บทที่ 1492 : เทพเจ้าแห่งปีศาจ
“นับแต่โบราณกาลมาบุรุษชนเผ่าเหมี่ยวเราจะฝึกฝนในเรื่องมนต์คาถา ในขณะที่สตรีฝึการเลี้ยงหนอนกู่ แม้โลกจะเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ แม้พลังชีวิตบนโลกใบนี้จะค่อยๆลดลงตามลำดับ แม้ผู้ฝึกมนต์คาถาในเผ่าจะค่อยๆลดน้อยถอยลง แต่มรดกตกทอดนี้ก็ยังคงมีผู้สืบทอดอยู่ หาได้เลือนหายไปเลยไม่..”
“ผู้มีคุณเองก็รู้ดีว่าหญิงชาวเหมี่ยวเราเวลานี้นอกจากจะเลี้ยงหนอนกู่แล้ว ยังฝึกฝนเรื่องมนต์คาถาด้วย แต่เป็นเพียงมนต์คาถาพื้นๆเท่านั้น”
น้ำเสียงของเหมี่ยวเฟิงหวงค่อยๆดังขึ้น“คำว่าพ่อมดหมอผีที่ใช้เรียกนั้น แท้จริงแล้วก็คือผู้ที่สามารถใช้พลังธรรมชาติที่อยู่ระหว่างสวรรค์กับโลกนี้ได้ ผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก ยิ่งฝึกฝนถึงขั้นที่สูงขึ้นมากเท่าใด ก็จะยิ่งสามารถใช้พลังธรรมชาติที่อยู่ระหว่างสวรรค์กับโลกได้มากเท่านั้น!” “มนต์คาถาโบร่ำโบราณนั้นหากผู้ใดฝึกฝนได้จนถึงขั้นสูง อย่าว่าแต่เหาะไปบนท้องนภาเลย แม้จะดำดินก็ย่อมทำได้ หรือกระทั่งเคลื่อนภูเขา ถมทะเล พลิกผืนดิน เรื่องเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องธรรมดา นี่คืออานุภาพมนต์คาถาของชนเผ่าจิ่วหลี..”
เหมี่ยวเฟิงหวงนิ่งไปครู่หนึ่งพร้อมกับจ้องมองแววตาที่เปลี่ยนไปของหลิงหยุน..
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
หลิงหยุนเชื่อและยอมรับในสิ่งที่เหมี่ยวเฟิงหวงบอกเล่าอย่างมิได้รู้สึกคลางแคลใจเลยแม้แต่น้อย
เผ่าจิ่วหลี– เผ่าแห่งพ่อมดหมอผีในยุคสมัยโบร่ำโบราณ
“ผู้มีคุณ..”
จู่ๆเหมี่ยวเฟิงหวงก็จ้องมองหลิงหยุนแน่นิ่ง และลุกขึ้นยืน ทำให้หลิงหยุนสัมผัสถึงความผิดปกติได้ จากนั้นนางก็เอ่ยกับหลิงหยุนว่า “เฟิงหวงได้ยินมาว่าท่านครอบครองกระบี่โลหิตเทวะ..ได้โปรดขอให้ข้าได้เห็นบ้างจะได้หรือไม่”
“…”
หลิงหยุนถึงกับนิ่งอึ้งไป..
และดูเหมือนเหมี่ยวเฟิงหวงจะเรียกหลิงหยุนว่า‘ผู้มีคุณ’ มิยอมเปลี่ยน..
หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเหมี่ยวเฟิงหวงแม้เขาจะได้มอบโอสถล้ำค่าให้กับอาวุโสทั้งสอง แต่การที่อีกฝ่ายยังคงเรียกขานตนว่าผู้มีคุณนั้นหาใช่ปัญหา เพียงแต่นางเรียกขานเช่นนั้นบ่อยจนเกินไป อีกทั้งยังแสดงท่าทีเคารพนบนอบต่อหลิงหยุนมาก และดูเหมือนนางจะเคารพหลิงหยุนมากกว่าหมอเสี่ยวเสียอีก
เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนนี้เหมี่ยวเฟิงหวงกับท่านหมอเสี่ยวคงจะสนทนาเกี่ยวกับเรื่องของเขาเป็นส่วนใหญ่ หาไม่แล้วนางคงจะมีรู้เรื่องที่กระบี่โลหิตแดนใต้ ได้กลายเป็นกระบี่โลหิตเทวะไปแล้ว! เวลานี้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาไม่เพียงแสดงท่าทางที่เคารพนบนอบต่อหลิงหยุนมากแต่ยังมิได้สนใจเสี่ยวเจิ้งจี๋ซึ่งอยู่ในห้องด้วยเลย นางถึงกับแทนตนเองว่า ‘เฟิงหวง’ ต่อหน้าหลิงหยุน และใช้คำว่าได้ ‘ได้โปรด’ เพื่อขอดูกระบี่โลหิตเทวะจากเขา..
และหลิงหยุนก็พอที่จะคาดเดาได้ว่าท่าทีของนางนั้นน่าจะเกี่ยวพันกับกระบี่โลหิตเทวะเล่มนี้!
“ท่านย่าเหมี่ยว..มิต้องตื่นเต้นมากไปนัก กระบี่ของข้านั้น ข้าย่อมต้องให้ท่านได้เห็นเป็นแน่ เพียงแต่…”
หลิงหยุนจ้องมองเหมี่ยวเฟิงหวงและในแววตาปรากฏความลังเลใจ..
“มีอะไรงั้นรึ!”เหมี่ยวเฟิงหวงเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ
“เพียงแต่..กระบี่เล่มนี้ของข้านั้นมีรัศดุร้ายรุนแรงยิ่งนัก ที่นี่เป็นห้องหอของอาวุโสทั้งสอง การนำกระบี่เล่มนี้ออกมา ข้าเกรงว่าจะมิใช่เรื่องที่ควรนัก..” หลิงหยุนเอ่ยบอกเหตุผลตามความจริง..
กระบี่โลหิตเทวะนั้นดื่มโลหิตเข้าไปมากมายกระบี่จึงได้กลายเป็นสีแดงโลหิตดั่งเปลวเพลิงเช่นนี้ และมีรัศมีที่ดุร้ายรุนแรงยิ่ง คนธรรมดาทั่วไปยิ่งมิควรที่จะเข้าใกล้
อย่าว่าแต่คนธรรมดาทั่วไปเลยแม้แต่ยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติ หากจ้องมองกระบี่เล่มนี้ในระยะใกล้ชิด ยังสามารถถูกรัศมีดุร้ายรุกรานได้หากไม่ทันระมัดระวังตัว พลังปราณภายในร่างอาจถูกสะกดไว้ และหากหนักมาก อาจถึงขึ้นส่งผลต่ออารมณ์และขั้นพลังบ่มเพาะของคนผู้นั้นได้!
เวลานี้กระบี่เล่มนี้แตกต่างจากเมื่อครั้งที่เป็นกระบี่โลหิตแดนใต้ราวฟ้ากับดิน!
“เรื่องนั้น..”
หลังจากที่ได้ฟังเหตุผลของหลิงหยุนเหมี่ยวเฟิงหวงก็เริ่มลังเลใจ ใบหน้างดงามของนางอึกอักเล็กน้อย แต่ในที่สุดด้วยความปรารถนาที่จะได้เห็นกระบี่อย่างยิ่ง นางจึงได้แต่กัดฟันและเอ่ยตอบไปว่า “มิเป็นไร..”
หลิงหยุนหันไปมองเสี่ยวเจิ้งจี๋ซึ่งเวลานี้หันไปเอ่ยถามเหมี่ยวเฟิงหวงด้วยสีหน้าท่าทางเรียบเฉย
“เจ้าอยากเห็นจริงๆรึ”
“ข้าต้องการเห็นกระบี่เล่มนั้น!”
“ได้!”
หลิงหยุนลุกขึ้นยืนพร้อมกับส่งสัญญาณให้ท่านหมอเสี่ยวและเหมี่ยวเฟิงหวงถอยหลังห่างออกไป จากนั้นจึงเรียกกระบี่โลหิตเทวะออกมาจากแหวนของตน
กระบี่สีแดงปรากฏขึ้นในมือของหลิงหยุนรัศมีสีแดงเจิดจรัสปกคลุมไปทั่วร่างของเขา ราวกับว่าเวลานี้ร่างของหลิงหยุนได้ห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงสีแดง แสงสว่างสีแดงซึ่งอบอวลไปด้วยรัศมีดุร้ายกระจายไปทั่วบ้านนั้น หลอมรวมเข้าด้วยกันก่อนจะพุ่งออกไปนอกบ้านอย่างรวดเร็ว!
“ห๊ะ!!” เมื่อแสงสว่างสีแดงเจิดจรัสที่กอปรด้วยรัศมีดุร้ายน่าสยดสยองพวยพุ่งออกมานั้นแม้แต่ท่านหมอเสี่ยวกับเหมี่ยวเฟิงหวงซึ่งได้รับการเตือนจากหลิงหยุนก่อนหน้าแล้ว และได้ถอยหลังออกไปก่อนหน้า ยังถูกรัศมีดุร้ายของกระบี่กระแทกร่างจนต้องถอยออกไปติดกำแพง และไม่สามารถถอยออกไปได้อีก จึงได้แต่ยืนแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น
ความจริงแล้ว..หลิงหยุนจงใจสะกดรัศมีดุร้ายของกระบี่ไว้แล้ว แต่เขาเองก็มิเข้าใจว่า เหตุใดเมื่อยู่ที่นี่เขาจึงควบคุมกระบี่ได้ยากยิ่งนัก!
“กระบี่โลหิตเทวะ..นี่.. นี่คือกระบี่โลหิตเทวะจริงๆด้วย!”
เวลานี้ท่านหมอเสี่ยวมิอาจลืมตาขึ้นมองได้ในขณะที่เหมี่ยวเฟิงหวงซึ่งแม้แต่จะถูกรัศมีของกระบี่ทำให้น้ำตาร่วงไหลมิหยุด นางยังฝืนที่จะจ้องมองกระบี่สีแดงในมือของหลิงหยุน พร้อมกับพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น! นี่คืออาวุธที่บรรพชนของชาวเหมี่ยวเจียงซึ่งโบราณกาลคือเผ่าจิ่วหลีที่ได้รวมเอาเผ่าต่างๆอีกแปดสิบเอ็ดเผ่าไว้ด้วยกัน
และนี่คือกระบี่ที่เทพเจ้าแห่งสงครามซือโหยวใช้เป็นอาวุธ!
จากนั้นเหมี่ยวเฟิงหวงได้เดินตรงเข้าไปหาหลิงหยุน และคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับโขกศรีษะลงกับพื้นทำการคาราวะ..
“ข้าน้อยเฟิงหวงทายาทซานเหมี่ยวคาราวะบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่!”
“เอ่อ..”
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่าต่อให้นางตื่นเต้นมากมายก็มิควรทำถึงเพียงนี้ เช่นนี้แล้วเขาจะรับได้อย่างไรกัน
หลิงหยุนรีบกระโดดถอยหลบเหมี่ยวเฟิงหวงที่กำลังก้มลงคาราวะทันทีก่อนจะเก็บกระบี่โลหิตเทวะเข้าไปในแหวนจักรวาล
“ท่านย่าเหมี่ยวท่านลุกขึ้นก่อนเร็วเข้า..”
นับว่าโชคดีที่หลิงหยุนเก็บกระบี่กลับเข้าไปได้เร็วเพราะเวลานี้หลิงหยุนยังมิรู้ตัวว่า หลังจากที่เขาเรียกกระบี่โลหิตเทวะออกมานั้น แสงสว่างเจิดจ้าสีแดงพร้อมด้วยรัศมีดุร้ายที่พวยพุ่งออกมานั้น ได้แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น และพุ่งตรงไปยังสถานที่เซ่นไหว้ของหมู่บ้าน
สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่ชาวเหมี่ยวเจียงมาเพื่อสักการะบูชาที่นี่มีรูปปั้นสูงใหญ่ของเทพเจ้าองค์หนึ่งในท่ายืน โดยมีศรีษะเป็นวัวกระทิง มีสองขา กายเป็นมนุษย์..
และนี่คือรูปปั้นของเทพเจ้าซือโหยว!
แสงสว่างสีแดงเจิดจรัสนั้นประหนึ่งสายน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลมันพุ่งเข้าไปภายในอารามตรงเข้าสู่รูปปั้นของเทพเจ้าซือโหยวอย่างเงียบๆ แต่รอบอารามกลับมีแรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้น
จากนั้น..รูปปั้นเทพเจ้าซือโหยวก็เริ่มมีรัศมีสีดำพวยพุ่งออกมา แต่ตามนุษย์กลับมิสามารถมองเห็นได้ แม้แต่จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนยังมิอาจมองเห็นได้เช่นกัน รัศมีสีดำนั้นลอยสูงขึ้นไปบนท้องนภาเหนือพื้นดินกว่าหนึ่งกิโลเมตร ก่อนจะค่อยๆรวมตัวกันกลายเป็นรูปมนุษย์ที่มีศรีษะเป็นวัว!
และที่สำคัญ..ในมือถือกระบี่ที่เหมือนกับกระบี่โลหิตเทวะ!
“พ่อหนุ่ม..เจ้าช่างขยันสร้างปัญหาให้ข้าจริงๆ!”
ในระหว่างที่หลิงหยุนกำลังพยุงเหมี่ยวเฟิงหวงให้ลุกขึ้นอยู่นั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอยู่กลางจุดซือไห่ของเขา จากนั้นพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ก็ได้กลายเป็นรัศมีสีทองพวยพุ่งออกจากกลางหน้าผากของหลิงหยุน ขึ้นไปกลางอากาศทันที..
“กลับไป!”
พู่กันจักรพรรดิมิได้ขยายร่างมันยังคงเป็นมีขนาดเท่าเข็มสีทองเล่มหนึ่งเท่านั้น และพุ่งตรงเข้าใส่ร่างเงาลวงตาสีดำ มันพุ่งกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้น จนเงาดำเกิดรอยเป็นรอยแยกมากมาย เงาลวงตาสีดำนั้นดูเหมือนจะโกรธเกรี้ยวและหลังจากที่ร่างของมันแตกออกเป็นเสี่ยงๆนั้น ก็ได้หดรวมตัวกันเป็นรูปสายฟ้า แต่ครั้งนี้ปรากฏเห็นใบหน้าดุร้ายชัดเจน และกำลังจ้องมองไปยังพู่กันจักรพรรดิที่กำลังร้องคำราม!
“หากท่านคิดจะถือกำเนิดตอนนี้ข้าว่ามันยังเร็วเกินไป!”
แสงสีทองหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศและเอ่ยกับใบหน้าสีดำดุร้ายนั้นอย่างสงบ..
ในอดีตโบราณกาลนั้นครั้งหนึ่งสวรรค์ พิภพ และมนุษย์ เคยร่วมมือกันปราบปรามเทพเจ้าแห่งปีศาจตนนี้
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของพู่กันจักรพรรดิใบหน้านั้นก็จับจ้องอยู่ที่จุดสีทองตรงหน้าโดยมิกล่าวอันใด ก่อนจะยิ้มและกลายเป็นรัศมีสีดำพวยพุ่งกลับไปที่รูปั้นภายในอารามเช่นเดิม
พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์จ้องมองรูปปั้นใหญ่ในอารามก่อนจะถอนหายใจออกมา.. ฟิ้ว..
พู่กันจักรพรรดิพุ่งกลับเข้าไปในกึ่งกลางหว่างคิ้วของหลิงหยุนก่อนจะเปลียนมาอยู่ในรูปร่างมนุษย์ สายตาทั้งคู่จับจ้องอยู่ที่กระบี่จักรพรรดิมังกรของหลิงหยุนซึ่งอยู่กลางจุดซือไห่ ด้วยสีหน้าแววตากระวนกระวาย
“อาวุโส..เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ”
หลิงหยุนเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเพราะมิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่..
“หาใช่กงการอะไรของเจ้าไม่พ่อหนุ่มเจ้ามีหน้าฝึกฝนให้ก้าวหน้าเท่านั้น!”
พู่กันจักรพรรดิตอบกลับไปอย่างแผ่วเบา..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร