บทที่ 1479 : ดรรชนี
หลังจากที่ขึ้นเครื่องบินกลับมาจากตระกูลฉินครั้งนี้หลิงหยุนก็มิเคยต้องการที่จะเดินทางด้วยเครื่องบินอีกเลย นั่นเพราะเขารู้สึกว่ามันช้าเกินไป!
เส้นทางจากจิงฉูไปมณฑลกุ้ยโจวหากเครื่องบินบินเป็นเส้นตรง จะมีระยะทางราวหนึ่งพันสี่ร้อยกิโลเมตร ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมงครึ่งสำหรับการเดินทาง
แต่ด้วยอัตราความเร็วในการเหาะของหลิงหยุนเวลานี้เขาสามารถใช้เวลาเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น แล้วเหตุใดเขายังจำเป็นต้องนั่งเครื่องบินไปด้วยเล่า
อีกทั้งเวลานี้จุดซือไห่ของเขาก็มีเสินหยวนอยู่มากถึงหนึ่งล้านแปดแสนหยดตลอดทั้งวันนอกเหนือจากการใช้เปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางบ่มเพาะเสินหยวนตลอดทั้งวันทั้งคืนแล้ว หลิงหยุนก็ได้นำเสินหยวนนั้นมาเปลี่ยนเป็นพลังวิเศษ สำหรับขยายจุดซือไห่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กายเนื้อ จุดตันเถียน และเส้นลมปราณอีกทีด้วย
เวลานี้..จุดซือไห่ของหลิงหยุนได้ขยายใหญ่มากขึ้น จนเริ่มที่จะสัมผัสกับพื้นที่ส่วนสมองของเขาแล้ว เสินหยวนนี้เสมือนพลังวิเศษที่สามารถเปลี่ยนเซลสมอง และเส้นประสาทภายในสมองได้ เรียกได้ว่าเป็นการวิวัฒนาการ และการพัฒนาสมองอย่างครบวงจรเลยทีเดียว!
ปัจจุบันนี้หลิงหยุนสามารถกลั่นเสินหยวนได้มากกว่าสองแสนหยดต่อวัน และความเร็วในการกลั่นเสินหยวนของเขาก็มากกว่าความเร็วในการใช้เสินหยวน แต่ถึงกระนั้น กลางหว่างคิ้วของเขาก็มีสมบัติล้ำค่าอย่างกระบี่จักรพรรดิมังกร และพู่กันจักรพรรดิสถิตอยู่
ฉะนั้นเสินหยวนภายในจุดซือไห่ของหลิงหยุน จึงมีสมบัติล้ำค่าทั้งสองชิ้นช่วยกันดูดซับเข้าไปด้วย
เรื่องนี้หลิงหยุนเองก็รู้ดีแต่เขาหาได้สนใจไม่ เพราะเขารู้ว่ากระบี่จักรพรรดิมังกรเพิ่งจะก่อร่างเป็นรูปกระบี่เท่านั้น ยังต้องการเวลาที่จะกลายเป็นกระบี่ที่สมบูรณ์
ส่วนพู่กันจักรพรรดินั้นก็ยังต้องการเวลาฟื้นฟูตนเองด้วยการอาศัยเสินหยวนของหลิงหยุน และการที่มันเลือกที่จะจับจองเข้าไปอยู่ในจุดกึ่งกลางหว่างคิ้วของเขานั้น ก็เพื่อรอเวลานี้นั่นเอง
ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนการเหาะเหิน การกลั่นโอสถ การปลุกเสกยันต์ หรืออีกมากมาย หลิงหยุนก็ใช้เสินหยวนไปนับหมื่นหยด แต่เขาก็มิได้รู้สึกเสียดายเลยแม้แต่น้อย
“เหาะไปงั้นรึ!”
แต่เมื่อเหมี่ยวเสี่ยวเหมาคิดถึงระยะทางนับพันกิโลเมตรนางก็ถึงกับโมโห และกระโดดไปยืนหน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนออกไป
“ข้ารู้ว่าเจ้าเหาะไปได้แต่แล้วข้าเล่า”
หลิงหยุนยิ้มเย้ยพร้อมกับตอบไปว่า“ข้าจะพาเจ้าเหาะไป หรือ.. เจ้าอยากจะใช้วรยุทธเคลื่อนไหวที่ล้ำเลิศของเจ้าวิ่งตามพวกเขาไปที่สนามบินก็ได้นะ ข้าว่าน่าจะยังทัน!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาถึงกับนิ่งอึ้งไป..
เมื่อครั้งที่ไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธนั้นเหมี่ยวเสี่ยวเหมายืนอยู่บนแผ่นหลังของแวมไพร์ และให้พวกมันบินพานางไป นางจึงมิรู้สึกเหมือนได้เหาะไปมากเท่าใดนัก
หลังจากแวมไพร์ทั้งห้าได้กลายร่างเป็นนกยักษ์แล้วปีกของพวกมันก็สยายกว้างนับสิบเมตร ซึ่งดูคล้ายกับเมฆสีดำขนาดใหญ่มากกว่า เหมี่ยวเสี่ยวเหมาซึ่งยืนอยู่บนแผ่นหลังนั้น จึงมิได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด นางรู้สึกราวกับว่ากำลังยืนอยู่บนผืนแผ่นดินเสียมากกว่า ดังนั้นหลังจากที่ปรับตัวได้แล้ว นางจึงมิได้รู้สึกกังวลหรือหวาดกลัวแต่อย่างใด
แต่เวลานี้แวมไพร์ทั้งห้าของหลิงหยุนก็ได้เดินทางไปที่สนามบินพร้อมกับถังเมิ่งแล้ว และดูเหมือนว่าน่าจะขึ้นเครื่องไปเรียบร้อยแล้วด้วย เหมี่ยวเสี่ยวเหมารู้ได้ทันทีว่าคงเหลือแต่หลิงหยุนที่จะพาตนเหาะไปเป็นแน่ นางจึงได้แต่ตกใจ..
นี่เขาต้องโอบกอดนางหรือไม่ก็อุ้มนางไว้ในอ้อมแขน?
หรือหลิงหยุนจะใช้ปีกหยิน–หยางพานางบินขึ้นไปเหมือนกับเหล่าแวมไพร์งั้นรึ
แต่ไม่ว่าอย่างไร..ทั้งหมดนั้นก็หาใช่ภาพที่นางอยากให้เกิดขึ้นไม่!
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็เห็นหลิงหยุนหยิบผ้าแพรไหมดำยาวครึ่งเมตรออกมาสองเส้น พร้อมกับม้วนผ้าแพรทั้งสองให้เป็นรูปวงแหวน โดยการการใช้นิ้วมือทั้งห้าของเขากลางออก และหดเข้าด้วยท่าทางแปลกประหลาด และทำการเปลี่ยนผ้าแพรทั้งสองให้เป็นรูปร่างอื่นๆอีก
สิ่งที่หลิงหยุนทำอยู่นั้นดูลี้ลับคล้ายกับนักมายากลนิ้วมือของเขายังคงเคลื่อนไหวไปมาด้วยความเร็วไม่หยุดยั้ง แม้แต่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเองยังมองไม่ทัน เห็นเป็นเพียงแค่อะไรเคลื่อนไหวไปมาเท่านั้น
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจ้องมองผ้าแพรไหมดำเปลี่ยนไปมาเป็นรูปร่างต่างๆและไม่ว่าจะหมุนวนเป็นรูปที่ซับซ้อนเพียงใด แต่มันก็มิเคยพันกันยุ่งเหยิง ที่สำคัญ.. สิ่งที่หลิงหยุนกำลังทำนั้นดึงดูดความสนใจของเหมี่ยวเสี่ยวเหมายิ่งนัก
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาถึงกับร้องถามออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น“นี่เจ้ากำลังทำอะไรงั้นรึ!”
“ข้าก็กำลังฝึกฝนการใช้ดรรชนีทั้งห้าอย่างไรเล่าข้าห่างเหินการฝึกไปนาน จึงยังมิค่อยคุ้นเคยนัก”
หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นแต่นิ้วเรียวงามทั้งห้ายังคงเคลื่อนไหว และควบคุมผ้าแพรทั้งสองอยู่ ในขณะเดียวกันก็เอ่ยตอบเหมี่ยวเสี่ยวเหมาด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
“อีกอย่าง..ข้ากำลังฝึกใช้สมองเพื่อมิให้มันขึ้นสนิมอีกด้วย!” “อืมม..ข้าเห็นด้วย! สมองของเจ้าคงมีแต่ขี้สนิมเต็มไปหมดสินะ”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาไม่แม้แต่จะรอฟังคำตอบของหลิงหยุนนางคว้าเจ้าทองอ้วนที่อยู่ข้างๆ พร้อมกับเดินหนีไปทันที
“ข้าขึ้นเครื่องบินไปดีกว่า!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาได้แต่คิดว่าตนเองคงไม่บ้าพอที่จะเหาะไปพร้อมกับหลิงหยุนด้วยระยะทางที่ไกลเช่นนั้นแน่!
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเริ่มนึกเสียใจที่ตัดสินใจรอหลิงหยุนนางตั้งใจว่าระหว่างที่เดินทางไปด้วยกันนั้น นางจะให้หลิงหยุนใช้เปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางบ่มเพาะเจ้าทองอ้วนไปด้วย เพื่อให้มันพัฒนาร่างได้เร็วกว่านี้ แต่คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะเหาะไปเช่นนี้!
“ช้าก่อน!”
ในที่สุดจินเหยียวก็เอ่ยปากออกมานางร้องห้ามเหมี่ยวเสี่ยวเหมา พร้อมกับหันไปเอ่ยกับนางว่า “เสี่ยวเหมาเจ้ามิจำเป็นต้องร้อนใจไป ในเมื่อหลิงหยุนบอกกับเจ้าเช่นนั้น เขาย่อมต้องมีหนทางพาเจ้าเหาะไปได้แน่ เจ้าก็รอดูเสียก่อน!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาชะงักและหันไปถามหลิงหยุน “จริงรึ”
หลิงหยุนยิ้มล้อเลียนเหมี่ยวเสี่ยวเหมาพร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า “ท่านน้าจินเหยียวบอกเช่นนั้น ก็ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นสิ..”
“เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลยอย่างไรพวกเราสองคนก็ตามพวกเขาทันแน่!”
หลิงหยุนย้ำกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาให้มั่นใจจากนั้นจึงหันไปถามนางว่า “เสี่ยวเหมา ข้ามีเรื่องอยากจะถาม ในความเห็นของเจ้านั้น ระยะทางมีผลต่อการควบคุมหนอนกู่กลืนใจของท่านย่าเจ้าหรือไม่”
แม้ว่าหลิงหยุนจะได้เคยใช้ดัชนีห้าธาตุสะกดหนอนกู่กลืนใจภายในร่างของท่านหมอเสี่ยวไว้ได้และเหมี่ยวเฟิงหวงก็มิสามารถสร้างความเจ็บปวดให้กับท่านหมอเสี่ยวผ่านหนอนกู่กลืนใจนี้ได้อีก
แต่เวลานี้..ระยะทางมิได้ห่างไกลเช่นเดิมแล้ว!!
เมืองจิงฉูอยู่ห่างจากหมู่บ้านเหมี่ยวในเผ่าเหมี่ยวเจียงมากกว่าหนึ่งพันกิโลเมตรอีกทั้งยังมีแม่น้ำขวางกั้นอยู่หลายสาย การที่เหมี่ยวเฟิงหวงจะควบคุมหนอนกู่ของนางนั้น ก็หาใช่เป็นเรื่องง่ายไม่..
แต่เมื่อใดที่เครื่องบินซึ่งท่านหมอเสี่ยวนั่งไปนั้นเข้าใกล้เหมี่ยวเฟิงหวงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เครื่องลงจอดที่มณฑลกุ้ยโจว ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านเหมี่ยวไม่ไกลนัก จึงน่าจะเป็นเรื่องง่ายที่เหมี่ยวเฟิงหวงจะควบคุมหนอนกู่ได้ง่ายขึ้น
ฉะนั้น..หลิงหยุนจึงต้องการคำยืนยันในเรื่องนี้!
“นั่นย่อมขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งในการสะกดหนอนกู่ของเจ้า…”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมารู้ว่าคำถามนี้มีความสำคัญกับหลิงหยุนมากนางจึงต้องใคร่ครวญให้ดีก่อนจะตอบ
“ก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งนัก..”
หลิงหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง“ข้าทำได้เพียงแค่สะกดหนอนกู่มิให้สร้างปัญหากับท่านปู่ได้เท่านั้น แต่มิสามารถทำอะไรกับมันได้มากนัก ซึ่งเรื่องนี้เจ้าเองก็น่าจะรู้ดี…”
ทั้งจินเหยียวและเหมี่ยวเสี่ยวเหมาต่างก็เป็นถึงธิดาเหมี่ยวเจียงย่อมเข้าใจได้ทันทีว่าหากเขาทำรุนแรงกับหนอนกู่กลืนใจมากเกินไป มันก็อาจจะตายได้ และนั่นย่อมหมายถึงว่าเหมี่ยวเฟิงหวงก็ต้องเสียชีวิตด้วย
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเองก็มิอาจตอบคำถามของหลิงหยุนได้จึงได้แต่หันไปมองจินเหยียว..
ความสามารถในการควบคุมหนอนกู่ของจินเหยียวนั้นเหนือกว่าเหมี่ยวเฟิงหวงหลังจาที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงเอ่ยปากพูดออกไป
“ฟังจากที่เจ้าทำการสะกดหนอนกู่แล้วเพียงแค่เครื่องบินของท่านหมอเสี่ยวทะยานขึ้นฟ้าได้ไม่กี่ร้อยเมตร หนอนกู่ก็คงสามารถทำลายการสะกดของเจ้าได้แล้ว..”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าดวงตาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง จากนั้นจึงหันไปถามเหมี่ยวเสี่ยวเหมาทันที
“เสี่ยวเหมาถ้าเช่นนั้นในความเห็นของเจ้า หากท่านย่าของเจ้ารู้ว่าท่านปู่เสี่ยวกำลังเดินทางไปที่หมู่บ้านเหมี่ยว นางจะรอให้เขาไปถึงที่นั่น หรือจะสังหารเขาก่อน!”
ในการแก้ปัญหาครั้งนี้หลิงหยุนจำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของทั้งเหมี่ยวเฟิงหวง และเสี่ยวเจิ้งจี๋
“ท่านย่าไม่สังหารท่านปู่แน่!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาย้ำด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ“หากท่านย่าเกลียดท่านปู่ถึงเพียงนั้นจริง ท่านปู่คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงป่านนี้แน่!”
“แต่กับฉัน..ไม่รู้ว่าท่านย่าจะโกรธมากเพียงใด” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาแดงก่ำ“ข้ามาจิงฉูกว่าครึ่งปีแล้ว แต่เมื่อได้พบท่านปู่กลับไม่ยอมติดต่อท่านย่าไปอีกเลย ไม่รู้ว่าท่านย่าจะโกรธข้ามากเพียงใด”
“ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าคนเดียว!!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับตำหนิเขา..
หลิงหยุนได้แต่หันไปยิ้มให้กับจินเหยียวพร้อมกับรำพึรำพัน“ท่านน้าจินเหยียว ท่านดูสิ.. ข้าทำดีไม่ได้ดี เวลานี้.. ทุกคนเอาแต่ตำหนิและโทษว่าเป็นความผิดของข้า!”
จินเหยียวหันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับตำหนิซ้ำ“หลิงหยุน เจ้าเลิกพูดเล่นเสียที!”
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะร่วนเขาจัดการปลดปล่อยเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางใส่ร่างของเจ้าทองอ้วนที่กำลังบินอยู่ พร้อมกับเอ่ยออกไปว่า
“เอาล่ะ..ไม่ต้องกังวล ข้าย่อมมีหนทางให้เรื่องนี้จบลงด้วยดีเป็นแน่!” ทั้งจินเหยียวและเหมี่ยวเสี่ยวเหมาต่างก็รู้ว่าก่อนที่ท่านหมอเสี่ยวจะได้พบกับเหมี่ยวเฟิงหวง เขาคงจะต้องทุกข์ทรมานอยู่ช่วงหนึ่งเป็นแน่
“เสี่ยวเหมาเจ้าอยู่คุยกับท่านน้าจินเหยียวไปก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา!”
“ห๊ะ!นี่เจ้ายังไม่รีบไปอีกรึ?” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาได้ยินก็ร้องโวยวายออกมาทันที
“เครื่องของพวกเขาน่าจะถึงกุ้ยโจวราวสามทุ่มครึ่งรอให้ถึงสามทุ่มพวกเราค่อยออกเดินทาง!”
ยังไม่ทันที่เสียงร้องโวยวายของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะสิ้นสุดลงร่างของหลิงหยุนก็หายวับไปแล้ว หลิงหยุนตั้งใจไปที่หลุมยักษ์อีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็พบว่ามังกรแดงยังคงไม่กลับมาอีก จึงได้แต่เล่นกับเจ้าสีนิลไปก่อน แล้วจึงไปหาที่สงบฝึกฝนวิชาต่อ
จนกระทั่งเวลาสามทุ่มตรงหลิงหยุนจึงกลับไปยังบ้านเลขที่-1 อีกครั้ง.. “ท่านน้าจินเหยียวพวกเราต้องออกเดินทางแล้ว”
หลิงหยุนและเหมี่ยวเสี่ยวเหมาต่างก็เอ่ยร่ำลาจินเหยียว..
“เจ้าไม่ต้องห่วงทางนี้ข้าจะดูแลให้เอง’
จากนั้น..หลิงหยุนก็เอื้อมมือไปโอบเอวของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาไว้ จากนั้นทั้งคู่ก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภาไปทันที
เพียงเวลาไม่นานนักร่างของทั้งคู่ก็เหาะสูงขึ้นไปราวหกกิโลเมตรได้ จากนั้นหลิงหยุนจึงเรียกเครื่องมือสื่อสารออกมาเปิดสัญญาณนำทาง
บูม!
ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็ได้ปลดปล่อยเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางออกมาห่อหุ้มร่างกายของเขาและเหมี่ยวเสี่ยวเหมาไว้รวมทั้งเจ้าทองอ้วนด้วย ก่อนจะเหาะมุ่งหน้าตรงไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้
หลิงหยุนเหาะไปด้วยความเร็วสูงเพียงแค่สิบนาที ทั้งหลิงหยุนและเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็เหาะอยู่บนแผ่นฟ้าของมณฑลกุ้ยโจวแล้ว
“ขุนเขานับหมื่นแสนลูกช่างวิเศษยิ่งนัก!!”
หลิงหยุนยืนเอามือไขว้หลังจ้องมองไปยังขุนเขาเบื้องล่างพร้อมกับพึมพำออกมา..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร