บทที่ 1510 : ความอัปยศของตระกูลหลง
ตระกูลหลงแห่งปักกิ่ง..
หากจะว่าไปตระกูลหลงนั้นเป็นตระกูลเดียว ที่ไม่มีบ้านบรรพชนที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษดังเช่นตระกูลหลิง และตระกูลเย่ นั่นเพราะตระกูลหลงเป็นตระกูลที่สืบทอดมายาวนานมากกว่าหนึ่งพันปี และผ่านมาหลายราชวงศ์ แต่ละครั้งก็ต้องสร้างบ้านเรือนประจำอยู่ตามเมืองหลวงของราชวงศ์นั้นๆ
ด้วยเหตุนี้ทำให้บ้านบรรพชนตระกูลหลง ได้กระจัดกระจายไปอยู่ตามเมืองต่างๆในประเทศจีนที่เคยเป็นเมืองหลวงของแต่ละราชวงศ์ อย่างเช่นฉางอัน ลั่วหยาง และอีกหลายๆแห่ง รวมทั้งปักกิ่งเวลานี้ด้วย
และอีกหนึ่งเหตุผลก็คือตระกูลหลงเป็นตระกูลที่สืบเชื้อสายกันมายาวนานหลายพันปี ลูกหลานและทายาทตระกูลหลงจึงมีค่อนข้างมาก ตลอดหลายทศวรรษมานี้ ก็มีการแก่งแย่งชิงดีกันอย่างโหดเหี้ยมภายในตระกูล
เมื่อฝ่ายหนึ่งถูกอีกฝ่ายโค่นล้มลงได้หากไม่ถูกฆ่าตาย ก็ถูกขับไล่ออกนอกตระกูล และบังคับให้เปลี่ยนชื่อแซ่ หรือไม่ก็ได้รับความอับอายจนไม่กล้าบอกใครๆว่าตนเองเป็นคนตระกูลหลงอีก ไม่กล้าแม้กระทั่งจะฝึกวรยุทธประจำตระกูลหลงด้วย ท้ายที่สุดก็กลายเป็นชาวยุทธธรรมดาทั่วไป
อาจเรียกว่านี่คือเรื่องของธรรมชาติคัดสรรก็ได้ผู้ที่เหมาะสมที่จะได้อยู่ต่อ ย่อมเป็นผู้ที่สามารถเอารอดชีวิตรอดได้!
ความจริงข้อนี้เกิดขึ้นกับทุกชีวิตเผ่าพันธุ์..
มนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใดเชื้อชาติใด หรือครอบครัวใด ต่างก็เป็นเช่นนี้เหมือนๆกัน..
แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อหกร้อยปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง จักรพรรดิทุกพระองค์ก็ล้วนมีปักกิ่งเป็นเมืองหลวง และผู้กุมชัยชนะภายในตระกูลหลงแต่ละยุค ก็เลือกที่จะสร้างบ้านให้ไม่ห่างไกลจากพระราชวังต้องห้ามมากนัก นั่นเพราะยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสะดวกต่อการดูดซับปราณมังกร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการฝึกวิชาประจำตระกูลหลง
ด้วยเหตุนี้ทำให้คนตระกูลหลงล้วนแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่พวกเขากลับมิชอบแสดงตน และเลือกที่จะเก็บตัวอยู่เงียบๆ ในป่าบ้าง ในเมืองบ้าง แม้จะเปรียบเสมือนหัวมังกรมิใช่หาง แต่ก็เลือกที่จะซ่อนตัวมิให้ผู้คนล่วงรู้
ทุกวันนี้นอกจากพระราชวังต้องห้ามแล้ว ยังมีพระราชวังอีกหลายแห่งในสมัยราชวงศ์ชิง ได้ถูกพัฒนาขึ้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมได้อย่างไม่ขาดสาย
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีพระราชวังอีกหลายแห่งที่ไม่เปิดให้คนทั่วไปได้เข้าชม นั่นเพราะตระกูลหลงได้แอบเก็บไว้เป็นที่พักอาศัยและสถานที่ฝึกวิชาของตนเอง
อย่างเช่นพระราชวังเก่าแก่แห่งนี้เป็นต้นเมื่อสามสิบปีก่อน หลงฮ่าวหลานซึ่งถูกรับเลือกให้เป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป ก็ได้เลือกพระราชวังเก่าแก่แห่งนี้เป็นที่พักอาศัย และฝึกวรยุทธ
ที่ตั้งของพระราชวังแห่งนี้นับว่ายอดเยี่ยมนักหันหน้าไปทางทิศใต้ซึ่งมีภูเขาและแม่น้ำ พื้นที่ภายในมีศาลาริมน้ำ และจากศาลาแห่งนี้สามารถมองเห็นพระราชวังต้องห้ามได้อย่างชัดเจน
ตลอดระยะเวลาเกือบยี่สิบปีหลงฮ่าวหลานในฐานะผู้นำตระกูลหลง เมื่อไม่ได้เดินทางไปที่ใด ก็จะพักอาศัยอยู่ที่นี่เสียส่วนใหญ่ เพราะสะดวกแก่การเข้าออกภายในพระราชวังต้องห้ามเพื่อดูดซับปราณมังกร ที่จำเป็นต่อการฝึกวิชาประจำตระกูลหลง
หากหลิงเสี่ยวนับเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ประจำตระกูลหลิงหลงฮ่าวหลานก็คือผู้ที่มีพรสวรรค์ของตระกูลหลงมาตลอดห้าสิบปี เขาสามารถฝึกวิชาบัญชามังกรได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในวัยเพียงแค่สิบขวบ หลงฮ่าวหลานก็สามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้แล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปต่อจากหลงลั่วอวี๋
แม้ว่าเมื่อสี่สิบปีก่อนผู้เฒ่าในตระกูลหลงได้ถูกมอบหมายให้เดินทางไปเผิงไหล หลงฮ่าวหลานก็มิได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง ในวัยเพียงแค่สิบแปดปี ก็สามารถเข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติซึ่งเหล่าชาวยุทธต่างใฝ่ฝันได้
หลังจากนั้นหลงฮ่าวหลานก็ได้หยุดที่จะพัฒนาความก้าวหน้าของตนเอง และเริ่มทำให้ขั้นพลังของตนเองเสถียรมากขึ้น แต่หลังจากนั้นต่อมาอีกหกปี หลงฮ่าวหลานก็ได้เข้าสู่ขั้นซานเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-3) ได้ในวัยยี่สิบสี่ และในวัยยี่สิบห้าปี ก็ได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลงต่อจากหลงลั่วอวี๋ จากนั้นจึงได้แต่งงานและมีบุตรชายสองคนคือ หลงเทียนซิงและหลงเทียนฟาง
แต่เพราะตระกูลหลงเป็นตระกูลที่ใหญ่โตยิ่งและมีธุรกิจอยู่ในความดูแลมากมายหลังจากที่ได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลง งานทั้งภายในภายนอกตระกูลหลงก็ได้รุมเร้า อีกทั้งยังต้องคอยอบรมสั่งสอนบุตรชายทั้งสองคน ทำให้การฝึกฝนก้าวหน้าช้าลง แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความตั้งใจของหลงฮ่าวหลานเองด้วย เขาเริ่มทะลวงเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) และต้องใช้เวลาถึงสิบกว่าปีจึงจะสามารถเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ได้ในวัยสามสิบหก
แต่การเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ได้ในวัยสามสิบหกปีก็หาใช่เรื่องน่าตื่นเต้นยินดีไม่หากอยู่โลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ แม้แต่ผู้บ่มเพาะพลังในคุนหลุนก็ยังมิอาจเทียบได้ แต่เป็นเพราะโลกใบนี้ขาดแคลนพลังชีวิต และสำหรับคนธรรมดาทั่วไป นี่จึงนับเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งแล้ว!
แต่นับจากนั้นมาหลงฮ่าวหลานก็ยังคงรักษาขั้นพลังของตนเองให้อยู่ที่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) เช่นนั้นมาตลอดเวลามากกว่าสิบปี
จนกระทั่งเวลานี้บุตรชายทั้งสองของหลงฮ่าวหลาน ก็ได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ได้แล้วเช่นกัน แต่หลงฮ่าวหลานยังคงไม่คิดที่จะพัฒนาขั้นพลังของตนเอง
แม้เรื่องนี้คนนอกยากที่เข้าใจแต่ทุกคนในตระกูลหลงกลับมิได้รู้สึกกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสาหลักทั้งหลายของตระกูลหลง ไม่ว่าจะเป็นหลงลั่วอวี๋ หลงจ้าวเจียง หลงจ้าวไห่ และอีกหลายๆคน ไม่เพียงทุกคนจะไม่คลางแคลงใจกับความเชื่องช้าของหลงฮ่าวหลาน พวกเขากลับยิ่งมั่นใจและคาดหวังในตัวหลงฮ่าวหลานมากขึ้น
พวกเขาต่างก็รู้ว่าที่หลงฮ่าวหลานไม่ยอมพัฒนาขั้นนั้นเป็นเพราะกำลังรอคอยเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น!
ยิ่งไปกว่านั้นตลอดระยะเวลากว่ายี่สิบปีมานี้ หลงฮ่าวหลานก็ได้มุ่งเน้นสร้างความแข็งแกร่งในขั้นพลังของตนเอง อีกทั้งยังใช้เวลาไปกับการสร้างความแข็งแกร่งให้กับตระกูลหลง และไม่ว่าสถานการณ์ในประเทศนี้จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นใด ตระกูลหลงก็ยังคงสามารถครองตำแหน่งตระกูลอันดับหนึ่งไว้ได้ตลอดมา แม้แต่ตระกูลเย่ยังมิอาจทำให้สั่นคลอนได้!
ในวัยสามสิบหกปีหลงฮ่าวหลานเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ และได้ขึ้นรับตำแหน่งผู้นำตระกูลหลง ตลอดระยะเวลายี่สิบห้าปีที่ผ่านมา ตระกูลหลงก็อยู่ในอันดับสูงสุดของประเทศนี้มาโดยตลอด อีกทั้งยังมีลูกชายที่เก่งกาจถึงสองคน และนี่คือหลงฮ่าวหลาน..
หลงฮ่าวหลานใช้ชีวิตอยู่อย่างราบรื่นมาตลอดระยะเวลาห้าสิบปีจนกระทั่งเด็กหนุ่มที่หยิ่งผยองคนหนึ่งก้าวผงาดขึ้นมา ความราบรื่นที่เคยมีจึงได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น
เด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือหลิงหยุนแห่งตระกูลหลิง!
หลังจากที่หลิงหยุนเริ่มผงาดขึ้นมาเขากลับใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งเดือน นำพาตระกูลหลิงให้ประสบความสำเร็จดังเช่นหลงฮ่าวหลานทำมาในอดีต และยังได้บดขยี้ทุกคนที่ขวางทาง การที่หลิงหยุนนำพาตระกูลหลิงขึ้นมาผงาดได้อีกครั้งนั้น ทำให้หลงฮ่าวหลานโมโหยิ่งนัก แต่จนบัดนี้เขาก็ยังไม่สามารถหาวิธีจัดการกับหลิงหยุนได้
หลังจากที่ปราณมังกรอายุกว่าหกร้อยปีถูกหลิงหยุนดูดซับเข้าไปจนหมดหลงฮ่าวหลานก็ยิ่งโมโห และได้ส่งหลงเทียนซิงไปสืบประวัติหลิงหยุนถึงเมืองจิงฉู และส่งหลงเทียนฟางไปป่าเสินหนงเจี๋ยเสาะหามังกรดำ หลังจากนั้นจึงให้สองพี่น้องไปพบกับหลงฮ่าวเฉียนที่งานชุมนุมชาวยุทธ เพื่อจัดการกับหลิงหยุน แต่กลับกลายเป็นว่า หลงฮ่าวเฉียนได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนหลงเทียนฟางก็หายตัวไป เหลือเพียงหลงเทียนซิงบุตรชายคนโตที่รอดชีวิตกลับมาได้ แต่นั่นเป็นเพราะความใจกว้างของหลิงหยุนที่ยอมไว้ชีวิตเขา
การที่ตระกูลหลงพ่ายแพ้ให้กับหลิงหยุนที่ทะเลสาบผอหยางในครั้งนั้นทำให้หลงฮ่าวหลานเสียหน้าเป็นอย่างมาก เขาเจ็บปวดจนถึงกับต้องเดินทางออกจากปักกิ่งไปพบหลงลั่วอวี๋ หลงจ้าวเจียง และหลงจ้าวไห่ ขอให้ทั้งสามคนไปสังหารหลิงหยุนเพื่อช่วยกู้หน้าให้กับตระกูลหลหลง ก่อนที่หลิงหยุนจะแข็งแกร่งมากไปกว่านี้
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าการต่อสู้ที่ทะเลจีนตะวันออกนอกจากผู้เฒ่าตระกูลหลงทั้งสาม และนักบวชทั้งสองจากเขาหลงหู่ ซึ่งทั้งห้าคนล้วนเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่กันหมดแล้ว แต่ทั้งหมดกลับพ่ายแพ้ให้หลิงหยุนอย่างราบคาบ
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้ยืนคำขาดกับตระกูลหลงถึงสี่ข้อ..
ห้ามคนตระกูลหลงเข้าเมืองจิงฉูป่าเสินหนงเจี๋ย และสุสานองค์จักรพรรดิจิ๋นซี และข้อสุดท้ายก็คือ ก่อนที่เขาจะกลับปักกิ่ง หวังว่าจะได้เห็นหลงคุนและหลงหวู่เป็นอิสระ
ข้อเรียกร้องแรกนั้นหลงฮ่าวหลานได้สั่งทุกคนในตระกูลหลงมิให้เข้าใกล้เขตจิงฉูอีก แต่ข้อเรียกร้องอีกสามข้อนั้น หลงฮ่าวหลานมิอาจยอมรับได้ ทั้งป่าเสินหนงเจี๋ยสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี สถานที่ทั้งสองแห่งนี้ล้วนเป็นสถานที่สำคัญ และลี้ลับยิ่งของประเทศนี้ แต่หลิงหยุนกลับห้ามคนตระกูลหลงเข้าไปเหยียบอย่างนั้นหรือ
ยังมีหลงคุนกับหลงหวู่หลงคุนเก็บของสำคัญของตระกูลหลงไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งนั้นสำคัญต่อหลงฮ่าวหลานมาก..
แต่ความโกรธแค้นที่หลงฮ่าวหลานได้รับนั้นกลับเกิดขึ้นเพราะหลิงหยุนไม่ได้พูดเรื่องนี้กับเขาโดยตรง แต่กลับบอกผ่านหลงลั่วอวี๋ซึ่งเป็นพ่อของเขา และเป็นผู้นำตระกูลหลงคนก่อน นั่นเท่ากับเป็นการหยามหน้าเขายิ่งนัก!
เวลานี้หลงฮ่าวหลานนอกจากต้องดูแลลูกชายคนโตที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วยังต้องตามหาลูกชายคนเล็กที่หายตัวไปอีกด้วย ยังมีเรื่องความพ่ายแพ้ของผู้เฒ่าตระกูลหลิงทั้งสามที่ทะเลจีนตะวันออก ทำให้หลงฮ่าวหลานทุกข์ใจอย่างที่มิสามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เขาจึงร้อนรุ่มประหนึ่งว่ากำลังนั่งอยู่กลางกองไฟ หลิงหยุนเพียงคนเดียวแต่กลับสามารถบดขยี้คนตระกูลหลงถึงสามรุ่นได้เช่นนี้ ทำให้ตระกูลหลงได้รับความอับอายยิ่ง และนั่นไม่ต่างจากการเหยียบย่ำตระกูลหลงอยู่ใต้ฝ่าเท้า
เช่นนี้ผู้ใดจะทนได้เล่า
แต่หลงฮ่าวหลานก็คือหลงฮ่าวหลานเขายังคงสามารถอดทนได้ เพราะแม้แต่พ่อและลุงทั้งสามยังพ่ายแพ้ ทำให้หลงฮ่าวหลานเข้าใจได้ดีว่า เพียงแค่ความแข็งแกร่งของตระกูลหลงอย่างเดียว คงยากที่จะทำอะไรหลิงหยุนได้
แต่ในวันที่หลงฮ่าวหลานได้รับรายงานว่าสำนักกระบี่เทียนซานได้ถูกหลิงหยุนถล่มแล้ว เขาถึงกับแอบยิ้มออกมา..
นั่นเพราะหลิงหยุนไม่เพียงสังหารคนของสำนักกระบี่เทียนซานแต่ยังได้สังหารศิษย์คุนหลุนตายไปถึงสี่คน!
และเรื่องนี้คุนหลุนจะต้องล้างแค้นตระกูลหลิงและหลิงหยุนคืนอย่างแน่นอน! “ลมพายุพัดผ่านพืชพันธุ์กำลังจะงอกงาม”
“ตระกูลหลงของข้าผ่านมาหลายราชวงศ์แต่หลิงหยุน.. เจ้าไม่เพียงเกิดมาพร้อมกับวิชาบ่มเพาะพลังที่มิเคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน แต่ยังมีพู่กันจักรพรรดิแห่งมนุษย์ และสมุดจักรพรรดิแห่งพิภพคอยช่วยเช่นนี้ ตระกูลหลงของข้าจะไม่ยอมถอยได้อย่างไรกันเล่า”
“หลิงหยุน..เจ้ามันโอหังเกินไป ไม่เพียงริอาจนำแวมไพร์มาเป็นบริวาร แต่ยังสังหารชาวยุทธ และเหล่านินจานับไม่ถ้วน สร้างความโกรธแค้นให้ผู้คนมากมาย ครั้งนี้ยังริอาจสังหารศิษย์คุนหลุน เวลานี้ย่อมต้องมีผู้คนที่คอยล้างแค้นเจ้าและตระกูลหลิงคืนอย่างมากมาย..”
“ครั้งนี้ตระกูลหลงจะเอาอย่างตระกูลเย่บ้างข้าจะเป็นฝ่ายยืนดูอยู่เงียบๆ รอดูว่าเจ้าจะยะโสโอหังไปได้อีกนานเท่าใด”
“หึ..รอให้ลูกเฟิงของข้ากลับมาก่อนเถิดหรือไม่ก็รอให้ข้าได้กุญแจพระราชวัง ข้าจะทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐาน จากนั้นจะไปจัดการกับเจ้าทันที!”
หลงฮ่าวหลานนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับรำพึงรำพันออกมาหลังจากที่ครุ่นคิดถึงเรื่องเลวร้ายต่างๆที่เกิดขึ้น
ระหว่างที่หลงฮ่าวหลานกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะส่งพลังจิตออกจับตาดูแสงไฟจากตะเกียงชีวิต ซึ่งอยู่ในห้องห้องหนึ่งทางด้านตะวันตกของสถานที่แห่งนี้ แต่เดิมแสงของเปลวไฟจากตะเกียงชีวิตนั้นเป็นสีแดงเข้ม แต่แล้วจู่ๆ มันก็ได้ลุกโชนขึ้นกลายเป็นสีแดงทอง และเวลานี้สีทองก็ยิ่งสุกสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งส่องทะลุออกนอกหน้าต่าง และทำให้ทั่วทั้งบริเวณกลายเป็นสีทองเรืองรอง!
หลงฮ่าวหลานถึงกับดวงตาเบิกกว้างแววตาเป็นประกายขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ จากนั้นร่างของเขาก็ได้หายไปจากเก้าอี้โยก ไปปรากฏตัวที่ห้องทางฝั่งตะวันตกทันที แสงสีทองเรืองรองจากตะเกียงชีวิตยิ่งส่องสว่างมากขึ้นกว่าเดิมแม้แต่หลงฮ่าวหลานยังถึงกับต้องหลับตา แต่ภายในใจนั้นกลับรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก!
เขาร้องพึมพำออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ“ลูกฟาง.. เจ้าคือมังกรที่แท้จริงเพียงตัวเดียวของตระกูลหลงในช่วงเวลาหลายพันปี!”
แสงสว่างแห่งชีวิตของหลงเทียนฟางแสงสีทองยังคงเปล่งประกายเจิดจ้าอยู่นาน หลงฮ่าวหลานยืนนิ่งจ้องมองแสงสีทองค่อยๆอ่อนกำลังลง พร้อมกับพึมพำออกมาว่า
“คิดไม่ถึงว่าลูกฟางจะได้ผจญภัยที่น่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้เทียนฟางกลับมาเมื่อใด ก็จะเป็นเวลาที่ตระกูลหลงจะจัดการกับหลิงหยุน! ”
หลงฮ่าวหลานยังคงจ้องมองเปลวไฟสีแดงทองอยู่ต่ออีกสองสามนาทีและเมื่อเห็นว่าสีของเปลวไฟไม่เปลี่ยนแปลง เขาจึงถอนหายใจออกมาอย่างโลกอก แล้วจึงค่อยก้าวเท้าเดินออกจากห้องไป หลงฮ่าวหลานยืนเงยหน้ามองท้องนภาเบื้องบนและสงบสติอารมณ์ให้กลับสู่ความสงบนิ่ง ก่อนจะยิ้มและเอ่ยออกมา
“หากเป็นเช่นนี้พรุ่งนี้ข้าหลงฮ่าวหลานก็จะให้หน้าตระกูลหลิงเสียหน่อย ข้าจะไปร่วมงานวันเกิดของหลิงเสี่ยวด้วยตัวเอง..”
แต่แล้วจู่ๆก็มีร่างสีดำหกเจ็ดร่างกระโดดเข้ามาในบริเวณที่หลงฮ่าวหลานยืนอยู่!
ทั้งหมดคือนักรบตระกูลหลง!
หลงฮ่าวหลานตะโกนดุเสียงดัง“ข้าสั่งแล้วไม่ใช่รึว่า หากไม่มีเรื่องสำคัญ ห้ามมารบกวนข้า”
“ท่านผู้นำตระกูลมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว!”
หลงฮ่าวหลานถึงกับหน้าเปลี่ยนสีคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันพร้อมกับเอ่ยถามไปว่า “บอกข้ามาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หนึ่งในนั้นรีบรายงานหลงฮ่าวหลานทันที“ตระกูลหลิงบุกตระกูลหลงแล้ว!” “อะไรนะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร