บทที่ 1490 : สิ้นสุดงานแต่งงาน
หลังจากที่ได้รู้ความตั้งใจจริงของเสี่ยวเจิ้งจี๋หลิงหยุนถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความดีใจ
“ท่านปู่เสี่ยว..ดีมาก.. เป็นความคิดที่ดีมากเลยทีเดียว!”
แม้กุ้ยโจวจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแปดขุนเขาหนึ่งสายน้ำ และหนึ่งทุ่งกว้าง แต่ทุ่งกว้างนี้ก็หาได้เป็นทุ่งที่แห้งแล้งไม่ ตรงข้ามกลับเป็นทุ่งที่อุดมสมบูรณ์ยิ่ง!
ยิ่งไปกว่านั้นไม่เพียงแค่ทุ่งกว้างที่อุดมสมบูรณ์ แม้แต่เนินเขาหรือภูเขาก็ล้วนแล้วแต่เขียวชะอุ่มไปด้วยต้นไม้ มิมีเขาลูกใดที่ดูแห้งแล้งเลยแม้แต่ลูกเดียว..
และที่สำคัญคือหมู่บ้านเหมี่ยวนั้นรายล้อมไปดูขุนเขามากมายนับแสนลูก อีกทั้งยังอยู่ในหุบเขาลึก เรียกได้ว่าเกือบจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง จึงมิถูกมลพิษของเมืองอุตสาหกรรมสมัยใหม่รบกวน ขุนเขาสายน้ำ และป่าไม้ที่นี่ จึงยังคงมีพลังชีวิตอยู่เต็มเปี่ยม และเป็นเช่นนี้มานานหลายปี!
หากสามารถเปลี่ยนผืนดินจากที่อุดมไปด้วยพลังชีวิตนี้มาปลูกสมุนไพรพลังชีวิต พืชผัก และผลไม้พลังชีวิตได้ แน่นอนว่าย่อมมิสิ่งใดดีไปกว่านี้อีกแล้ว!
หลิงหยุนจึงรีบหันไปพูดกับท่านหมอเสี่ยวว่า“ท่านปู่.. ท่านเองก็ดูแตกต่างไปจากเมื่อหกเดือนก่อนเช่นกัน”
เสี่ยวเจิ้งจี๋ยิ้มเล็กน้อยเขาก้มลงมองชุดชาวเผ่าที่ตนเองสวมใส่อยู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นครึ่งปีที่ผ่านมา ข้ายังไม่คิดไม่ฝันว่าตนเองจะได้มายืนอยู่ในหมู่บ้านเหมี่ยวอีกครา อีกทั้งยังได้สวมใส่ชุดเจ้าบ่าว แต่งงานกับหญิงสาวที่ชื่อเฟิงหวง แม้ตัวข้าเองยังเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มในวัยยี่สิบปีเช่นนี้..”
หลิงหยุนไม่เพียงเติบโตก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วแต่ยังเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆอีกด้วย ฉะนั้นผู้คนรอบตัวเขาจึงต้องมีการปรับตัวที่ดี เพื่อให้สามารถก้าวตามทันการเปลี่ยนแปลงของเขาได้
เพื่อที่จะให้สามารถติดตามหลิงหยุนได้ตี้เสี่ยวอู๋ต้องเพียรฝึกวรยุทธบ่มเพาะอย่างหนัก แม้ในยามที่ต้องหลับนอน เขายังเพียรฝึกวิชาเพื่อมิให้ตนเองล่าช้าจนมิอาจตามหลิงหยุนทันได้
ส่วนถังเมิ่งเมื่อครั้งที่อยู่ในโรงเรียนมัธยมจิงฉูนั้นเขาก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่ทำอะไรไม่เป็น แม้ว่าเขาจะไม่ชื่นชอบการฝึกวรยุทธ แต่ก็แอบศึกษาการทำธุรกิจอย่างหนัก เรียนรู้มารยาทการเข้าสังคม.. ในช่วงเวลาสั้นๆ เขาเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสามารถพัฒนาความสามารถของตนเองให้หลากหลาย และฝึกฝนให้ตนเองมีคุณภาพมากขึ้น เพื่อให้สมกับฐานะของตัวเองในปัจจุบัน และในยามที่ต้องไปเจรจาธุรกิจจะได้ไม่รู้สึกอับอายขายหน้า มิใช่เพียงแค่ตี้เสี่ยวอู๋กับถังเมิ่งเท่านั้นแม้แต่เฉิงเม่ยเฟิง เหยาลู่ และอีกหลายๆคน ทุกคนที่อยู่ใกล้ชิดกับหลิงหยุน พวกเขาล้วนแล้วแต่ต้องพัฒนาตัวเองอย่างหนักมากทั้งสิ้น
ครึ่งปีก่อนหน้านี้..เมื่อครั้งที่ท่านหมอเสี่ยวได้พบกับหลิงหยุนเป็นครั้งแรก และหลิงหยุนได้ใช้วิชาเก้าเข็มปลุกชีพซึ่งเป็นวิชาแพทย์ในตำนาน ช่วยสะกดหนอนกู่กลืนใจภายในร่างให้กับเขานั้น ครั้งนั้นท่านหมอเสี่ยวก็มั่นใจว่า ในวันข้างหน้าหลิงหยุนจะต้องเป็นผู้ที่ก้าวหน้าและยิ่งใหญ่อย่างน่าตกตะลึงคนหนึ่ง!
หลังจากพบกันได้เพียงไม่นานหลิงหยุนก็ขึ้นมาจากหลุมยักษ์ และได้นำสมุนไพรหายากรวมทั้งน้ำลายมังกรในตำนาน มามอบให้ท่านหมอเสี่ยวในวันเกิดของเสี่ยวเม่ยหนิง..
และครั้งนั้นก็ได้สร้างความตื่นตะลึงและตระหนกตกใจให้กับเสี่ยวเจิ้งจี๋อย่างที่สุด!
แต่เมื่อถึงวันเปิดคลินิกสามัญชนของหลิงหยุนท่านหมอเสี่ยวเองก็ได้มอบของขวัญที่น่าตกใจให้กับเขาเช่นกัน อีกทั้งยังมอบธุรกิจบางส่วนของตนให้กับหลิงหยุนอีกด้วย และนั่นยิ่งเป็นการผูกสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลิงหยุนให้แน่นแฟ้นขึ้น
หลังจากนั้นตลอดสองสามเดือนเขาก็เฝ้ามองความก้าวหน้าที่อัศจรรย์ของหลิงหยุนอยู่ห่างๆ แม้เสี่ยวเจิ้งจี๋จะเฝ้าดูอยู่อย่างเงียบๆ แต่หลิงหยุนก็ทำให้เขาตกใจได้ครั้งแล้วครั้งเล่า มาโดยตลอด
และนับแต่นั้นทำเสี่ยวเจิ้งจี๋ได้แต่คิดว่าเขาเองไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้อีก และต้องทำอะไรบางอย่าง
ดังนั้นในวันที่แปดเดือนแปดซึ่งหลิงหยุนเปิดบริษัท หลิงหยุน คอร์ปอเรชั่นอย่างเป็นทางการ เขาจึงได้ตัดสินใจเข้าไปช่วยบริหารงานในโรงพยาบาลหลิงหยุน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพ่อแม่ของเสี่ยวเม่ยหนิงนำโอสถเยาว์วัยและโอสถโฉมสะคราญที่หลิงหยุนมอบให้มาเขายิ่งปักใจเชื่อว่าหลิงหยุนนั้นเสมือนเทพเจ้ามาจุติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตนเองได้กลืนโอสถทั้งสองด้วยตนเองจนกลายเป็นชายหนุ่มในวัยยี่สิบปีเมื่อวานนี้ ในสมองของเขาจึงเกิดความคิดมากมาย
เขาเองมิได้เรียนรู้เพียงแค่เรื่องการแพทย์แผนจีนมาเท่านั้นแต่ความรู้ในเรื่องของการปลูกสมุนไพรต่างๆ ยังมิแพ้เรื่องทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศของตนด้วย
หาไม่แล้วในช่วงเวลาที่เขาหลบไปอยู่อย่างเงียบๆในเมืองจิงฉูนั้น คงจะมิสามารถปลูกสมุนไพรพลังชีวิตมากมายภายในสวนที่บ้านได้เป็นแน่
เสี่ยวเจิ้งจี๋ชื่นชอบและรักงานด้านนี้ของตนยิ่งนักและพยายามทำตามความฝันของตนเอง เวลานี้เขาได้กลับมาเป็นหนุ่มอีกครั้ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กลับมาทำในสิ่งที่ตนรักให้ดีที่สุดอีกครั้ง
ฉะนั้นความคิดของเสี่ยวเจิ้งจี๋ในครั้งนี้จึงมิใช่เป็นเพียงความคิดที่เลิศหรู แต่เป็นความคิดที่เหมาะสม และสามารถทำได้จริง ฉะนั้น..การสร้างทุ่งพลังชีวิตขึ้นเพื่อปลูกสมุนไพรพลังชีวิต และผลไม้พลังชีวิต จึงเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง!
แล้วหลิงหยุนจะมิต้องการเช่นนั้นหรือแน่นอนว่าเขาย่อมต้องการมากเลยทีเดียว!
หลิงหยุนอยู่ในช่วงของการฝึกวรยุทธบ่มเพาะและคนรอบตัวเขามากมายก็ทุ่มเทให้กับฝึกฝนวรยุทธบ่มเพาะ จากนี้ไปอีกไม่นาน เขาเองก็คงต้องหลอมกลั่นโอสถชุดใหญ่ ฉะนั้นสมุนไพรพลังชีวิตจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง และมีความต้องการในปริมาณที่มากมาย
แต่แน่นอนว่าความคิดเช่นนี้จะมิสามารถเป็นจริงได้หากมิมีคนที่เหมาะสมเป็นผู้ลงมือทำ และแทบไม่ต้องสงสัยว่าผู้ที่เหมาะสมที่สุดจะเป็นผู้ใดไปมิได้นอกจากเสี่ยวเจิ้งจี๋!
ด้วยเหตุผลข้อแรกเสี่ยวเจิ้งจี๋ได้ฉายาหมอเทวดา ข้อสองเขามีอายุเจ็ดสิบปีใช้ชีวิตมาเลยครึ่งชีวิตและอยู่จิงฉูมานานกว่ายี่สิบปี แต่ในเวลานี้เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มในวัยยี่สิบปี
ไม่ว่าจะเป็นฐานะทางสังคมความรู้และประสบการณ์ในธุรกิจ และวัยวุฒิ.. ทั้งหมดทั้งมวล ทำให้เขามิได้ใช้ชีวิตเพื่อชื่อเสียง หรือว่าเงินทองอีกแล้ว และย่อมจะไม่ถูกโลกภายนอกที่วุ่นวายครอบงำ
สิ่งเดียวที่เขาต้องการในเวลานี้คือทำในสิ่งที่ต้องเองต้องการทำเท่านั้น!
เวลานี้เสี่ยวเจิ้งจี๋และหลิงหยุนกำลังคิดการใหญ่ที่จะพลิกขุนเขานับแสนลูกนี้ ให้กลายเป็นผืนดินแห่งพลังชีวิต!
“หลิงหยุน..ในสายตาของผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะด้วยกันนั้นเจ้าจักต้องเป็นคนผู้นั้นแน่!”
ท่านหมอเสี่ยวหันไปมองหลิงหยุนสีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง คำพูดเหล่านี้ท่านหมอเสี่ยวมิเคยเอ่ยกับหลิงหยุนมาก่อน แต่เวลานี้เขาเอ่ยมันออกมาต่อหน้าหลิงหยุน
“ฮ่าๆๆๆ”
หลิงหยุนยิ้มกว้างก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขเขาส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมตอบกลับไปว่า “ท่านปู่เสี่ยว ท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าคงมิอาจรับไว้ได้..”
“เจ้ามิจำเป็นต้องรับแต่ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าใจ”
ท่านหมอเสี่ยวเอ่ยตอบไปเพียงเท่านั้นจึงได้เปลี่ยนเรื่อง “ข้าเห็นเจ้าใช้เปลวเพลิงห้าธาตุหยิน–หยางเปลี่ยนผืนดินธรรมดาให้เป็นผืนดินพลังชีวิตได้ในพริบตา ข้าจึงเชื่อโครงการของข้าจะมิใช่เรื่องยากอีกต่อไป..”
“สำหรับเมล็ดพันธุ์ของสมุนไพรพลังชีวิตนั้นตราบใดที่โลกนี้ยังไม่ขาดแคลน เราก็ไม่ขาดแคลนเช่นกัน ส่วนเรื่องของการปลูกนั้น จะมีข้า เฟิงหวง และเสี่ยวเหมา พวกเราทั้งสามคนจะช่วยกันดูแล รับรอบว่าไม่มีปัญหาใดแน่.. หากวันข้างหน้าการเพาะปลูกเจริญเติบโตได้ดี..”
ท่านหมอเสี่ยวยกมือขึ้นชี้อออกไปที่ฝูงชนด้านนอกพร้อมกับหัวเราะ“ตราบใดที่เจ้าให้เงินทองพวกเขามากพอ ข้าเชื่อว่าพวกเขาย่อมมีความสุขเป็นแน่..” หลิงหยุนได้แต่ทำหน้ามุ่ยพร้อมกับแอบคิดอยู่ในใจว่าคิดไม่ถึงท่านหมอเสี่ยวจะมาไม้นี้..
“นี่เจ้าเด็กแสบ..เจ้ามิต้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น”
ดูเหมือนท่านหมอเสี่ยวจะคาดเดาความคิดของหลิงหยุนได้ถูก“หมู่บ้านนี้มิได้ติดต่อกับโลกภายนอกเพราะเป็นคำสั่งของเฟิงหวง แต่ตอนนี้จิตใจของนางก็เปลี่ยนไปแล้ว เราจะปล่อยให้พวกเขาอยู่อย่างยากจนต่อไปเหมือนก่อนได้อย่างไรกันเล่า..”
หลิงหยุนพยักหน้าหมู่บ้านเหมี่ยวนี้ตัดขาดจากโลกภายนอกจริงๆ ไม่มีไฟฟ้า จึงแทบมิต้องพูดถึงโทรศัพท์ ทีวี หรือตู้เย็น
“ที่นี่ล้าหลังจากโลกภายนอกไปไกลถึงห้าสิบปีเรื่องนี้เฟิงหวงติดหนี้พวกเขา พวกเราทั้งสองติดหนี้พวกเขา และหนีนี้ข้าเองก็ต้องกลับมาชดใช้!”
ท่านหมอเสี่ยวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังสีหน้าและแววตาของเขาหม่นหมองเศร้าสร้อย แต่กลับเปล่งประกายมุ่งมั่น
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มพร้อมเอ่ยออกไปว่า“อาวุโสช่างมีจิตใจที่สูงส่งยิ่งนัก”
“ความคิดของท่านปู่ในครั้งสี้ล้วนส่งผลดีต่อทุกๆคน”
ท่านหมอเสี่ยวส่ายหน้าจ้องมองหลิงหยุน“ต่อให้มีความคิดที่ดี แต่มิลงมือทำ ต่อให้เป็นความคิดที่ดีที่สุดก็ไร้ประโยชน์!”
บูม!!
เปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางของหลิงหยุนถูกปลดปล่อยออกมาบ้านทั้งหลังถูกเปลวไฟทั้งเจ็ดสีโอบล้อมรวมทั้งคนทั้งสองด้วย หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยว่า
“ท่านปู่..ความจริงท่านมิจำเป็นต้องพูดอ้อมค้อม หลังจากเสร็จสิ้นงานในวันนี้ ข้าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวัน ช่วยท่านสร้างทุ่งพลังชีวิตให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้..”
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็นั่งปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาทุ่งพลังชีวิตนี้และรายละเอียดการปลูกสมุนไพรพลังชีวิตรวมถึงการเลือกสถานที่ การเก็บ การขนส่ง และปัญหาอื่นๆ
แม้เรื่องเหล่านี้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยของพวกเขาแต่จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนในเผ่าได้อย่างมากทีเดียว
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้ถามท่านหมอเสี่ยวว่าเขาต้องการให้เสี่ยวเม่ยหนิงและพ่อแม่ของนางมาร่วมงานครั้งนี้ด้วยหรือไม่ หากต้องการ หลิงหยุนก็สามารถเหาะกลับไปรับพวกเขามาได้อย่างง่ายดาย
แต่ท่านหมอเสี่ยวกลับส่ายหน้าเพราะมิรู้ว่าจะมีปัญหาใดตามมาหรือไม่ หลิงหยุนเห็นท่านหมอเสี่ยวมีความกังวลใจ จึงมิได้คะยั้นคะยอ..
ทั้งสองคนสนทนากันจนถึงเวลาเก้าโมงเช้าจากนั้นเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็เข้ามาหา..
ใบหน้าของเหมี่ยวเสี่ยวเหมายิ้มแย้มราวกับบุปผาแย้มบานและแสร้งทำเป็นบ่นว่า“แขกสำคัญๆมาถึงแล้ว งานกำลังใกล้จะเริ่มแล้ว เหตุใดยังนั่งอยู่ที่นี่อีกเล่า..”
ใบหน้าของท่านหมอเสี่ยวเปลี่ยนจากตื่นเต้นเป็นเศร้าสร้อยเขาเหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าคิดว่าจะมีเพียงแค่คนในครอบครัวรับประทานอาหารร่วมกันเท่านั้นคิดไม่ถึงว่าเฟิงหวงจะจัดงานใหญ่โตถึงเพียงนี้..”
“นี่เป็นเรื่องจำเป็นยิ่ง!”
หลิงหยุนลุกขึ้นไปยืนข้างเหมี่ยวเสี่ยวเหมาพร้อมกับเอ่ยออกมาและได้แต่คิดว่านี่เป็นการแต่งงานครั้งที่สองของท่านหมอเสี่ยว แต่เป็นครั้งแรกของท่านย่าเหมี่ยว เวลานี้ได้เวลาที่นางจะคืนหน้าตาให้กับตนเอง..
“ท่านปู่..อย่าบอกนะว่าจริงๆแล้วท่านปู่ไม่อยากแต่งงานกับท่านย่า ข้าจะไปฟ้องท่านย่า..”
“…”เสี่ยวเจิ้งจี๋ได้แต่นิ่งเงียบไป
หลิงหยุนจึงได้แต่เอ่ยขึ้นว่า“ท่าปู่เสียวเพียงแค่เขินอายที่จะต้องไปเผชิญหน้ากับผู้คนข้างนอกต่างหากเล่า..”
“เขินอาย..เหตุใดต้องเขินอายด้วยเล่า”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดีอยู่แล้วจึงได้แต่เอ่ยไปว่า “ท่านปู่ ชุดแต่งงานที่ท่านปู่สวมใส่อยู่นี้ ท่านย่าได้ตัดไว้ให้ท่านมานานถึงสี่สิบกว่าปี คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุด ท่านปู่จะได้สวมใส่มันจริงๆ!”
“เอ่อ..”
ท่านหมอเสี่ยวถึงกับนิ่งอึ้งไปความจริงเมื่อคืนที่เหมี่ยวเฟิงหวงหยิบชุดนี้ออกมาให้เขานั้น ดวงตาของนางก็แดงก่ำ แต่ก็มิได้บอกเรื่องนี้ให้เขารู้ เขาจึงมิได้รู้ที่มาของชุดที่สวมใส่อยู่นี้
แต่เวลานี้เขาก็ได้รู้แล้ว..
“ท่านปู่ท่านต้องตามใจท่านย่าหน่อย นางรอท่านปู่มานานมาก..”
ระยะเวลาสี่สิบเจ็ดปีสามารถพิสูจน์ได้ว่าหญิงผู้นี้มีความรักมั่นคงมากเพียงใด.. “อืมม..”
ท่านหมอเสี่ยวถึงกับน้ำตารื้นขึ้นมาดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ “เอาล่ะเสี่ยวเหมา เจ้าบอกเล่าพิธีแต่งงานของชาวเหมี่ยวเจียงให้ปู่ฟังคร่าวๆ มีเรื่องใดที่ปู่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ..”
เมื่อเห็นปู่หลานคุยกันหลิงหยุนจึงได้ขอตัวออกไปด้านอก
“เจ้านั่งลงฟังกับข้าด้วย..”
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเสี่ยวเจิ้งจี๋กลับมิยอมให้หลิงหยุนไปพร้อมกับเอ่ยออกไปว่า “จะรู้อย่างไรว่าวันข้างหน้าเจ้าจะไม่ต้องเข้าพิธีเช่นข้าบ้าง…”
หลิงหยุนได้แต่นั่งลงตามคำสั่งของเสี่ยวเจิ้งจี๋..
……
จนกระทั่งเวลาใกล้เที่ยงพิธีวิวาห์ระหว่างเสี่ยวเจิ้งจี๋กับเหมี่ยวเฟิงหวงจึงเริ่มขึ้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขสนุกนานไปทั่วทั้งหมู่บ้านเหมี่ยว ทุกคนต่างก็พากันร้องรำทำเพลงกันอย่างครึกครื้นหลังจากนั้นเหมี่ยวเฟิงหวงก็ถูกนำตัวไปส่งที่บ้านของท่านหมอเสี่ยว และหลิงหยุนก็อยู่ร่วมพิธีทุกขั้นตอน
หลังจากที่เหมี่ยวเฟิงหวงซึ่งมีใบหน้าวัยเยาว์อยู่ในชุดเจ้าสาวเดินออกมานั้นทุกคนที่พบเห็นต่างก็พากันตกตะลึงและตกอกตกใจ เพราะมิมีใครคาดคิดว่าเหมี่ยวเฟิงหวงจะดูราวกับเด็กสาวที่ยังไม่ครบยี่สิบปีเช่นนี้
เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังขึ้นตลอดเส้นทาง..
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีก็คืองานเลี้ยงฉลองที่ยิ่งใหญ่ผู้คนนับพันต่างก็พากันมาร่วมงานจนเต็มลานขนาดใหญ่
สมกับที่เป็นธิดาเหมี่ยวเจียง..
หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลงท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม แขกที่เหลืออยู่เพียงไม่ถึงครึ่ง บางส่วนพักในบ้าน ส่วนแขกที่ยังไม่กลับและไม่มีที่พัก ก็ก่อกองไฟร้องรำทำเพลงกันต่ออย่างมีความสุข หลิงหยุนมิได้อยู่ร่วมงานต่อหลังจากนั้นเขาบอกกับท่านหมอเสี่ยวและเหมี่ยวเฟิงหวง ก่อนจะเข้าไปในป่าที่มิมีผู้คน เหาะขึ้นไปบนอากาศสำรวจหมู่บ้านเหมี่ยว
เขาจำเป็นต้องสำรวจพื้นที่ภายในหมู่บ้านเหมี่ยวเพื่อหาที่สำหรับสร้างทุ่งพลังชีวิตและจิตหยั่งรู้ของเขาก็ตรวจพบสถานที่หลายแห่งซึ่งเหมาะจะสร้างเป็นทุ่งพลังชีวิต
การสร้างทุ่งพลังชีวิตมิได้เกินความสามารถของหลิงหยุนในเวลานี้ด้วยเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยาง วิชาใต้ปฐพี วิชาพฤกษาขจี วิชาคลื่นคงคา ร่วมทั้งค่ายกลต่างๆ ทั้งหมดนี้จะทำให้หลิงหยุนสามารถพลิกผืนดินของหมู่บ้านเหมี่ยวได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เลือกสถานที่สำหรับสร้างทุ่งพลังชีวิตแล้วหลิงหยุนก็ได้เหาะไปหาที่สงบซึ่งมีพลังชีวิตมากพอฝึกวรยุทธบ่มเพาะต่อ
ค่ำคืนผ่านไปจนกระที่เวลาสิบเอ็ดโมงเช้าของวันใหม่หลิงหยุนจึงได้กลับไปยังหมู่บ้านเหมี่ยว เขาเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูและพบว่าท่านหมอเสี่ยวตื่นนอนแล้ว และแขกส่วนใหญ่ที่ค้างคืนก็ได้เริ่มทะยอยเดินทางกลับไปแล้ว ภายในหมู่บ้านเหมี่ยวจึงค่อนข้างสงบเงียบ
หลิงหยุนร่อนลงตรงหน้าบ้านของท่านหมอเสี่ยวพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า
“ท่านปู่เสี่ยว..ท่านย่าเหมี่ยว.. ข้ามาขอขนมแต่งงาน!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร