื่อห้าปีก่อน ยังไม่มีตระกูลมู่ในบรรดาตระกูลใหญ่ในจิงตู ในเวลานั้นตระกูลมู่ยังคงทำธุรกิจอยู่ในพื้นที่ชายฝั่ง

หลังการกวาดล้างแก๊งลวงโลกที่พัวพันกับสื่อลามก การพนัน และยาเสพติดเสร็จสิ้น หนึ่งในบรรดาผู้ที่เสียสละชีวิตเผื่อคนในประเทศชาติก็คือมู่หมิงหย่วน อีกทั้งมู่หมิงหย่วนยังเป็นที่หนึ่งอีกด้วย

ที่หนึ่งที่ว่าคือรางวัลแห่งความดีความชอบ เกียรติยศและคุณธรรมซึ่งหาได้ยากยิ่งในช่วงที่บ้านเมืองกำลังสงบสุข มู่หมิงหย่วนไม่มีลูกหลานและสมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิด

รางวัลแห่งเกียรติยศนั้นจึงถูกส่งมอบให้มู่จื้อหย่วน ลูกพี่ลูกน้องของเขาแทน

มู่จื้อหย่วนอาศัย ’สายโลหิตสีแดง’ ดังกล่าวถีบตัวเองเพื่อเลื่อนตำแหน่งทางชนชั้นและฐานะและมาที่เมืองหลวงเพื่อตั้งหลัก

ด้วยความสำเร็จที่ได้มาจาก ’สายโลหิตสีแดง’ ดังกล่าว ทำให้ตระกูลมู่หยิ่งทะนงตัวและดูถูกผู้คน สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขายอมอ่อนข้อได้คือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง เป้าหมายของตระกูลนี้คือ "การสอบเข้ารับราชการ" แต่น่าเสียดายที่ไม่มีพวกเขาคนใดผ่านการสอบข้อเขียนดังกล่าวมาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว

ทีกับเรื่องพวกนี้ล่ะไม่มีการพูดถึง

ซูอีเฉินมาที่นี่อีกครั้ง เพราะเมื่อวานตอนกลับมาซู่เป่าบังเอิญพูดถึงพ่อของเธอ โดยบอกว่าพ่อของเธอมีนามสกุลว่ามู่

มีร่องรอยของความคาดหวังในดวงตาของเธอตอนเธอพูดออกมา แล้วซูอีเฉินจะทนปล่อยให้เธอผิดหวังได้อย่างไร

แม้ว่าเขาจะรู้ว่าอยู่แก่ใจว่าตระกูลมู่มีนิสัยชอบดูถูกคนอื่น แต่เขาก็ยังยินดีที่จะมาที่นี่ก็เพราะเห็นแก่เจ้าแก้มก้อนตัวน้อย

แต่ซู่เป่ากลับส่ายหัว “ลุงใหญ่ พวกเรากลับกันเถอะค่ะ!”

ถ้ามีพ่อแบบนี้ เธอสู้ไม่มีเสียยังจะดีกว่า

มีแค่คุณลุงทั้งหลาย คุณตา คุณยาย และพี่ๆ แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว!

ซูอีเฉินผงะเล็กน้อย "ซู่เป่าไม่อยากเจอพ่อแล้วหรือ"

ซู่เป่าส่ายหัว “พ่อแบบนี้ซู่เป่าไม่อยากได้”

ซูอีเฉินเม้มริมฝีปาก

สมกับเป็นลูกหลานของของตระกูลซูจริงๆ!

สำหรับคำขอของอากวนในการตามหามู่หมิงหย่วน ซูอีเฉินไม่ได้สนใจมากนัก

จะช่วยเท่าที่ช่วยได้ หากช่วยไม่ได้ก็สุดแล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิตแล้วกัน

ขอแค่ซู่เป่าปลอดภัยดีก็พอแล้ว เขาจะมาวุ่นวายอะไรกับคนอื่นขนาดนั้น!

ซูอีเฉินเม้มริมฝีปากอย่างอารมณ์ดี และใช้ฝ่ามือใหญ่ลูบหัวเจ้าแก้มก้อนเบาๆ “ซู่เป่า ลุงใหญ่จะพาไปสวนสนุก ไปไหม”

ซู่เป่าเบิกตากว้าง “ไปๆๆ ไปค่ะ!”

ไม่ทันรอให้พูดจบ เธอก็ยกมือขึ้นมาแล้วพูดต่อ “ชวนพี่ๆ ไปด้วยกันนะ!”

เธอกล่าวเสริม "เสี่ยวอู่กับเจ้าเต่าแก่ก็อยากไปด้วยเหมือนกัน!"

ในดวงตาของเจ้าแก้มก้อน การไปสวนสนุกเป็นเรื่องที่ดี

เรื่องที่ดีที่ว่าคือการได้ใช้เวลากับเพื่อนๆ ตัวน้อยของเธอยังไงล่ะ~

**

ณ ตระกูลมู่

หลังจากคุณท่านและคุณหญิงรับประทานอาหารเสร็จ จึงถามแม่บ้านว่า “พวกตระกูลซูยังอยู่ข้างนอกไหม”

หากพวกเขายังคงรออยู่ ตระกูลมู่คงไม่รังเกียจที่จะออกไปพบพวกเขา เพื่อเห็นแก่ความจริงใจ

แม่บ้านตอบ “พวกเขากลับไปแล้วค่ะ”

นายหญิงมู่ถอนหายใจ “อุตส่าห์อยากจะดองญาติกันแท้ๆ รอแค่นี้ก็ไม่ไหวซะแล้ว”

โชคดีที่ไม่ได้พบกัน เพราะยังไงซะพวกเขาก็ไม่อยากจะที่นับญาติกับเจ้าตัวน้อยหรอก อยู่ห่างจากพวกเขาได้เลยยิ่งดี

คุณท่านมู่กำลังคุยกับลูกชายของตนพอดี “แกได้ติดต่อคนที่หัวหน้าใหญ่บอกหรือยัง ครอบครัวเขานามสกุลมู่ด้วย เขาขึ้นชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามที่พึ่งกลับมาจากเขตรบชายแดนเชียวนะ รีบหาทางติดต่อกระชับความสัมพันธ์กันสักทีสิ”

ลูกชายคนโตของตระกูลมู่พูดด้วยความหนักใจ “พ่อ คนคนนั้นไม่น่าคบเลย! ไม่รู้ทำไม เหมือนกับว่าเขาจะไม่ชอบตระกูลเรา”

คุณท่านมู่ขมวดคิ้ว “ยังไม่เคยพบกันเลย ทำไมถึงจะไม่ชอบล่ะ มีอะไรเข้าใจผิดกันหรือเปล่า นามสกุลเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียว หาโอกาสไปกินข้าวปรับความเข้าใจกันก็จบแล้ว!”

ลูกชายคนโตของตระกูลมู่ยังคงยืนกราน “พ่อ ไม่ได้หาตัวเจอง่ายๆ เลยนะ เขาไม่เพียงแต่เป็นเทพเจ้าแห่งสงครามเขตรบชายแดน แต่เขายังเป็นหัวหน้าตระกูลที่หลบซ่อนตัวอยู่อีกด้วย”

คุณท่านมู่จ้องถมึงตา “หัวหน้าตระกูลที่หลบซ่อนตัวอะไรกัน แกอ่านนิยายมากเกินไปแล้ว! ทุกครั้งที่ฉันไว้วานให้แกทำเรื่องเล็กน้อยไม่เคยเต็มใจทำเลยสักครั้ง ต้องมีข้ออ้างตลอด ฉันเห็นนะว่าแค่ไปถาม แกยังไม่คิดแม้แต่จะไปเลย!...”

“…”

ตระกูลซูมีปากเสียงกันเพียงเพราะว่าคนใหญ่คนโตเพียงคนเดียว ความตึงเครียด และการเตรียมการต่าง ๆ เพื่อตามหาคนสายเลือดเดียวกัน

หารู้ไม่ว่าวันนี้ได้พลาดอะไรไป...

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน