บทที่ 1503 : บ่าวผู้จงรักภักดี!
หลิงหยุนหันกลับไปมองเหล่ากุ่ยพร้อมกับเอ่ยว่า..
“เหล่ากุ่ย..เวลานี้ท่านเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8 แล้ว อีกไม่นานก็คงสามารถเข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติได้แล้วสินะ!”
“เฮ้อ..ข้าไร้พรสวรรค์ยิ่งนัก! แม้ท่านผู้นำตระกูลจะกระตือรือร้นช่วยฝึกฝนให้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยวัยที่ชราและร่างกายที่มิได้ดีเหมือนดังก่อน เวลานี้จึงมิได้เหนือไปกว่าหลิงอี๋กับหลิงชีมากนัก..”
เหล่ากุ่ยเอ่ยตอบหลิงหยุนด้วยท่าทางเคารพยิ่งเขาบอกกับหลิงหยุนไปตามตรง ในขณะเดียวกันก็ออกจะเย้ยหยันตนเองไปด้วย ดวงตาทั้งคู่พลันเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองเล็กน้อย
เหล่ากุ่ยเป็นทั้งบ่าวผู้จงรักภักดีและสหายเก่าแก่ของหลิงลี่แม้ในช่วงที่ตระกูลหลิงตกต่ำลงอย่างมาก เขาก็ยังคงติดตามหลิงลี่และช่วยงานตระกูลหลิงอย่างมิเคยนึกหวั่นไหว
ครั้งนั้น..ความแข็งแกร่งของเหล่ากุ่ยนับเป็นอันดับสามในตระกูลหลิง รองจากหลิงเจิ้นและหลิงลี่ แม้เขาจะเป็นเพียงแค่บ่าว แต่ฐานะของเขาในตระกูลหลิงเวลานั้นก็มิได้ต่ำต้อยเลย
หลังจากที่หลิงหยุนเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิงฐานะของเหล่ากุ่ยในตระกูลหลิงก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จนเสมือนญาติคนหนึ่งเลยทีเดียว
ดังคำโบราณว่า..หนึ่งคนบรรลุเป็นเซียน หมูหมากาไก่รอบตัวก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์ไปด้วย!
ทันทีที่หลิงหยุนกลับเข้าตระกูลหลิงเขามิเพียงถ่ายทอดวรยุทธบ่มเพาะที่ล้ำเลิศให้กับทุกคน แต่ยังนำโอสถต่างๆ และทรัพยากรสำหรับฝึกฝนมากมายมาให้ด้วย ไม่เพียงเท่านั้น.. เขายังได้สร้างค่ายกลหลุมพลัง และปลุกหลิวเทวะวิญญาณให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง! ด้วยสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการฝึกวรยุทธบ่มเพาะอย่างยิ่งนี้ทำให้ทุกคนในตระกูลหลิงต่างก็ได้รับประโยชน์ และพากันก้าวหน้ากันอย่างรวดเร็ว!
เวลานี้แม้แต่เหล่าทายาทตระกูลหลิงรุ่นเล็กทุกคนต่างก็ทะลวงเข้าสู่ด่านสุดท้ายของขั้นเซียงเทียนได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งหลิงหย่งซึ่งกระอักกระอ่วนใจที่จะกลับมาบ้านในคราแรก แต่หลังจากที่ได้กลับมาในคืนวันไหว้พระจันทร์นั้น เขาก็แทบมิอยากจะกลับไปที่โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ของตระกูลหลิงอีกเลย และเลือกที่จะกลับมาฝึกฝนวิชาใต้ต้นหลิวเทวะวิญญาณในทุกๆวัน
ความก้าวหน้าที่รวดเร็วนั้นแม้แต่เหล่ากุ่ยเองยังตกใจยิ่งนัก!
แม้แต่หลิงอี๋หลิงชี และเหล่านักรบตระกูลหลิงคนอื่นๆ แม้จะมิใช่สายเลือดสกุลหลิง แต่พวกเขาต่างก็ยังหนุ่มยังแน่น และด้วยวรยุทธบ่มเพาะที่หลิงหยุนถ่ายทอดให้นั้น ทำให้ทุกคนสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน! หลังจากปฏิบัติภารกิจในแต่ละวันเสร็จสิ้นนักรบตระกูลหลิงทั้งหมด ต่างก็จะกลับมาที่ตระกูลหลิงเพื่อฝึกฝน เพราะรู้ดีว่าที่นี่คือดินแดนล้ำค่าที่เหมาะแก่การฝึกวิชายิ่งนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลิงอี๋และหลิงชีทั้งคู่ดูเหมือนว่าจะสามารถเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นเซียงเทียนได้ตลอดเวลา และดูเหมือนว่าอีกไม่นานก็คงจะไล่ตามเหล่ากุ่ยได้ทันเป็นแน่!
อีกไม่นาน..เหล่ากุ่ยคงต้องกลายเป็นผู้ที่ไล่หลังพวกเขาทั้งคู่แทน!
ด้วยความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างหลิงหยุนกับเหล่ากุ่ยและเป็นเพราะเหล่ากุ่ยที่นำพาเขาเข้ามาตระกูลหลิง มีหรือที่หลิงหยุนจะนั่งมองเหล่ากุ่ยโดยมิสนใจใยดีได้
“เรื่องนั้นมิใช่ปัญหา!”
หลิงหยุนหันไปยิ้มให้กับหลิงลี่พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า“ท่านปู่.. โอสถทั้งสิบชุดที่ข้ามอบให้ท่านก่อนจะออกเดินทางจากปักกิ่งครั้งนั้น เหตุใดท่านจึงยังมิมอบให้กับเหล่ากุ่ยเล่า” “ฮึ่ม!!”
หลิงลี่ได้ฟังคำถามของหลิงหยุนก็ถึงกับคำรามออกมาด้วยความไม่พอใจคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันทันที พร้อมกับหันไปมองเหล่ากุ่ยด้วยแววตาขมึงทึง ก่อนจะเอ่ยตอบหลิงหยุนไปว่า
“ข้ามอบโอสถทั้งสองให้กับเขาแล้วแต่เขากลับดื้อดึงมิยอมรับ เจ้าจะให้ข้าทำเช่นใด”
ระหว่างที่เอ่ยนั้นหลิงลี่ก็ได้เรียกขวดสีเขียวออกมาถือไว้ในมือสองขวด ซึ่งภายในแต่ละขวดนั้น บรรจุโอสถสีม่วงและสีขาวไว้อย่างละเจ็ดเม็ด
“เอ่อ…”เหล่ากุ่ยมีสีหน้าเศร้าสร้อย
หลิงหยุนหันไปมองเหล่ากุ่ยพร้อมกับเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ“เหล่ากุ่ย เหตุใดท่านจึงมิยอมกินโอสถที่ข้าให้ หรือท่านเกรงว่ามันจะเป็นยาพิษงั้นรึ?”
“ท่านผู้นำตระกูล..ท่านอย่าได้กล่าวล้อเล่นเช่นนี้!”
เหล่ากุ่ยรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับระล่ำระลักตอบกลับไปทันที“เรียนท่านผู้นำตระกูล โอสถของท่านนับเป็นสิ่งล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งนัก แล้วข้าซึ่งเป็นบ่าวจะกล้ารับไว้ได้อย่างไรกัน”
หลิงหยุนถึงกับนิ่งอึ้งไป“เหตุผลเพียงแค่นั้นรึ!”
เหล่ากุ่ยเอาแต่นิ่งเงียบมิยอมตอบ..
หลิงลี่ที่นั่งฟังอยู่จึงร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความโมโห“ก็เหตุผลแค่นี้ล่ะ ที่ทำให้ข้าโกรธยิ่งนัก!”
หลังจากบอกหลิงหยุนไปเช่นนั้นหลิงลี่ก็คว้าชามเหล้าขึ้นกระดกเข้าปากไปอีกครึ่งชาม..
ชื่อจริงของเหล่ากุ่ยนั้นคือกุ่ยจงหวู่หากมิใช่เพราะความจงรักภักดีอย่างยิ่งที่มีต่อตระกูลหลิง ก็นับว่าเป็นความโง่เขลายิ่งที่ปฏิเสธ..
หลิงหยุนยังคงสงบนิ่งเขาเหลือบมองเหล่ากุ่ยยิ้มๆ พร้อมกับรินเหล้าลงไปในถ้วยให้หลิงลี่ แล้วจึงรินให้เหล่ากุ่ยและตนเอง
“ท่านปู่กุ่ยเหล้าชามนี้ข้าขอดื่มให้กับท่าน!” หลิงหยุนยกชามเหล้าขึ้น พร้อมกับเอ่ยบอกเหล่ากุ่ย
“ท่านผู้นำตระกูล..อย่าได้ทำเช่นนั้น บ่าวจะรับไว้ได้อย่างไรกัน!”
เหล่ากุ่ยรีบร้องตะโกนห้ามมือที่ถือชามเหล้านั้นสั่นเทิ้ม น้ำเสียงที่พูดก็สั่นสะท้านไปด้วยความเกรงกลัว
“หมดชาม!”
หลิงหยุนร้องตะโกนบอกพร้อมกับกระดกเหล้าเข้าปากอย่างไม่รีรอเหล่ากุ่ยจำต้องกระดกชามเหล้าในมือของตนเข้าปากด้วย..
หลิงหยุนวางชามเหล้าลงพร้อมกับเอ่ยยิ้มๆ“ท่านปู่กุ่ย มิตรภาพระหว่างท่านกับข้านั้น ข้าคงมิต้องเอ่ยย้ำให้ท่านฟังอีกรอบหรอกนะ”
เหล่ากุ่ยฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าหงึกๆ
“ท่านเองก็อายุเท่ากันกับท่านปู่ของข้าอีกทั้งยังเป็นสหายเก่าแก่ของเขา ท่านติดตามท่านปู่ของข้ามานานหลายปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันร่วมสิบๆ ปีกว่าที่จะมาถึงวันนี้ได้..”
“แต่เวลานี้..ตระกูลหลิงของข้าได้เปลี่ยนไปมากแล้ว และในวันข้างหน้าตระกูลหลิงจะต้องยิ่งใหญ่ และยืนยาวยิ่งกว่นี้!
หลิงหยุนจ้องลึกลงไปในดวงตาของเหล่ากุ่ยน้ำเสียงของเขานั้นชัดเจนและทรงพลังยิ่ง!
“สิ่งที่ท่านปู่ของข้าต้องการในวันนี้..ก็เพียงแค่ใครสักคนที่รู้ใจ และสามารถเป็นเพื่อนคุยกับเขาไปตลอดชีวิตดังเช่น…”
หลิงหยุนหยุดชะงักอยู่เพียงเท่านั้นเพราะสิ่งที่เขาต้องการจะเอ่ยต่อจากนั้นคือ ‘ดังเช่นเสี่ยวเจิ้งจี๋กับเหมี่ยวเฟิงหวง’ แต่เพราะเกรงว่าหากทั้งคู่ได้ฟังจะรู้สึกกระอักกระอ่วนมากจนเกินไป เขาจึงได้หยุดไปเฉยๆเช่นนั้น
“ฉะนั้นท่านปู่กุ่ย..โอสถนี้..”
หลิงหยุนจงใจลากเสียงยาวแล้วจึงเอ่ยยิ้มๆว่า “ท่านจึงมิสมควรได้กิน!”
พรวด..
หลังจากได้ฟัง..เหล้าในปากหลิงลี่ถึงกับพุ่งออกมาทันที และได้แต่คิดในใจว่า หลานชายของตนเกริ่นมาตั้งนาน เหตุใดจึงเอ่ยออกมาเช่นนี้เล่า
เหล่ากุ่ยเองก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปเช่นกัน..และได้แต่ทำสีหน้ากระอักกระอ่วน
แต่แล้วจู่ๆแสงสว่างเจิดจ้าพลันปรากฏขึ้นทันที..
หลิงหยุนได้เรียกโอสถระดับสมบัติขั้นกลางออกมาแสงสว่างเจิดจ้าของมันนั้น สุกสว่างเสียยิ่งกว่าโอสถในมือของหลิงลี่เวลานี้เสียอีก
“นี่เป็นโอสถเยาว์วัยและโอสถโฉมสะคราญที่ข้าเพิ่งหลอมกลั่นมาใหม่มันคือโอสถระดับสมบัติขั้นกลาง ซึ่งสามารถทำให้ผู้ที่ได้กินอ่อนวัยลงไปถึงห้าสิบปีเลยทีเดียว ท่านปู่กุ่ย.. ท่านต้องการจะทดลองหรือไม่”
กุ่ยจงหวู่ถึงกับตกใจอย่างที่สุด!
หลิงลี่ผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจและนิ่งอยู่เช่นนั้นด้วยความตกตะลึง!
ทางด้านหลิงเสี่ยวซึ่งแอบดูอยู่นั้นถึงกับเกือบทำถ้วยชาในมือหล่นแตก ส่วนหลิงเย่วนั้นยังคงอยู่ในท่าทีที่สงบนิ่ง และยังคงรินชาลงในถ้วยพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าหลิงหยุนกลับมาครั้งนี้ต้องมีเรื่องให้พวกเราประหลาดใจอีกเป็นแน่!”
หลังจากที่บรรยากาศภายในสวนของหลิงลี่สงบนิ่งไปครู่หนึ่งนั้น..
“ข้าในฐานะผู้นำตระกูลหลิงขอสั่งให้ท่านกินโอสถวิเศษนี้เข้าไปโดยเร็ว!”
เหล่ากุ่ยยกมือที่สั่นเทิ้มนั้นชี้ไปที่โอสถในมือของหลิงลี่พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ข้ายอมกินแล้ว! แต่ข้าขอเป็นโอสถนี้ ข้าจะรับไว้แล้วจึงค่อยกินทีหลัง..”
เหล่ากุ่ยลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมืออกไปรับ..
“รับไว้แล้วค่อยกินทีหลังงั้นรึ!!”
หลิงหยุนถือขวดโอสถระดับวิญญาณขั้นกลางทั้งสองเดินตรงเข้าไปหาเหล่ากุ่ยพร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า
“นี่เป็นถึงโอสถระดับสมบัติขั้นกลาง..ช้าเร็วท่านก็ต้องกินโอสถนี้อยู่ดี ฉะนั้น.. กินเข้าไปเดี๋ยวนี้!”
ดวงตาทั้งสองข้างของเหล่ากุ่ยแดงก่ำพร้อมกับคุกเข่าลงตรงหน้าหลิงหยุน และเอ่ยอ้อนวอนออกมาด้วยเสียงปนสะอื้น
“ท่านผู้นำตระกูล..อย่าได้ทำเช่นนี้! โอสถระดับวิญญาณขั้นกลางล้ำเลิศจนมิอาจประเมินค่าได้เช่นนี้ เหล่าสมาชิกตระกูลหลิง หรือแม้แต่นายผู้เฒ่ายังมิได้กิน แล้วข้าเป็นแค่บ่าวจะกล้ากินได้อย่างไรกันเล่า”
“ช้าเร็วทุกคนก็ต้องกินโอสถนี้อยู่ดีผู้ใดกินก่อนหรือกินหลังมิใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด!”
หลิงหยุนเอ่ยตอบโดยมิสนใจใยดีคำอ้อนวอนของเหล่ากุ่ยจากนั้นจึงหันไปถามหลิงลี่ว่า “ท่านปู่.. ท่านคิดเห็นเช่นใด”
หลิงลี่หัวเราะออกมาด้วยความถูกอกถูกใจพร้อมกับร้องตะโกนตอบกลับไปว่า “เจ้ากล่าวได้ถูกต้องนัก! เฒ่ากุ่ย.. ข้าให้เจ้ากินดีๆเจ้ากลับไม่ยอม คราวนี้ข้าอยากดูว่าเจ้าจะหลีกเลี่ยงเช่นใดได้อีก”
ท้ายที่สุด..ด้วยความร่วมมือระหว่างหลิงหยุนกับหลิงลี่ กุ่ยจงหวู่ก็ได้เป็นคนแรกของตระกูลหลิงที่ได้กลืนโอสถเยาว์วัย ซึ่งเป็นโอสถระดับสมบัติขั้นกลาง
ในเวลาเพียงแค่พริบตาเดียวร่างกายของเหล่ากุ่ยก็เริ่มกลับมเปล่งปลั่ง ริ้วรอยต่างๆบนใบหน้าเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
และในเวลานั้นเอง..เหล่ากุ่ยก็ได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติในทันที จุดซือไห่กึ่งกลางหว่างคิ้วได้เปิดออก จิตหยั่งรู้ถือกำเนิดขึ้น และเข้าสู่ระดับเริ่มต้นขั้นพลังชี่ได้ในทันที
บูม!!
หลิงหยุนปลดปล่อยเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางทั้งเจ็ดสีปกคลุมร่างของเหล่ากุ่ยและหลิงลี่ไว้พร้อมกัน เพื่อทำการชำระล้างกายาให้ทั้งคู่อีกครั้ง
จนกระทั่งเข้าสู่เวลาสี่ทุ่มตรงเหล่ากุ่ยก็ได้ทะลวงเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นปฐมชี่ได้..
ส่วนหลิงลี่นั้น..หลังจากที่หลิงหยุนได้ใช้เปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางชำระกายา และบ่มเพาะจุดซือไห่ให้บริสุทธิ์อีกครั้ง เขาก็เข้าสู่จุดสูงสุดและแทบจะทะลวงเข้าสู่ด่านต่อไปในทันที แต่หลิงหยุนให้เขาพยายามสะกัดกั้นไว้ก่อน จนกว่าจะถึงคืนวันพรุ่งนี้
“นี่เหล่ากุ่ย..เวลานี้ท่านดูหนุ่มกว่าหลิงอี๋กับหลิงชีเสียอีก!”
หลิงหยุนเอ่ยหยอกเย้าเหล่ากุ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มจากนั้นหลิงหยุนก็กระโดดออกไปจากสวนของหลิงลี่ ปล่อยคนทั้งคู่ไว้ตามลำพัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร