บทที่ 1489 : เปลี่ยนเป็นคนใหม่
“ท่านปู่เสี่ยว..ท่านอยู่ในชุดเจ้าบ่าวแล้วดูดีมากทีเดียว!”
หลิงหยุนเดินเข้าไปในห้องและเอ่ยออกมายิ้มๆ ทันทีที่เห็นเสี่ยวเจิ้งจี๋ในรูปลักษณ์ใหม่
เวลานี้ยังเช้าอยู่มากและก่อนที่หลิงหยุนจะมานั้น ท่านหมอเสี่ยวก็ได้อยู่คนเดียวในบ้าน..
เวลานี้ท่านหมอเสี่ยวมิใช่คนเดิมดังเช่นก่อนที่จะเดินทางถึงหมู่บ้านเหมี่ยว เขาอยู่ในชุดชาวเผ่าเช่นเดียวกับเหมี่ยวชิงที่ยืนต้อนรับแขกอยู่ด้านนอก เขาสวมใส่ชุดเจ้าบ่าวชุดใหม่ สีสรรจึงยังสดใสและมีชีวิตชีวายิ่ง
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่ยิ้มออกมา..
เวลานี้เสี่ยวเจิ้งจี๋ที่ดูไม่ต่างจากชายหนุ่มในวัยยี่สิบปีและดูแก่กว่าหลิงหยุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว แม้แต่สายตาของเขาก็มองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน และนี่ต่างหากคือร่างกายที่ได้รับการฟื้นฟูอย่างแท้จริง
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เสี่ยวเจิ้งจี๋แตกต่างจากชายหนุ่มทั่วไปไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว อารมณ์ และความเข้าใจชีวิต ล้วนเป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากชายหนุ่มในวัยยี่สิบทั่วไป
“เวลานี้ข้าเองก็กระดากใจไม่น้อยที่ต้องเรียกท่านว่าท่านปู่..”
เสี่ยวเจิ้งจี๋โบกไม้โบกมือและรู้ว่าเหตุใดหลิงหยุนจึงมีสีหน้าเช่นนั้น เพราะเมื่อวานเขาพบเห็นสีหน้าเช่นนี้จากลูกชาย และลูกสะใภ้ของตนมาโดยตลอด
นี่นับเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว..
เวลานี้ทั้งใบหน้าของท่านหมอเสี่ยวมีทั้งโมโหสับสน และทำอะไรไม่ถูก ปะปนอยู่รวมกันไปหมด
เวลานี้สายตาของท่านหมอเสี่ยวที่จ้องมองหลิงหยุนซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามนั้นยังคงมีวี่แววของความขุ่นเคืองใจไม่น้อย
“เจ้านั่งลงก่อนสิ..”
ท่านหมอเสี่ยวยังคงปรับตัวเข้ากับชุดชาวเผ่าเหมี่ยวได้ไม่ดีนักจึงมิสะดวกเดินเหิน เขายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ในขณะที่เอ่ยปากเรียกให้หลิงหยุนนั่งลง ก่อนจะเอ่ยกับหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงดุดัน
“เจ้าเด็กตัวแสบ..เจ้าให้ข้ากลืนโอสถนั่นแล้ว เจ้าก็หายหัวไป รู้หรือไม่ว่าข้าต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้าง”
“รู้หรือไม่ว่าข้ากับเหมี่ยวเชิงพบกันเมื่อวานในสภาพเช่นใดบ้าง”
สีหน้าท่าทางของเสี่ยวเจิ้งจี๋นั้นบ่งบอกถึงความตื่นเต้นแต่มิใช่เพราะการได้เป็นเจ้าบ่าวในวันนี้ แต่เป็นเพราะเขากำลังพูดถึงอายุที่แท้จริงกับรูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งต่างกันอย่างยากที่ไม่อาจเชื่อมโยงกันได้..
แต่หลิงหยุนกลับเพียงแค่นั่งฟังท่านหมอเสี่ยวอย่างเงียบๆโดยมิได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่น้อย..
นั่นเพราะเขารู้ดีว่าผู้ที่เพิ่งผ่านการฟื้นฟูร่างกายครั้งใหญ่มาเช่นนี้ย่อมต้องเผชิญกับสถานการณ์ในลักษณะนี้ และมิมีผู้ใดที่จะหลีกเลี่ยงได้ เว้นแต่ว่าคนผู้นั้นจะเกิดในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ และฝึกวรยุทธบ่มเพาะตั้งแต่ในวัยเยาว์ จนรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา และมิได้ใส่ใจกับมัน
เวลาช่วงเช้าของเมื่อวานหลังจากส่งมอบโอสถและเสร็จสิ้นภารกิจของตนเองแล้ว หลิงหยุนก็ได้ตัดสินใจพาเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว หาใช่เพียงเพราะเขามิต้องการอยู่เป็นก้างขวางคอของคนทั้งคู่ไม่ แต่เป็นเพราะต้องการหลีกหนีสถานการณ์เช่นนี้ด้วย
ในคืนเมื่อวานนั้นท่านหมอเสี่ยวยังคงมีความสุข และดีอกดีใจกับวัยเยาว์ที่เพิ่งได้มา แต่หลังจากนั้นเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้รู้สึกไม่ดีนัก
และการปรับตัวจำเป็นต้องอาศัยเวลาและต้องอาศัยเวลาที่นานมาก..
เสี่ยวเจิ้งจี๋กับเหมี่ยวเฟิงหวงสามารถคืนดีกันได้แต่หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ต้องเผชิญหน้ากับลูกชายของตนเอง ซึ่งในความเป็นจริง.. เวลานี้เหมี่ยวชิงกลับดูไม่เหมือนลูกชาย รูปลักษณ์ของเขาดูมีอายุมากพอที่จะเป็นพ่อของพวกเขาทั้งคู่มากกว่า
แล้วเช่นนี้..ข้าจะออกไปเผชิญหน้ากับผู้คนข้างนอกได้อย่างไรกันเล่า!
“เจ้าเด็กตัวแสบ..เจ้าช่วยแนะนำข้าที ข้าควรทำเช่นใด”
เสี่ยวเจิ้งจี๋เห็นท่าทางสงบนิ่งของหลิงหยุนก็รู้ว่าได้ทันทีว่าเขากำลังใช้ความคิดอยู่ จึงมิได้คะยั้นคะยอ หรือพูดอะไรมากไปกว่านั้น
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเตือนว่า“ท่านปู่เสี่ยว วันนี้เป็นวันมงคลของท่าน หากท่านมิออกไป ข้าเกรงว่าคงจะมิเหมาะสมเป็นแน่! ”
เสี่ยวเจิ้งจี๋ทำสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะกลับไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “ข้าถึงได้ขอคำแนะนำเจ้าอยู่นี่ไงเล่า”
หลิงหยุนลุกขึ้นยืนเอามือไขว้หลังจากนั้นจึงเริ่มเดินกลับไปกลับมาอย่างช้าๆอยู่ภายในบ้าน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ทุกสิ่งในโลกใบนี้หากต้องการประโยชน์จากมัน ย่อมต้องยอมรับความทุกข์ของมันด้วย..”
จากนั้นหลิงหยุนก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางบ้านของเหมี่ยวเฟิงหวงพร้อมกับกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านปู่..ท่านดูท่านย่าเหมี่ยวเวลานี้สิ นางแต่งกายงดงามดูราวกับเด็กสาวในวัยสิบเก้าปี รอยยิ้มประหนึ่งบุปผาแย้มบาน เดินเหินดั่งผีเสื้อโบยบิน เห็นได้ชัดว่านางสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพที่เป็นอยู่นี้ได้แล้ว ท่านต้องเรียนรู้ที่จะเป็นเช่นนาง..”
“นางปรับตัวได้แล้วรึ!”
หลังจากที่ได้ฟังหลิงหยุนกล่าวถึงเหมี่ยวเฟิงหวงสีหน้าของเขาก็ยิ่งเศร้าสร้อยมากขึ้น “นั่นสินะ.. ตั้งแต่ที่นางได้โอสถจากข้าไป ใบหน้าของนางก็มีแต่รอยยิ้ม…”
“นั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว..”
หลิงหยุนยักไหล่พร้อมกับเอ่ยต่อ“นั่นเป็นสิ่งที่ควรจะต้องเป็นมิใช่รึ”
“ส่วนความกังวลของท่านในเรื่องช่องว่างระหว่างวัยที่ไม่สัมพันธ์กับรูปลักษณ์ของท่าน จนทำให้มิสามารถออกไปเผชิญหน้าได้นั้น..”
“เรื่องเหล่านี้หาใช่ปัญหาใหญ่โตไม่เพียงแค่อาศัยเวลาสักสองสามวันในการปรับตัว หลังจากนั้นทุกอย่างก็จะค่อยๆดีขึ้นเอง”
ท่านหมอเสี่ยวถึงกับพูดอะไรไม่ออก..
เพราะความจริงแล้วการที่จู่ๆกลับกลายเป็นชายหนุ่มในวัยเพียงแค่ยี่สิบปีเช่นนี้ เขาทั้งมีความสุขและตกใจในคราเดียว จนมิอาจปิดบังซ่อนเร้นอารมณ์ความรู้สึกไว้ได้ นั่นเพราะความรู้สึกที่ได้กลับกลายเป็นหนุ่มอีกครั้งนั้น ได้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเขานับจากนี้ไป
ยกตัวอย่างเช่น..ในเรื่องของสรีระร่างกายที่กลับมาเป็นหนุ่มอีกครั้ง สิ่งที่ท่านหมอเสี่ยวสัมผัสได้ชัดเจนอย่างที่สุดคือ ความรู้สึกของชายชาตรีในยามตื่นนอนตอนเช้า
นั่นเพราะโอสถเยาว์วัยนั้นไม่เพียงเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ให้กลายเป็นหนุ่มเท่านั้นแต่ยังเปลี่ยนแปลงความรู้สึกต่างๆภายในร่างกายอีกด้วย
ท่ามกลางผู้คนมากมายภายในขุนเขาหลายลูกนอกจากหลิงหยุนแล้ว ก็มิมีผู้ใดที่ท่านหมอเสี่ยวจะสามารถพูดจาได้อย่างเปิดอกเช่นนี้
“เอาล่ะ..ข้าเข้าใจในสิ่งที่เจ้าพูดแล้ว!”
ท่านหมอเสี่ยวลุกขึ้นยืนคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยในขณะที่เอ่ยออกไปว่า “แต่วันนี้ด้านนอกมีผู้คนมากมาย ข้าควรทำเช่นใดบ้าง!”
“ไม่เอาน่า..” หลิงหยุนจ้องมองเสี่ยวเจิ้งจี๋พร้อมกับหัวเราะออกมาก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ท่านปู่.. ท่านในฐานเจ้าบ่าวก็แค่ทำตามขั้นตอนในพิธีไป เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้เอง นี่เพียงแค่วันแรกเท่านั้น..”
เสี่ยวเจิ้งจี๋เอ่ยตอบด้วยสีหน้ากังวลใจ“เพียงแค่นั้นจริงรึ!”
“จริงสิ!”
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆจากนั้นก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางห้องนอนที่อยู่ด้านข้าง พร้อมกับเอ่ยต่อ “หลังจากส่งตัวเข้าหอแล้ว ท่านก็แค่ปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้นเท่านั้น!”
“เจ้าพูดจาเพ้อเจ้ออะไร!”
เวลานี้สิ่งที่เสี่ยวเจิ้งจี๋กลัวที่สุดก็คือการถูกหลิงหยุนเย้าแหย่จึงแสร้งทำเป็นดุไป และบอกให้หลิงหยุนนั่งลงอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยบอกความรู้สึกของตนเวลานี้
“หลิงหยุน..ขอบอกเจ้าตามตรง เวลานี้ข้าตื่นเต้นยิ่งนัก เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้าสักครู่จะได้หรือไม่”
หลิงหยุนยิ้มขื่นพร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า“ข้าคงจะเลี่ยงไม่ได้ เพราะด้านนอกมีผู้คนอยู่เต็มไปหมด ข้าเองก็ไม่มีที่จะไปเช่นกัน..”
จากนั้นทั้งสองคนก็นั่งสนทนากันต่ออีกราวสิบกว่านาทีนับว่าคำแนะนำของหลิงหยุน และการอยู่เป็นเพื่อนนั้น เป็นประโยชน์ต่อท่านหมอเสี่ยวยิ่งนัก เพราะเวลานี้เขารู้สึกว่าจิตใจของตนสงบลงไปอย่างมาก
“หลิงหยุนตอนนี้ยังพอมีเวลา ข้ามีเรื่องสำคัญสองสามเรื่องจะต้องบอกกับเจ้า!”
จู่ๆท่านหมอเสี่ยวก็หันไปมองหลิงหยุน พร้อมกับจ้องมองเขา แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงจริงจัง
“เชิญท่านปู่เสี่ยวกล่าวได้เลย..”หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับตั้งอกตั้งใจฟัง
“เรื่องแรก..เฟิงหวงฝากคำพูดมาถึงเจ้า”
เสี่ยวเจิ้งจี๋เอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางบ้านของเหมี่ยวเฟิงหวง“โอสถสองเม็ดที่เจ้ามอบให้กับเฟิงหวงนั้นไดเ้ปลี่ยนโลกของนางอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่เฟิงหวงกลืนโอสถเข้าไปแล้ว ร่างกายของนางก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก นางบอกกับข้าว่า บุญคุณของเจ้าครั้งนี้ นางคงมิอาจตอบแทนได้ในชาตินี้ ฉะนั้น.. ตราบใดที่เจ้าเอ่ยปาก ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟพวกเราทั้งสองก็ยินดีทำ!”
หลิงหยุนเอ่ยตอบกลับไปทันที“ท่านปู่เสี่ยว.. ระหว่างข้ากับท่านเรื่องบุญคุณหาใช่เรื่องที่ต้องพูดถึงไม่..”
เสี่ยวเจิ้งจี๋ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับเอ่ยตอบ“เจ้าฟังข้าพูดให้จบก่อนหลิงหยุน.. เจ้าคงเคยได้ยินคำกล่าวว่าเมื่อมีบุญคุณย่อมต้องทดแทนสินะ”
“เพียงแต่เวลานี้เฟิงหวงยังไม่สะดวกจะเอ่ยกับเจ้าด้วยตัวเองนางจึงได้ฝากข้ามาบอกแทน..”
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆและตอบกลับไปเพียงแค่สั้นๆ “ข้ารับไว้ด้วยใจ..”
“ส่วนเรื่องที่สอง..” ท่านหมอเสี่ยวกล่าวต่อว่า“เฟิงหวงบอกกับข้าว่า หลังจากที่แต่งงานกันแล้ว นางต้องการให้ข้าอยู่กับนางที่เผ่าเหมี่ยวเจียงเป็นเวลาหนึ่งปี..”
“ภายในหนึ่งปีนี้เฟิงหวงต้องจัดการหลายสิ่งหลายอย่างภายในเผ่า รวมถึงเรื่องการคัดเลือกธิดาเหมี่ยวเจียงคนใหม่ด้วย แล้วหลังจากนั้นไม่ว่าข้าจะไปที่ใด นางก็พร้อมจะติดตามข้าไปด้วย..”
“โอ้..ดูเหมือนโอสถทั้งสองของข้าจะได้ผลดีมากทีเดียว ท่านย่าเหมี่ยวถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้”
หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยต่อ“นี่นับเป็นข่าวดี ข้าคงต้องขอแสดงความยินดีกับท่านปู่ล่วงหน้า..”
ท่านหมอเสี่ยวนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าและเอ่ยต่อว่า“นับเป็นเรื่องดีก็จริงอยู่ แต่หากข้าต้องอยู่ที่นี่นานถึงหนึ่งปี แล้วธุรกิจที่จิงฉูเล่า..”
“เรื่องนี้ท่านปู่อย่าได้กังวลใจไป..” หลิงหยุนรู้ดีว่าเสี่ยวเจิ้งจี๋หมายถึงเรื่องการดูแลโรงพยาบาลหลิงหยุนเขาจึงได้ตอบกลับไปว่า “ธุรกิจในเมืองจิงฉู ข้าจะจัดการตามความเหมาะสม ท่านปู่อย่าได้กังวลใจไปเลย..”
หลิงหยุนหันหน้ามองไปยังเนินเขาเขียวชะอุ่มด้านนอก“ที่นี่สงบเงียบยิ่งนักเมื่อเทียบกับโลกภายนอกที่วุ่นวาย อากาศก็ดีประหนึ่งสรวงสวรรค์”
“ท่านอยู่ที่นี่หนึ่งปีย่อมต้องมีเวลาฝึกวรยุทธไปด้วย หลังจากออกจากที่นี่ไปคงจะก้าวหน้าไม่น้อยทีเดียว อีกทั้งท่านย่าเหมี่ยวก็ได้ถอนหนอนกู่ในกายท่านออกแล้ว จากนี้ไปหากพวกท่านทั้งสองสนับสนุนซึ่งกันและกัน เชื่อว่าจะสามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเป็นแน่!”
ท่านหมอเสี่ยวฟังหลิงหยุนที่กล่าวออกมาจากใจจริงเช่นนั้นก็ได้แต่พยักหน้าและเอ่ยต่อว่า “ส่วนแผนการของข้านับจากนี้..”
ท่านหมอเสี่ยวหันไปมองหลิงหยุน“เดิมทีเมื่อครั้งที่เจ้าเปิดคลินิกสามัญชน ข้าได้มอบธุรกิจบางส่วนของข้าให้กับเจ้าเป็นของขวัญ แต่นับจากนี้ไปธุรกิจของข้าทั้งหมดของมอบให้เจ้า..”
“…”
หลิงหยุนถึงกับพูดอะไรไม่ออกแต่หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยออกไปว่า “ท่านปู่.. ที่ท่านยกให้ข้าเพราะขี้เกียจดูแล้วสินะ..”
เสี่ยวเจิ้งจี๋ตอบกลับยิ้มๆ“ใครบอกว่าข้าขี้เกียจที่จะดูแลกันเล่า”
เขายกมือขึ้นชี้ออกไปด้านนอกประตูพร้อมกับเอ่ยต่อ“หลิงหยุน.. อย่าลืมว่าข้าเป็นใครมาก่อน เจ้าเห็นทุ่งหญ้าและสภาพอากาศด้านนอกหรือไม่ เจ้าคิดเช่นใดหากจะทำการปลูกสมุนไพรพลังชีวิต..”
“พวกเราตั้งใจว่าจะทำที่นี่ให้เป็นทุ่งสมุนไพรพลังชีวิตหรือปลูกผักและผลไม้ หลังจากเติบโตมากพอ ก็จะส่งให้กับบริษัท หลิงหยุน คอร์ปอเรชั่นของเจ้า เจ้าคิดเห็นเช่นใด” ท่านหมอเสี่ยวเอ่ยขึ้นด้วยแววตาเป็นประกาย!!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร