บทที่ 1491 : เผ่าจิ่วหลี
ท่านหมอเสี่ยวและเหมี่ยวเฟิงหวงแต่งงานกันแล้วและที่นี่คือบ้านของพวกเขาทั้งคู่ หลิงหยุนจึงต้องแสดงความเคารพโดยมิถือวิสาสะเข้าไปด้านใน
“ผู้มีคุณมา!”
เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนเรียกของหลิงหยุนท่านหมอเสี่ยวกับเหมี่ยวเฟิงหวงก็รีบออกมาทักทายทันที แต่เหมี่ยวเฟิงหวงนั้นรีบร้อนออกมาเร็วกว่า และครั้งนี้นางก็ยังคงเรียกหลิงหยุนว่าผู้มีคุณอีก..
เหมี่ยวเฟิงหวงเปิดประตูออกไปพร้อมกับเชื้อเชิญให้หลิงหยุนเข้ามาด้านใน..
เหมี่ยวเฟิงหวงเวลานี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้ยิ่งนักนางดูแก่กว่าเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเพียงแค่สองปีเท่านั้น แม้กระทั่งแต่งกายมิดชิดเช่นนี้ ยังมีแรงดึงดูดในแบบของหญิงสาวฉายออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ท่านย่าเหมี่ยว..ท่านมีพิธีรีตรองกับข้าเช่นนี้ ข้าจะรับไหวได้อย่างไรกัน”
หากเทียบกับโอสถสองเม็ดที่หลิงหยุนมอบให้ไปนั้นการที่เหมี่ยวเฟิงหวงจะเรียกเขาว่าผู้มีคุณก็ย่อมคู่ควร แต่หากพิจารณาจากวัยวุฒิแล้ว หลิงหยุนจึงได้แต่เอ่ยออกไปเช่นนั้น
“ว่าไงพ่อหนุ่ม..เหตุใดจึงมาที่นี่แต่เช้า”
ท่านหมอเสี่ยวยืนเท้าเอวด้วยมือข้างหนึ่งพร้อมกับเอ่ยถามหลิงหยุน..
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและจงใจเหลือบมองไปทางห้องนอนพร้อมกับเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ท่านปู่..หากข้ามาเร็วกว่านี้ คาดว่าเตียงแต่งงานของท่านน่าจะพอซ่อมได้ทัน”
ท่านหมอเสี่ยวได้แต่นิ่งอึ้ง..“….”
ด้านหลังหลิงหยุน..เหมี่ยวเฟิงหวงซึ่งกำลังเดินตามเข้า ถึงกับหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงหยุน!
ระหว่างทางที่เหาะมานั้นหลิงหยุนได้เปิดจิตหยั่งรู้สำรวจดูก่อนหน้าแล้ว จึงได้พบว่าเตียงนอนในห้องส่งตัวของท่านหมอเสี่ยวกับเหมี่ยวเฟิงหวงได้หักลงเมื่อคืนนี้ และเวลานี้ทั้งคู่ก็ได้ใช้ไม้หกอันค้ำยันไว้แทน
“เจ้าวายร้าย!!”
“นี่เจ้ากล้าใช้จิตหยั่งรู้แอบดูข้างั้นรึ!วันนี้ข้าต้องจัดการกับเจ้าแน่ เจ้าวายร้าย!!”
จากนั้นท่านหมอเสี่ยวก็วิ่งไล่หลิงหยุนที่รีบวิ่งหนีออกไปนอกบ้านส่วนหลิงหยุนก็ใช้เงาพลางร่างหลบหนีการจู่โจมของเสี่ยวเจิ้งจี๋ พร้อมกับร้องขอความเมตตาไปด้วย..
“ท่านปู่เสี่ยว..ข้าผิดไปแล้ว.. ข้าผิดไปแล้ว.. แต่ท่านอายุมากแล้วควรต้องระมัดระวังเอวด้วยล่ะ..”
แต่คำร้องขอความเมตตาของหลิงหยุนนั้นกลับยิ่งเสมือนน้ำมันที่ราดลงบนกองเพลิง ท่านหมอเสี่ยวยิ่งโมโหมากขึ้น แต่ก็มิสามารถไล่ตามหลิงหยุนได้ทัน จึงได้แต่ถอดรองเท้าปาออกไป “เจ้าเด็กวายร้าย!!”
หลังจากปารองเท้าใส่หลิงหยุนไปแล้วท่านหมอเสี่ยวก็ได้แต่ยืนชี้หน้าหลิงหยุน พร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า
“เจ้ากล้าพูดกับข้าเช่นนี้..ข้า.. ข้าจัดการกับเจ้าไม่ได้ก็จริง แต่มีคนผู้หนึ่งจัดการกับเจ้าได้แน่!”
“ไว้ข้าว่างเมื่อใด..ข้าจะไปปักกิ่ง ไปฟ้องท่านพ่อกับท่านปู่ของเจ้าให้จัดการเรื่องนี้!!”
ทางด้านเหมี่ยวเฟิงหวงที่ดูอยู่นั้นคราแรกนางก็ตกใจ แต่แล้วก็ได้แต่ยืนหัวเราะ
“หลิงหยุนก็แค่หยอกเย้าเล่นเท่านั้น..ดูท่านสิ!!”
ระหว่างที่หลิงหยุนกับเสี่ยวเจิ้งจี๋กำลังทะเลาะกันอยู่นั้นเหมี่ยวเฟิงหวงก็เดินเข้ามา พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
“ท่านปู่..ข้าก็แค่หยอกเย้าท่านเล่นเท่านั้นเองนะ!”
หลิงหยุนเดินตรงเข้าไปหาเสี่ยวเจิ้งจี๋พร้อมกับเอ่ยต่อ“ท่านปู่เสี่ยว.. ท่านแข็งแรงเช่นนี้ย่อมนับเป็นเรื่องดี ในเมื่อเตียงไม่แข็งแรง ข้าก็จะเปลี่ยนเตียงใหม่ให้ท่าน..”
ระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็ได้เรียกบางสิ่งบางอย่างออกมาจากแหวนจักรวาล แล้วท่อนไม้มากมายก็ลอยออกมากองอยู่ตรงหน้าหลิงหยุนกองใหญ่
เสี่ยวเจิ้งจี๋และเหมี่ยวเฟิงหวงเฝ้ามองหลิงหยุนด้วยความตกใจ..
นั่นเพราะไม้ที่กองอยู่ตรงหน้าหลิงหยุนเวลานี้ล้วนแล้วแต่เป็นไม้ท่อนใหญ่ที่มีน้ำหนักมาก เมื่อกองรวมกันพื้นดินยังถึงกับยุบลงไปเล็กน้อย และไม้เหล่านั้นก็มีไอปราณและส่งกลิ่นหอมอย่างน่าประหลาด
ไม้ทั้งหมดนี้ก็คือไม้มังกรที่หลิงหยุนยึดมาจากวังมังกรนั่นเอง..
“นี่..นี่มัน..”
หลังจากที่นิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึงท่านหมอเสี่ยวก็ถึงกับพึมพำออกมา แม้จะพอคาดเดาได้ แต่ก็มิมั่นใจจึงมิกล้าเอ่ยออกมา..
“นี่คือไม้มังกร!”
หลิงหยุนเอ่ยตอบแทนพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ“นี่คือของขวัญที่ข้าตั้งใจจะมอบให้ในวันแต่งงานของอาวุโสทั้งสอง แต่เป็นเพราะเมื่อวานมีผู้คนอยู่มากมาย ข้าจึงยังมิได้นำมามอบให้กับพวกท่าน”
“ไม้กองนี้น่าจะเพียงพอสำหรับทำเตียงใหม่ในห้องหอของพวกท่านได้..”
“เอ่อ..”
“อะไรนะ!”
ท่านหมอเสี่ยวและเหมี่ยวเฟิงหวงต่างก็ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจทั้งสองคนคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะนำไม้ที่ล้ำค่าเช่นนี้มาทำเป็นเตียงให้กับพวกเขา!
“หลิงหยุน..มันจะดีรึ! ไม้มังกรล้ำค่ายิ่งนัก แต่เจ้าจะนำมาทำเป็นเตียงให้กับพวกเรา..”
เสี่ยวเจิ้งจี๋ได้แต่ส่ายหน้าและปฏิเสธที่จะรับของขวัญชิ้นนี้ เหมี่ยวเฟิงหวงเองก็ส่ายหน้าไปมาเช่นกัน นี่เป็นไม้ล้ำค่าที่ยากจะพบเจอได้ง่ายๆ นางเองก็มิสามารถรับไว้ได้เช่นกัน
“ข้ายังมีไม้มังกรอีกมากมายพวกท่านรับไว้เถิด อย่าได้กังวลใจไป!”
หลิงหยุนควบคุมกระบี่เหินเงาธนูให้ทำการตัดไม้มังกรเป็นชิ้นขนาดพอเหมาะสำหรับสร้างเตียงไม้มังกรนั้นมีความแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าโลหะ หากใช้กระบี่หรือขวานธรรมดาย่อมมิสามารถตัดขาด แต่เวลานี้กระบี่เหินเงาธนูของเขานั้น นับเป็นยุทธภัณฑ์ระดับสมบัติขั้นสูง จึงสามารถตัดไม้มังกรได้อย่างง่ายดาย
“ท่านปู่..เวลานี้ข้าเพียงแค่ช่วยท่านตัดไม้มังกรออกเป็นแผ่นเท่านั้น ส่วนการประกอบเป็นเตียง ท่านให้เสี่ยวเหมาช่วยได้ เวลานี้นางมีกระบี่เหินซึ่งเป็นยุทธภัณฑ์ระดับวิญญาณ สามารถตัดไม้มังกรได้เช่นกัน”
“ข้ารับรองว่าเตียงใหม่นี้ไม่มีทางหักอีกเป็นแน่..”หลิงหยุนเอ่ยทิ้งท้ายยิ้มๆ
“เจ้าวายร้าย!!นี่เจ้ายังมิหยุดอีกรึ!”
เสี่ยวเจิ้งจี๋ถูกหลิงหยุนยั่วโมโหจนใบหน้าแดงก่ำอีกครั้งและทำท่าจะถอดรองเท้าที่เหลืออีกข้าง..
“เอาล่ะๆเลิกทะเลาะกันแล้วไปนั่งคุยในบ้านจะดีกว่า!”
เหมี่ยวเฟิงหวงจับตัวเสี่ยวเจิ้งจี๋ไว้พร้อมกับพยักหน้าเชิญชวนหลิงหยุนให้เข้าไปนั่งในบ้าน ระหว่างนั้นเหมี่ยวเฟิงหวงก็ได้ชงชามาให้ และทำการรินให้หลิงหยุนด้วยตนเอง
“ผู้มีคุณ..ลองดื่มชาเหมาเจียนของเผ่าเราดู แม้จะมิได้มีชื่อเสียงเท่าชาตูหยุนเหมาเจียน แต่รสชาตินั้นมิได้เป็นรองเลย..”
เหมี่ยวเฟิงหวงเอ่ยกับหลิงหยุนด้วยสีหน้าความภาคภูมิใจนางยังคงปฏิบัติต่อหลิงหยุนด้วยความเคารพเช่นเคย..
มณฑลกุ้ยโจวนับเป็นหนึ่งในแหล่งที่ปลูกชามีชื่อเสียงของประเทศจีนและหนึ่งในนั้นก็คือชาตูหยุนเหมาเจียน ซึ่งนับเป็นหนึ่งในสิบของชาที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ
แม้ว่าเหมี่ยวเฟิงหวงจะมิได้ออกจากหมู่บ้านเหมี่ยวมานานหลายปีแต่เมื่อครั้งที่ยังเป็นหญิงสาว นางก็ตระเวนเก็บสมุนไพรไปทั่วขุนเขานับแสนลูก นางจึงมีความรู้ด้านนี้มากมาย
อีกทั้งหลิงหยุนเองก็รู้มาว่าถึงแม้ชนเผ่าในหมู่บ้านเหมี่ยวจะมิได้ออกไปสัมผัสกับโลกภายนอก แต่หมู่บ้านนี้ก็หาใช่ยากจนแต่อย่างใด..
หาไม่แล้วเมื่อครั้งที่หลิงหยุนเปิดคลินิกสามัญชนเหมี่ยวเสี่ยวเหมาคงจะมิสามารถให้ทองคำแท่งจำนวนมากเป็นของขวัญแก่ตนได้ จนกระทั่งเวลานี้ ทองคำแท่งทั้งหกก้อนนั้นยังคงเก็บอยู่ในแหวนพื้นที่ของหลิงหยุน
วันนี้นับเป็นวันที่สามที่หลิงหยุนได้ใช้ชีวิตในหมู่บ้านเหมี่ยวเขาได้เปิดจิตหยั่งรู้ที่แข็งแกร่งของตนเองสำรวจไปทั่วทั้งหมู่บ้านอีกครั้ง และพบว่าตามเนินเขาเตี้ยๆทางด้านตะวันออกของหมู่บ้าน ล้วนปลูกชาเขียวซึ่งส่งกลิ่นหอมและเขียวชะอุ่มอยู่เต็มไปหมด
หลิงหยุนเองก็ได้ลิ้มรสชาติของชาเหล่านั้นไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วมันมีรสชาติที่หวานและหอมหวลยิ่งนัก
“ช่างเป็นชาที่ล้ำเลิศยิ่งนัก!”
หลิงหยุนเอ่ยชมหลังจากที่จิบชาในถ้วยแล้ว..
“ท่านย่าเหมี่ยว..ความจริงข้าเองก็มิได้ชื่นชอบการดื่มชาเป็นพิเศษ แต่ครอบครัวข้าโดยเฉพาะลุงสองนั้น ชื่นชอบการดื่มชายิ่งนัก..”
วันนี้เหมี่ยวเฟิงหวงกับท่านหมอเสี่ยวได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันและมิมีกำแพงใดกั้นระหว่างคนทั้งสองอีก หาไม่แล้วเมื่อคืนเตียงคงจะไม่หักลงเช่นนั้น หลิงหยุนจึงสามารถพูดคุยได้ประหนึ่งคนสนิท
“งั้นรึ!”
สีหน้าของเหมี่ยวเฟิงหวงเปลี่ยนเป็นดีอกตะวันออกของหมู่บ้าน ล้วนปลูกชาเขียวซึ่งส่งกลิ่นหอมและเขียวชะอุ่มอยู่เต็มไปหมด
หลิงหยุนเองก็ได้ลิ้มรสชาติของชาเหล่านั้นไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วมันมีรสชาติที่หวานและหอมหวลยิ่งนัก
“ช่างเป็นชาที่ล้ำเลิศยิ่งนัก!”
หลิงหยุนเอ่ยชมหลังจากที่จิบชาในถ้วยแล้ว..
“ท่านย่าเหมี่ยว..ความจริงข้าเองก็มิได้ชื่นชอบการดื่มชาเป็นพิเศษ แต่ครอบครัวข้าโดยเฉพาะลุงสองนั้น ชื่นชอบการดื่มชายิ่งนัก..”
วันนี้เหมี่ยวเฟิงหวงกับท่านหมอเสี่ยวได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันและมิมีกำแพงใดกั้นระหว่างคนทั้งสองอีก หาไม่แล้วเมื่อคืนเตียงคงจะไม่หักลงเช่นนั้น หลิงหยุนจึงสามารถพูดคุยได้ประหนึ่งคนสนิท
“งั้นรึ!”
สีหน้าของเหมี่ยวเฟิงหวงเปลี่ยนเป็นดีอกดีใจพร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า“หากเป็นเช่นนี้ ในวันที่ผู้มีคุณกลับ ข้าจะได้เตรียมชาไปให้คนในครอบครัวของท่านดื่มบ้าง..”
“เช่นนั้นข้าต้องขอขอบคุณท่านย่าเหมี่ยวล่วงหน้า..”
จากนั้นหลิงหยุนจึงได้หันไปปรึกษากับเสี่ยวเจิ้งจี๋ซึ่งนั่งอยู่ข้างกาย“ท่านปู่เสี่ยว.. ท่านคิดเห็นเช่นใดหากจะเปลี่ยนเนินเขาที่ปลูกชาทั้งหมดให้เป็นทุ่งพลังชีวิต วันข้างหน้าชาที่ได้จะเป็นชาพลังชีวิต”
เสี่ยวเจิ้งจี๋แทบมิต้องใคร่ครวญเขาพยักหน้าทันที “เป็นความคิดที่ดีมาก!”
“ท่านย่าเหมี่ยว..ทางด้านตะวันตกของหมู่บ้าน ข้าอยากจะปรับผืนดินตรงนั้นให้เป็นทุ่งพลังชีวิต และปลูกเป็นสมุนไพรพลังชีวิตต่างๆแทน ท่านคิดเห็นเช่นใดบ้าง”
เรื่องนี้แม้หลิงหยุนกับเสี่ยวเจิ้งจี๋จะได้ปรึกษาหารือกันแล้วแต่ท้ายที่สุดก็ต้องให้เหมี่ยวเฟิงหวงเป็นผู้ตัดสินใจอยู่ดี แต่เหมี่ยวเฟิงหวงกลับตอบมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ผู้มีคุณต้องการทำเช่นใดย่อมสามารถจัดการได้เลย ไม่จำเป็นต้องถามความเห็นจากข้า..”
หลิงหยุนเหลือบมองเหมี่ยวเฟิงหวงและได้แต่คิดในใจว่า เมื่อคืนนี้อาวุโสทั้งคู่คงจะไม่เพียงแค่ทำเตียงหัก แต่คงจะได้พูดคุยเรื่องธุรกิจกันมากมายด้วย
ระหว่างที่คิดนั้นหลิงหยุนก็ได้แต่เหลือบมองไปทางเสี่ยวเจิ้งจี๋ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อะแฮ่ม..อะแฮ่ม..”
ใบหน้าของเสี่ยวเจิ้งจี๋ถึงกับแดงก่ำเขากระแอมออกมาก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “เจ้าวายร้าย เอาเป็นว่าเจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำ เฟิงหวงเห็นด้วยกับทุกเรื่อง”
หลิงหยุนยกถ้วยชาขึ้นจิบพร้อมกับเหลือบมองเหมี่ยวเฟิงหวงก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “ท่านย่าเหมี่ยว ข้ามีเรื่องสงสัยเล็กน้อย มิรู้ว่าควรจะถามท่านดีหรือไม่” เหมี่ยวเฟิงหวงรินชาให้หลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า“ผู้มีคุณจะถามสิ่งใดก็เชิญถามได้เลย!”
หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็เอ่ยออกไปว่า “ก่อนอื่น.. ข้าต้องขออภัยท่านที่เมื่อวานได้แสดงกิริยาที่ไร้มารยาทกับท่านเช่นนั้น ขอท่านย่าเหมี่ยวได้โปรดอย่าถือสาข้า!”
เหมี่ยวเฟิงหวงเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม“สำหรับเรื่องนั้น ผู้มีพระคุณมิจำเป็นต้องเอ่ยถึงอีก ข้าเข้าใจสถานการณ์ในเวลานั้นได้ดี และที่ท่านทำลงไปทั้งหมดก็เพื่อ.. พวกเราสองคน!”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้เอ่ยถามในสิ่งที่ต้องการจะถาม..
“ท่านย่าเหมี่ยว..ข้าแปลกใจยิ่งนักว่า เหตุใดเมื่อข้าเหาะมาบนท้องนภานั้น เมื่อท่านเห็นกลับมีมีท่าทีตกอกตกใจ ราวกับว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป”
เมื่อครั้งที่หลิงหยุนเหาะสำรวจไปทั่วหมู่บ้านเหมี่ยวนั้นภายใต้จิตหยั่งรู้ของเขานั้นพบว่า แม้จะมีผู้ฝึกวรยุทธอยู่ภายในเผ่าบ้าง แต่ทั้งหมดก็อยู่ต่ำกว่าขั้นเซียงเทียนเท่านั้น มีเพียงเหมี่ยวเฟิงหวงผู้เดียวที่เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-3 แต่นางกลับมิมีท่าทีตกอกตกใจเมื่อเห็นหลิงหยุนเหาะมาเช่นนั้น ทำให้หลิงหยุนอดที่จะประหลาดใจมิได้
“ผู้มีคุณ..เรื่องนี้ต่อให้ท่านมิถาม ข้าก็ตั้งใจจะบอกเล่าให้ท่านฟังอยู่แล้ว..”
เหมี่ยวเฟิงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังและจ้องลึกลงไปในดวงตาของหลิงหยุน
“ผู้มีคุณ..ความจริงแล้วชนเผ่าเหมี่ยวเจียงนั้นมีอีกชื่อว่าซานเหมี่ยว บรรพบุรุษของเราคือชนเผ่าจิ่วหลี หลังจากพ่ายแพ้หลายครั้งจนต้องอพยพอยู่หลายครา ในที่สุดเผ่าของเราก็ได้มาตั้งรกรากอยู่ทางด้านใต้ของขุนเขาแห่งนี้..”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร