บทที่ 1493 : บรรพชนซานเหมี่ยว
มิใช่กงการอะไรของเจ้า
หลิงหยุนสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของพู่กันจักรพรรดิแห่งมนุษย์นั้น คล้ายกำลังหงุดหงิดตน แต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดในใจว่า..‘ท่านอาศัยอยู่ในจุดซือไห่ของข้า ใช้เสินหยวนของข้าฟื้นฟูร่างกาย แต่กลับบอกว่ามิใช่กงการอะไรของข้างั้นรึ ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น? จู่ๆท่านก็พุ่งออกจากร่างของข้าไปเช่นนั้น เหตุใดจึงต้องปิดบังข้าด้วยเล่า?’
เหตุผลที่หลิงหยุนจำเป็นต้องถามนั้นเพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆ ย่อมมิสามารถทำให้พู่กันจักรพรรดิผลีผลามพุ่งออกไปเช่นนั้นได้แน่ ปกติเขาก็มักจะเอาแต่หลับไหลอยู่ภายในจุดซือไห่ของหลิงหยุนโดยมิใส่ใจกับสิ่งใด
แต่ไม่ว่าเมื่อใดที่พู่กันจักรพรรดิเคลื่อนไหวล้วนแล้วแต่ต้องเป็นสิ่งที่ทำให้หลิงหยุนตกตะลึงและอึ้งได้เสมอ..
เห็นได้จากแต่ละครั้งที่ที่พู่กันจักรพรรดิแห่งมนุษย์เคลื่อนไหวในอดีตไม่ว่าจะเป็นร่างมังกรทองทั้งเก้าที่พุ่งออกมาปกป้องหลิงหยุนในคราแรก ต่อมาก็ช่วยหลิงหยุนรับทัณฑ์เมฆาที่เกาะเตียวหยู
เมื่อครั้งที่หลิงหยุนไปเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้ามและได้ดูดเอาปราณมังกรอายุกว่าหกร้อยปีเข้าไปในคราเดียวนั้น หากมิได้พู่กันจักรพรรดิแห่งมนุษย์ และสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพช่วยไว้ในครานั้น ร่างของเขาคงจะระเบิดไปแล้ว และเพราะปราณจักรพรรดิที่เขาได้ดูดซับเข้าไปในครานั้น ทำให้เขาสามารถกลั่นกระบี่จักรพรรดิขึ้นได้
ในครั้งนั้นเพียงแค่ปราณจักรพรรดิปริมาณเล็กน้อย กายเนื้อของหลิงหยุนก็ได้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก และกระดูกสันหลังของหลิงหยุนก็ได้กลายเป็นสีทอง และสามารถสร้างหอกมังกรทองได้
เมื่อครั้งที่หนิงหลิงยู่รับทัณฑ์สวรรค์ทั้งพู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิต่างก็ช่วยฉกฉวยของกำนัลจากสรวงสวรรค์มาให้ ทำให้ขั้นพลังของหลิงหยุนพัฒนารวดเร็วอย่างก้าวกระโดด
และเมื่อครั้งที่เย่ซิงเฉินเข้าสู่ขั้นซือเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-4) พู่กันจักรพรรดิก็ได้พุ่งเข้าไปในจุดซือไห่ของนาง และช่วยจุดประกายดาราทั้งหนึ่งร้อยแปดดวงภายในกระแสวนดวงดาวให้กับนาง อีกทั้งยังช่วยปิดนภามิให้นางต้องรับทัณฑ์สวรรค์อีกด้วย
และเรื่องเหล่านี้เป็นเย่ซิงเฉินที่เล่าให้เขาฟังหลังจากนั้นหาไม่แล้วเขาก็คงมิรู้เรื่อง..
กลั่นกระบี่จักรพรรดิมังกรฉกฉวยของกำนัลจากสรวงสวรรค์ อีกทั้งยังปิดนภาห้ามทัณฑ์สวรรค์..
แต่ละเรื่องที่พู่กันจักรพรรดิแห่งมนุษย์ลงมือนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ท้าทายสวรรค์ยิ่ง!
‘อาวุโสรีบร้อนพุ่งออกไปประหนึ่งพบเจอศัตรูเช่นนั้นกระทั่งข้าสอบถามเมื่อกลับเข้ามาก็มิยอมบอกเล่าให้ข้าฟัง’
‘ปกตินิสัยของท่านนั้นหากมิต้องการเสวนา ก็จะมิพูด แต่นี่กลับแสดงท่าทีราวกับโมโหโกรธาข้า..’
‘หากจะว่าไปหลังจากที่ดื่มโลหิตของข้าไปแล้ว ข้าควรต้องเป็นเจ้านายของท่านมิใช่รึ
หลิงหยุนยังคงเฝ้าครุ่นคิดด้วยความกระวนกระวายใจ..
ยิ่งครุ่นคิดหลิงหยุนก็ยิ่งอยากจะสนทนากับพู่กันจักรพรรดิให้รู้เรื่องแต่เมื่อนึกถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย หลิงหยุนก็ได้แต่ลังเลใจ..
แต่เมื่อคิดได้ว่าถึงอย่างไรพู่กันจักรพรรดิแห่งมนุษย์และสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพย่อมไม่ทำร้ายตนเองแน่ หลิงหยุนจึงตัดสินใจถามออกไปว่า
“อาวุโส..เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนั้น หากเกี่ยวพันถึงข้า ท่านควรต้องรีบบอกให้ข้ารู้โดยเร็ว!” แต่เวลานี้พู่กันจักรพรรดิแห่งมนุษย์ได้กลายร่างเป็นชายชรา และกำลังยืนจ้องมองกระบี่จักรพรรดิมังกรตรงหน้า..
พู่กันจักรพรรดิอยู่จุดซือไห่ของหลิงหยุนเขาและหลิงหยุนจึงแทบจะเป็นคนเดียวกัน ฉะนั้น.. ความคิด จิตใจ และร่างกายของหลิงหยุน เขาย่อมรับรู้และสัมผัสได้เช่นกัน
คนธรรมดาทั่วไปอย่างมากก็มีอายุสูงสุดหนึ่งร้อยปีแต่สำหรับพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดินั้นซึ่งเป็นยุทธภัณฑ์ระดับเซียนนั้น มีอายุยืนยาวมานับหลายพันปี และมิรู้ว่าจะยืนยาวต่อไปได้อีกกี่หมื่นปีในวันข้างหน้า..
พวกเขาต่างก็พบเห็นสิ่งต่างๆมามากมาย..
ฉะนั้นแม้แต่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์ ยังมิได้อยู่ในสายตาของพู่กันจักรพรรดิแห่งมนุษย์ และสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพเลยแม้แต่น้อย
แต่เวลานี้พู่กันจักรพรรดิกำลังหงุดหงิด ที่หลิงหยุนได้นำกระบี่โลหิตเทวะออกมาให้เหมี่ยวเฟิงหวงดู และด้วยพลังของรัศมีดุร้ายที่พวยพุ่งออกจากกระบี่นั้น ทำให้เงาของเทพเจ้าแห่งปีศาจผู้น่าสะพรึงกลัวยิ่งปรากฏขึ้นอีกครา แม้ว่าเงาของเทพเจ้าแห่งปีศาจนี้จะแข็งแกร่งได้ไม่ถึงเท่าหนึ่งในล้านส่วนของเทพเจ้าซือโยวในอดีตกาล แต่ถึงอย่างนั้น หลิงหยุนในเวลานี้ ก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเงาเทพเจ้าซือโหยวนี้
นี่หาใช่เรื่องปกติไม่!ปรากฏการณ์นี้กำลังบอกว่า สิ่งที่สามจักรพรรดิ – จักรพรรดิแห่งสวรรค์ จักรพรรดิแห่งพิภพ และจักรพรรดิแห่งมุนษย์ช่วยกันสะกดซือโหยวไว้นั้น เริ่มจะอ่อนกำลังลงแล้ว!
ซือโหยวเทพเจ้าแห่งปีศาจน่าสะพรึงกลัวสักเพียงใดนั้นทั้งสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ และพู่กันจักรพรรดิแห่งมนุษย์ย่อมรู้ดี นั่นเพราะพวกเขาทั้งคู่ล้วนได้รับบาดเจ็บจากกระบี่โลหิตเทวะของซือโหยว!
แต่ท้ายที่สุดซือโหยวก็ได้พ่ายแพ้และกระบี่โลหิตเทวะก็ได้รับความเสียหาย แต่เวลานี้กระบี่โลหิตเทวะกลับมาอยู่ในมือของหลิงหยุน แม้มันจะมิมีพลานุภาพเทียบเท่ากับเมื่อครั้งอยู่ในมือของซือโหยว แต่ก็เผยให้เห็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวในระดับหนึ่งทีเดียว!
สำหรับความน่าสะพรึงกลัวของกระบี่โลหิตเทวะนั้นแม้แต่พู่กันจักรพรรดิแห่งมนุษย์ยังกระอักกระอ่วนใจที่จะนึกถึง บางคราเขายังคิดอยากบอกกับหลิงหยุนไปตามตรงว่า อย่าได้ใช้กระบี่เล่มนี้อีก
หาใช่ว่าเขามิมีอำนาจที่จะทำได้..เพียงแค่เจ้านายของเขาซึ่งก็คือจักรพรรดิแห่งมนุษย์ได้กำชับไว้!
ผู้ใดคือจักรพรรดิแห่งมนุษย์
ฝูซี!
พระองค์คือบรรพบุรุษของมนุษย์ผู้ศึกษาธาตุทั้งห้าหยินและหยางที่อยู่ระหว่างสวรรค์กับโลก รวมถึงการทำนายดวงชะตา!
ฉะนั้นการคำนวณของพระองค์ย่อมมิผิดพลาดเป็นแน่และเป็นไม่ได้ที่จะไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์!
เผ่าจิ่วหลีมิดับสูญซือโหยวเทพเจ้าแห่งปีศาจมิสิ้นชีพ – นี่คือสิ่งที่จักรพรรดิแห่งมนุษย์เป็นผู้บอกกับเขาก่อนที่จะจากไป และได้กำชับไว้ว่าหลังจากคนผู้นั้นถือกำเนิดขึ้นเมื่อใด ให้เขาเพียงแค่คอยติดตามช่วยเหลือเท่านั้น ห้ามมิให้ทัดทานเจตจำนงใดๆของคนผู้นั้น!
และให้เขาจดจำไว้ว่ามิว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ให้รอคอยวันที่จะเกิดภัยพิบัติมหันต์ขึ้นในโลกเท่านั้น!
ฉะนั้น..พู่กันจักรพรรดิแห่งมนุษย์จึงมิสามารถช่วยอะไรหลิงหยุนได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการฝึกฝนวรยุทธบ่มเพาะ เขาทำได้เพียงแค่กระตุ้นให้หลิงหยุนหมั่นเพียร และเร่งฝึกฝนให้ก้าวหน้าโดยเร็วเท่านั้น!
แต่เมื่อได้ล่วงรู้ความคิดของหลิงหยุนเมื่อครู่พู่กันจักรพรรดิแห่งมนุษย์ก็อดที่จะโมโหไม่ได้ จึงได้ตอบกลับไปว่า..
“พ่อหนุ่ม..อย่าคิดว่าข้ามิรู้ว่าเจ้ากำลังคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่นี่แล้ว จงรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด!”
หลังจากเอ่ยตอบไปแล้วพู่กันจักรพรรดิก็หลับตาลง เพื่อจะได้มิต้องเห็นกระบี่จักรพรรดิมังกรตรงหน้าอีก
“…”
หลิงหยุนถึงกับพูดอะไรไม่ออก..
เมื่อครู่ที่หลิงหยุนเรียกกระบี่โลหิตเทวะออกมานั้นล้วนเป็นความตั้งใจของเขาทั้งสิ้น!
นั่นเพราะเขาต้องการยืนยันความคิดบางอย่างที่อยู่ในใจว่าเจ้านายที่แท้จริงของกระบี่โลหิตเทวะนั้นจะใช่ผู้ที่เขาคิดไว้หรือไม่
และนี่ต่างหากคือจุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาที่นี่ของหลิงหยุน!
แต่เวลานี้..หลังจากที่ได้เห็นท่าทางการแสดงออกของเหมี่ยวเฟิงหวง เขาก็มั่นใจโดยมิจำเป็นต้องถามอะไรต่ออีก
เจ้าของกระบี่โลหิตเทวะคนแรกก็คือซือโหยวเทพเจ้าแห่งปีศาจในอดีตกาลนั่นเอง! ….
หลังจากเก็บกระบี่โลหิตเทวะเข้าไปในแหวนพื้นที่แล้วหลิงหยุนจึงได้ทำท่าทางให้ท่านหมอเสี่ยวมานำตัวเหมี่ยวเฟิงหวงกลับไปนั่งที่เก้าอี้
“เฟิงหวง..คาราวะนายท่าน!”
แต่เหมี่ยวเฟิงหวงกลับมิยินยอมนั่งลงดวงตาของนางยังคงเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น และเวลานี้นางก็ยิ่งเพิ่มความเคารพหลิงหยุนมากขึ้นอีกหลายร้อยเท่า
“เฟิงหวง..”
ท่านหมอเสี่ยวได้แต่ตกตะลึงและตกใจ..
หลิงหยุนจึงรีบเดินตรงไปหาเหมี่ยวเฟิงหวงพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ท่านย่าเหมี่ยว อย่าได้ทำเช่นนี้ จะมิเป็นการดีกับข้า!”
“กระบี่โลหิตเทวะอยู่ในมือของท่านย่อมหมายความว่าท่านคือผู้ที่ถูกกำหนดมาให้เป็นบรรพชนของซานเหมี่ยว – หัวหน้าเผ่าผู้เป็นเสมือนเทพเจ้าของเผ่าจิ่วหลี!” “…”
หลิงหยุนได้แต่อึ้งไป..เวลานี้กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นบรรพชนผู้เป็นหัวหน้าเผ่าจิ่วหลี ฐานะนี้เกินไปสำหรับเขามากจริงๆ!
เรื่องราวในลักษณะนี้ก็ไม่ต่างจากการที่พรรคมารเชื่อว่าผู้ที่ครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้ก็คือเทพแห่งมารนั่นเอง!
หลิงหยุนได้แต่เอ่ยออกไปยิ้มๆ“ท่านย่าเหมี่ยว ท่านนั่งลงก่อนแล้วค่อยพูดเถิด!”
ระหว่างที่พูดนั้นเขาก็ได้เหลือบมองเสี่ยวเจิ้งจี๋เพื่อขอความช่วยเหลือ..
“น้องเฟิงหวง..”
เสี่ยวเจิ้งจี๋เอ่ยออกไปเพียงเท่านั้นเหมี่ยวเฟิงหวงก็ถึงกับหันมาจ้องมองด้วยสายตาดุดัน เป็นการบอกให้เขาหยุดพูด จากนั้นนางจึงเป็นฝ่ายเอ่ยออกไป
“พี่เจิ้งจี๋เวลานี้พวกเราทั้งสองคนต่างก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว เรื่องนี้สำคัญยิ่งสำหรับเผ่าเหมี่ยวเจียงของข้า ขอท่านอย่าได้ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว!”
หลิงหยุนเห็นสถานการณ์เริ่มตึงเครียดมากขึ้นเขาจึงได้แต่กระแอมออกมาเบาๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“ท่านย่าเหมี่ยว..ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านดี แต่เวลานี้ข้ายังมิได้ทานข้าวเช้าเลย ข้ารู้สึกหิวมากแล้ว..”
“ห๊ะ!อ่อ.. นั่นสิ!”
เหมี่ยวเฟิงหวงได้ยินหลิงหยุนเอ่ยเช่นนั้นจึงรีบหันมองออกไปนอกบ้าน เมื่อเห็นว่าแสงอาทิตย์ส่องสว่างมากแล้ว จึงรีบเอ่ยขอโทษขอโพยหลิงหยุน และบอกกับเขาว่า
“นายท่านข้าจะรีบไปเตรียมอาหารให้เดี๋ยวนี้!”
จากนั้นเหมี่ยวเฟิงหวงก็รีบเข้าครัวไปเตรียมอาหารให้หลิงหยุนทันที!
ในระหว่างที่รับประทานอาหารเช้ากันนั้นเหมี่ยวเฟิงหวงยังคงเรียกหลิงหยุนว่า ‘นายท่าน’ และปฏบัติต่อเขาอย่างเคารพนบนอบยิ่งนัก หลิงหยุนจำต้องปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปก่อน เพราะไม่ต้องการที่จะไปขัดเหมี่ยวเฟิงหวง
หาไม่แล้ว..เขาคงมิสามารถออกจากหมู่บ้านเหมี่ยวได้เป็นแน่!
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วเหมี่ยวเฟิงหวงจำต้องทำตามที่หลิงหยุนขอร้อง นางหาข้ออ้างให้ชาวบ้านทั้งหมดอพยพออกนอกหมู่บ้านไปก่อน และพรุ่งนี้จึงค่อยกลับเข้ามา
การที่หลิงหยุนต้องทำเช่นนั้นก็เพื่อที่จะสร้างทุ่งพลังชีวิตขึ้นนั่นเอง..
ในเมื่อในหมู่บ้านมิมีชาวบ้านอยู่แล้วหลิงหยุนจึงได้พาเหมี่ยวเสี่ยวเหมา เสี่ยวเจิ้งจี๋ และเหมี่ยวเฟิงหวง ไปช่วยกันคัดเลือกสถานที่ที่เหมาะสม
หลิงหยุนใช้ทั้งเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางวิชาใต้ปฐพี วิชาพฤกษาขจี วิชาคลื่นคงคา และค่ายกลกักเก็บพลัง..
และแน่นอนว่า..หลิงหยุนต้องใช้เสินหยวนไปมากมายถึงสามแสนหยด เพื่อให้ตนเองสามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติในการเปลี่ยนผืนดินหมู่บ้านเหมี่ยวได้
จนกระทั่งในวันที่13 ตุลาคม หลังจากเสร็จภารกิจแล้ว หลิงหยุนจึงได้ร่ำลาทุกคน และเดินทางกลับไปที่โรงแรมจงเทียนเพียงลำพัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร