บทที่ 1502 : หนี!
เวลานี้นักรบตระกูลหลิงได้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มและกำลังวิ่งไล่ล่าหลิงอี๋กับหลิงชีไป เมื่อทั้งหมดช่วยกันล้อมคนทั้งคู่ไว้ได้แล้ว นักรบตระกูลหลิงที่เหลือก็ช่วยกันเตะต่อย และซ้อมทั้งคู่อย่างเอาจริงเอาจัง
“นี่ข้าเจ็บนะ!”
“พอแล้ว..พอแล้ว.. พวกเราผิดไปแล้ว!!”
ทั้งหลิงอี๋และหลิงชีต่างก็ร้องตะโกนออกหลังจากถูกซ้อมอย่างจริงจัง..
“ฮ่าๆๆสนุกจริงๆเลย!”
“เอาอีก!เอาอีก!”
เวลานี้ทั้งหลิงเฟิงหลิงลี่ หลิงซิ่ว หลิงซวี่ และคนอื่นๆ ต่างก็พากันวิ่งออกมายืนดู พร้อมกับส่งเสียงเชียร์กันอย่างสนุกสนาน
…..
ในขณะที่ภายในสวนเล็กๆหน้าบ้านของหลิงลี่ทั้งหลิงหยุน หลิงลี่ และเหล่ากุ่ยต่างก็นั่งล้อมวงกันอยู่พร้อมหน้า หลิงหยุนและหลิงลี่ได้เปิดจิตหยั่งรู้ของตนออกดู จึงได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นภายในสวนด้านหน้าของคฤหาสน์ตระกูลหลิงได้อย่างชัดเจน ทั้งคู่เฝ้าดูด้วยความสนุกสนานตื่นเต้น
มีเพียงเหล่ากุ่ยเท่านั้นที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าและทำได้เพียงแค่ฟังเสียงเอาเท่านั้น ใบหน้าของเขาแดงก่ำพร้อมกับส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
“เฮ้อ..เจ้าพวกนี้นับวันยิ่งไร้กฏระเบียบ ข้าจะออกไปจัดการกับพวกเขาก่อน!”
เหล่ากุ่ยนั่งฟังเสียงร้องตะโกนโหวกเหวกอยู่นานและดูท่าจะยังมิยอมหยุดเสียที เขาจึงมิสามารถอดรนทนต่อไปได้อีก และลุกขึ้นยืนเตรียมกระโดดไปที่สวนด้านหน้าทันที
นักรบตระกูลหลิงทั้งสามสิบหกคนล้วนอยู่ในการดูแลของเหล่ากุ่ยทั้งสิ้น หลิงหยุนกลับมาบ้านทั้งที แต่พวกเขากลับส่งเสียงร้องตะโกนหนวกหูเช่นนี้ เหล่ากุ่ยจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน.. “เหล่ากุ่ย..ปล่อยพวกเขาไปเถิด!”
หลิงหยุนเอ่ยยิ้มๆพร้อมกับโบกไม้โบกมือให้เหล่ากุ่ยนั่งลงแล้วจึงเอ่ยต่อว่า “นี่เป็นปัญหาระหว่างพวกเขาพี่น้อง ปล่อยให้พวกเขาสะสางปัญหากันเองเถิด อย่างไรพวกเขาก็คงไม่ถึงกับฆ่ากันตายหรอกน่า!”
“แต่ท่านผู้นำตระกูล..”
เหล่ากุ่ยเอ่ยตอบโต้ทันที“นี่ขนาดอยู่ภายในบ้านบรรพชนตระกูลหลิง พวกเขายังกล้าทะเลาะกันเสียงดังอย่างไร้มายาทเช่นนี้ วันหน้ามิไปสร้างเรื่องสร้างราวภายนอกหรอกรึ”
หลิงหยุนส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมตอบกลับไปว่า“พวกเขาเป็นนักรบตระกูลหลิง เพียงแค่มีความจงรักภักดีต่อตระกูลหลิงด้วยหัวใจก็เพียงพอแล้ว ให้พวกเขาได้มีอิสระบ้าง มิจำเป็นต้องจำกัดพวกเขาไปเสียทุกเรื่องก็ได้..”
“การเป็นตัวของตัวเองจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกวรยุทธ!” “ขั้นโฮ่วเทียนก็คือขั้นปรับกายา..แต่เมื่อเข้าสู่ด่านกลางขั้นเซียงเทียนเมื่อใด หากพวกเขามิสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ก็จะส่งผลต่อการฝึกของพวกเขาในวันข้างหน้า!”
คำพูดของหลิงหยุนเพียงไม่กี่คำก็สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่า แม้ผู้ฝึกวรยุทธจำต้องมีกฏระเบียบบ้าง แต่ก็ต้องไม่ถึงกับตัดทิ้งความเป็นตัวเองไปเสียหมด
“เช่นนี้หมายความว่า..ท่านผู้นำตระกูลจะปล่อยให้พวกเขาร้องตะโกนหนวกหูอยู่อย่างนี้รึ!” เหล่ากุ่ยยังคงโต้เถียง
“พวกเขาทะเลาะกันพอเมื่อใดก็หยุดเองล่ะน่า!”
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆหลังจากหลิงหยุนเอ่ยออกไปไม่ถึงสองสามนาที เสียงร้องตะโกนก็ได้เงียบหายไป
“หลิงอี๋หลิงชี พวกเจ้าสองคนมาหาข้า!”
เสียงของหลิงหยุนดังไปเข้าหูของนักรบตระกูลหลิงทั้งสองคนทั้งคู่ยืดกายตรงพร้อมกับร้องตะโกนรับคำสั่ง จากนั้นจึงรีบกระโจนไปยังสวนชั้นที่เก้าซึ่งเป็นบ้านของหลิงลี่ทันที
เวลานี้หลิงอี๋กับหลิงชีได้มายืนอยู่ตรงหน้าหลิงหยุนแล้วทั้งคู่ทำการคาราวะหลิงหยุนด้วยใบหน้าที่บวมปูด และเวลานี้ก็กำลังรอคำตำหนิจากหลิงหยุนอยู่
หลิงหยุนจ้องมองใบหน้าบวมปูดของทั้งคู่อย่างนึกขบขันแล้วจึงเอ่ยออกไปว่า “หากข้าเป็นพวกเจ้าสองคน ข้าจะจัดการทีละสองสามคน แล้วค่อยถอยกลับออกมาตั้งหลัก..”
“เรียนท่านผู้นำตระกูล..พวกเขาทั้งหมดรุมพวกเราสองคนพร้อมๆกัน อีกทั้งแต่ละคนก็มิได้แข็งแกร่งน้อยไปกว่าพวกเรานัก พวกเราจึงไม่สามารถสู้พวกเขาได้..”
หลิงชีเอ่ยตอบหลิงหยุนพร้อมกับกรอกตาไปมา..
“นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเจ้าสองคนโง่เขลายิ่งนัก!”
หลิงหยุนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ในเมื่อไม่สามารถเอาชนะได้ เหตุใดจึงมิรู้จักหนีเล่า”
“ข้าเคยได้ยินเพียงแค่ว่าสองหมัดมิอาจเอาชนะสี่หมัดได้ แต่ข้ามิเคยได้ยินว่าสองเท้ามิอาจวิ่งหนีคนกลุ่มใหญ่ได้! ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเจ้าสองคนเวลานี้ หากจะวิ่งหนีแล้วล่ะก็ ยากนักที่พวกเขาจะไล่ตามพวกเจ้าได้ทัน!”
หลิงอี๋และหลิงชีได้แต่หันไปมองหน้ากันและต่างก็คิดว่า วิ่งหนีก็ได้อย่างนั้นหรือ!
หลิงอี๋กับหลิงชีนั้นได้เข้ามาฝึกฝนเป็นนักรบตระกูลหลิงตั้งแต่ยังเยาว์วัยและนับจากที่พวกเขาทั้งคู่ก้าวเข้ามาในตระกูลหลิงนั้น ก็ถูกยัดเยียดความคิดหลากหลายเข้าไปในหัว แต่ถึงอย่างนั้นก็มิเคยมีคำว่า ‘หนี’ อยู่ด้วยเลย!
แต่เวลานี้..ผู้นำตระกูลหลิงคนใหม่ อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าใหญ่ของพวกเขาด้วยนั้น กลับกำลังสอนให้พวกเขาทั้งสองรู้จักหนี!!
หลังจากนั้นหลิงอี๋กับหลิงชีก็ได้แต่หันไปมองเหล่ากุ่ยซึ่งนั่งอยู่ข้างๆหลิงหยุน..
“พวกเจ้าสองคนหันมามองข้าทำไมกันท่านผู้นำตระกูลสอนเช่นใด วันข้างหน้าก็จงทำตามนั้น!”
“น้อมรับคำสั่งท่านผู้นำตระกูล!!”ทั้งสองคนร้องตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เวลานี้พวกเจ้าทั้งสองคนเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-6แล้ว หากออกไปผจญในยุทธภพ ก็นับเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง แต่ในโลกยุทธภพนั้น ยังมีผู้ที่เหนือกว่าพวกเจ้า และสามารถสังหารพวกเจ้าตายด้วยมือเปล่าได้อย่างง่ายดาย..”
หลิงหยุนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง“วันข้างหน้าหากพวกเจ้าออกไปปฏิบัติภารกิจข้างนอก เมื่อใดที่ต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย หากพบว่าคู่ต่อสู้ของเจ้าเก่งกว่ามาก พวกเจ้าสามารถล่าถอยได้ทันที ข้าจะไม่ตำหนิหรือถือโทษพวกเจ้าเลย..”
“น้อมรับคำสั่งท่านผู้นำตระกูล!” “ขอบคุณท่านผู้นำตระกูลที่เมตตา!”
หลิงอี๋กับหลิงชีได้ยินเช่นนั้นก็รีบคุกเข่าลงคาราวะหลิงหยุน พร้อมกับร้องตะโกนตอบกลับไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก
“พวกเจ้าลุกขึ้นได้!”
หลิงหยุนโบกมือพร้อมสั่งให้ทั้งสองลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เอาล่ะ.. ข้ามีภารกิจจะให้พวกเจ้าทั้งสองไปทำ!”
“คืนนี้ศิษย์ทั้ง72 คนของข้าที่ฝึกวิชาอยู่ในโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ตระกูลหลิงนั้น จะออกไปข้างนอกจัดหาของขวัญวันเกิดให้ท่านพ่อ ข้าเกรงว่าพวกเขาจะไปสร้างปัญหาเข้า เจ้าสองคนไปจัดเตรียมทีมติดตามเฝ้าดูพวกเขาอยู่ห่างๆ อย่าให้พวกเขาไปสร้างปัญหาได้..”
“น้อมรับคำสั่งท่านผู้นำตระกูล..”
หลิงอี๋และหลิงชีเอ่ยตอบด้วยสีหน้าตื่นเต้นและมีความสุขยิ่งที่ได้ปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งของหลิงหยุน
“อ่อ..แล้วงานวันเกิดของท่านพ่อในวันพรุ่งนี้ หากมีผู้ใดเข้ามาสร้างปัญหาได้ล่ะก็ ข้าจะคิดบัญชีกับพวกเจ้าสองคน!”
จากนั้นหลิงหยุนก็โบกมือพร้อมกับบอกทั้งคู่ว่า“ไปได้!”
“หลิงหยุน..ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่า ตระกูลหลิงจะมีวันนี้ วันที่จะสามารถกระทำการในเมืองปักกิ่งได้ตามใจชอบเช่นนี้!”
หลิงลี่เอ่ยขึ้นหลังจากที่หลิงอี๋กับหลิงชีออกไปแล้ว..
“หลิงหยุน..ว่าแต่ศิษย์ทั้ง 72 คนของเจ้าจะไม่ไปก่อเรื่องวุ่นวายในเมืองแน่นะ หาไม่ตระกูลหลงกับตระกูลเย่อาจมิพอใจก็เป็นได้..”
หลิงหยุนครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปว่า“ศิษย์ทั้ง 72 คนของข้าล้วนเป็นคนของแก๊งมังกรเขียวมาก่อน แต่ละคนล้วนแล้วแต่ลื่นไหลเอาตัวรอดได้เก่ง พวกเขาย่อมรู้ดีว่าควรมีเรื่อง หรือไม่ควรมีเรื่องกับผู้ใด ข้าไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร..”
ระหว่างที่ทั้งสามกำลังนั่งสนทนากันอยู่นั้นพ่อครัวก็ได้นำอาหารและเครื่องดื่มมาเสริฟให้ที่โต๊ะ
“ท่านปู่..งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของท่านพ่อในวันพรุ่งนี้ ข้าว่าพวกเรามิควรประกาศออกไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแขกที่จะมา ตัดสินใจเองว่าพวกเขาต้องการจะมา หรือไม่ต้องการจะมา..”
คำพูดประโยคนี้ของหลิงหยุนบ่งบอกถึงความหยิ่งยะโสยิ่งนัก!
อีกอย่าง..หลิงหยุนกลับมาปักกิ่งครั้งนี้ เขามาอย่างเงียบๆไม่เปิดเผย ตระกูลหลิงจึงมิได้จัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้หลิงเสี่ยวอย่างเอิกเกริก และยิ่งไม่ต้องการเชื้อเชิญแขกอย่างเป็นทางการ
ฉะนั้น..มิว่าใครก็ตามที่ต้องการนำของขวัญวันเกิดมาให้กับหลิงเสี่ยว ทุกคนต่างก็มีเวลาเตรียมการเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น! ที่สำคัญ..การทำเช่นนี้ย่อมเป็นการคัดกรองว่า ผู้ที่จะมาร่วมยินดีกับหลิงเสี่ยวในวันเกิดนั้น ย่อมต้องมีคุณสมบัติสามประการคือ..
ประการแรก..ต้องเห็นความสำคัญของหลิงเสี่ยว ประการที่สอง.. ต้องรู้วันเกิดของหลิงเสี่ยว และประการที่สาม.. ต้องยอมรับฐานะของตระกูลหลิงในปัจจุบันได้!
เมื่อมีคุณสมบัติครบทั้งสามประการที่ว่าแล้วก็เหลือแต่ว่าต้องการจะให้หน้าตระกูลหลิงหรือไม่เท่านั้น
หลิงหยุนมิได้กังวลใจเรื่องจำนวนคนที่จะมาร่วมอวยพรในวันเกิดของหลิงเสี่ยวว่าจะมีเท่าใดแต่เขารู้ว่าหนึ่งในบุคคลที่จะมาต้องมีหลี่จวิ้นหัวแห่งตระกูลหลี่อย่างแน่นอน..
และคนอย่างหลี่จวิ้นหัวย่อมต้องยินดีทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลิงหยุนพอใจ และเพื่อที่จะได้สร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเขา
และนี่ก็นับเป็นโอกาสทองของหลี่จวิ้นหัว!
ไม่แน่ว่าหลี่จวิ้นหัวเองอาจจะเฝ้ารอโอกาสนี้ให้มาถึงนานแล้วก็เป็นได้คิดได้เช่นนี้หลิงหยุนก็ถึงกับยิ้มกว้างออกมา..
หลิงหยุนมิจำเป็นต้องกังวลในเรื่องนี้เขาจึงหันไปถามหลิงลี่ว่า “ท่านปู่.. ข้าว่าท่านคงจะสะกัดขั้นพลังไว้ได้อีกไม่นานนักใช่หรือไม่”
“อืมม..ข้าเองก็ยังคิดอยู่ว่า หากเจ้าไม่กลับมาคงต้องปล่อยไปตามที่ควรจะเป็น!”
หลังจากจากเอ่ยตอบหลิงหยุนไปแล้วหลิงลี่ก็กระดกชามเหล้าเข้าปากทันที เวลานี้หลิงลี่ต้องใช้ชามดื่มแอลกอฮอล์แทนแก้วแล้ว
หลิงลี่เป็นคนแรกของตระกูลหลิงที่สามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-8ได้ก่อนผู้ใด จากนั้นเมื่อเข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติ-1 ได้ หลิงหยุนก็ขอให้เขาพยายามสะกัดกั้นขั้นพลังของตนเองไว้ ยังมิให้ทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไป
แต่หลังจากที่หลิงหยุนชำระล้างร่างกายให้หลิงลี่ก็ได้ฝึกภายใต้พลังชีวิตที่ปลดปล่อยจากหลิวเทวะวิญญาณ และหลิงหยุนเองก็ได้สร้างค่ายกลหลุมพลังไว้ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิง ทำให้หลิงลี่สามารถเข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติ-3 ได้ในทันที..
หากจะพูดไปก็เทียบเท่ากับขั้นซานฉางชี่(ขั้นพลังชี่-3) นั่นเอง..
แต่เวลานี้เสินหยวนได้เต็มเปี่ยมจุดซือไห่ จนหลิงลี่มิสามารถสะกัดกั้นไว้ได้อีกต่อไปแล้ว..
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยยิ้มๆ“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะช่วยให้ท่านปู่กับท่านพ่อ ทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไปพร้อมกัน..”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร