Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1512

บทที่ 1512 : ไม่ตายง่ายๆ
  คฤหาสน์ตระกูลเย่ชานเมืองด้านตะวันออกของปักกิ่ง..
  หลังจากที่หลงฮ่าวหลานได้รับรายงานข่าวไม่นานนักเย่ชิงเฟิง – ผู้นำตระกูลเย่ก็ได้รับรายงานเช่นกัน
  แต่หลังจากที่ได้รับรายงานจากนักรบตระกูลเย่เย่ชิงเฟิงกลับไม่มีสีหน้าท่าทางทุกข์ระทม หรือโกรธเกรี้ยว แต่กลับมีเพียงแค่รอยยิ้ม
  “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงสินะนี่คือกฏธรรมชาติที่เกิดขึ้นวนเวียนอยู่เช่นนี้ ข้าคงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จริงๆ”
  ความจริงแล้วเรื่องที่หลิงหยุนจะกลับมาทวงของของตนคืนจากตระกูลเย่นั้น เป็นเรื่องที่เย่ชิงเฟิงคาดคิดไว้นานแล้ว
  ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ออกคำสั่งกับเหล่านักรบตระกูลเย่ ซึ่งคำสั่งของเขาก็เกือบจะคล้ายกับที่หลงฮ่าวหลานสั่งนักรบตระกูลหลง เพียงแต่เย่ชิงเฟิงกลับมีสีหน้าท่าทางที่สนุกมากกว่า
  หลังจากที่นักรบตระกูลเย่จากไปแล้วเย่ชิงเฟิงก็ได้เรียกประชุมเหล่าคนสำคัญของตระกูลเย่ทันที ซึ่งก็มีไม่มากมายนัก นอกเหนือจากเย่ชิงเฟิง เย่ชิงซิน เย่เทียนสุ่ย และเย่เทียนตูแล้ว ก็มีชายผมขาว หลังค่อม ใบหน้าเหี่ยวย่น ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าอยู่หน้าบ้านตระกูลเย่มาหลายสิบปี ทุกคนในตระกูลเย่ต่างก็เรียกเขาว่าเหลยก่วงเฟิงผู้นี้ว่าเหล่าเล่ย
  ทุกคนต่างก็ทักทายเย่ชิงเฟิงเมื่อเดินเข้าไปในห้องประชุมซึ่งเขาได้นั่งรอทุกคนอยู่ก่อนแล้ว
  แต่แล้วจู่ๆร่างหนึ่งก็กระโดดเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลเย่ และรีบพุ่งไปยังห้องประชุมทันที และร่างอวบอ้วนนี้ก็หาใช่ใครอื่นไม่ แต่เป็นเย่เทียนสุ่ยนั่นเอง..
  “เจ้าหลิงหยุน..หมอนั่นต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ! เขากล้าทำเช่นนี้กับตระกูลเย่ของเราได้อย่างไรกัน เขาทำเช่นนี้ย่อมเท่ากับไม่ให้หน้าตระกูลเย่ของเราเลย”
  เย่เทียนสุ่ยเองก็ได้รับรายงานเช่นเดียวกันฉะนั้น หลังจากที่เข้ามาได้ เขาก็ร้องตะโกนบอกเล่าเรื่องหลิงหยุนด้วยเสียงที่ดังก้องมาตลอดทาง
  เสียงร้องตะโกนด้วยความโมโหของเย่เทียนสุ่ยได้ทำลายความเงียบสงบภายในห้องประชุม
  “เทียนสุ่ยคาราวะท่านปู่เล่ยลุงสอง และน้าหญิง”
  แม้กระทั่งมีเย่ชิงเฟิงนั่งอยู่ด้วยแต่เย่เทียนสุ่ยที่เพิ่งเข้ามากลับทักทายเหลยก่วงเฟิงก่อน ย่อมแสดงให้เห็นว่าเหลยก่วงเฟิงมิได้มีฐานะธรรมดาๆในตระกูลเย่
  และการกระทำเช่นนี้เย่ชิงเฟิงเองก็ดูเหมือนจะคุ้นเคยและเห็นเป็นเรื่องปกติ เขาจึงได้แต่ยิ้มและเอ่ยทักทายเย่เทียนสุ่ย พร้อมกับสั่งให้นั่งลง  โต๊ะภายในห้องประชุมเป็นโต๊ะยาวและมีเก้าอี้อยู่มากพอ เย่เทียนสุ่ยจึงได้เดินไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ห่างจากเย่เทียนตู แต่หลังจากนั่งลงแล้วก็ไม่ลืมที่จะทักทายเขา
  แต่เย่เทียนตูกลับไม่สนใจแม้แต่จะปรายตามองปากของเขายังคงคาบใบหญ้าที่เพิ่งเด็ดมา และมือขวานั้นมีกระบี่เหินสีม่วงของตนโผล่มาแล้วก็หายไปอยู่เช่นนี้เรื่อยๆ สีหน้าของเขานั้นบ่งบอกว่ากำลังมีความสุขอย่างเต็มประดา
  นิ้วกลางของเย่เทียนตูนั้นสวมแหวนวงพื้นที่ซึ่งหลิงหยุนให้มาและตั้งแต่ที่เขาได้แหวนวงนี้มานั้น เขาก็สวมใส่มันไว้ที่นิ้วตลอดเวลาโดยไม่ถอดออกอีกเลย และทะนุถนอมมันเสียยิ่งกว่ากระบี่เหินของตนเสียอีก
  ห้องประชุมตระกูลเย่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่เย่ชิงเฟิงจะใช้ประชุม และปรึกษาหารือในเรื่องสำคัญๆที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเย่เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ นานๆครั้งจึงจะมีการเปิดใช้ห้องประชุมนี้สักที แม้เย่เทียนสุ่ยจะยังคงไม่พอใจและอิจฉาเย่เทียนตูอยู่ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกมามากมายนัก
  แต่ยังไม่ทันไรเย่เทียนสุ่ยก็ผลุดลุกขึ้นพร้อมกับร้องตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความโมโห
  “ลุงสองตระกูลเย่ของเราอุตส่าห์ไปช่วยเจ้าเด็กหลิงหยุนที่งานชุมนุมชาวยุทธ แต่ดูสิ่งที่เขาตอบแทนพวกเราสิ ข้าโกรธจนไม่รู้จะโกรธอย่างไรแล้ว เขาทำเหมือนไม่เห็นแก่หน้าผู้นำตระกูลเช่นนี้ ข้าไม่อาจทนได้อีกต่อไป!”
  เย่ชิงซินซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเย่เทียนสุ่ยหลังจากที่เห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวที่เขาเสแสร้งแสดงออกมานั้น ก็เริ่มหมดความอดทน นางปรายตามองพร้อมกับเอ่ยบอกเสียงเย็น
  “เจ้าหุบปากได้แล้ว!”
  “เอ่อ..”
  เย่เทียนสุ่ยไม่อาจโต้เถียงได้จึงรีบนั่งลงแต่โดยดี
  ในขณะเดียวกันเย่ชิงเฟิงก็เหลือบมองเย่เทียสุ่ย พร้อมกับเอ่ยถามยิ้มๆ “เทียนสุ่ย ในเมื่อเจ้าทนไม่ได้ เหตุใดจึงไม่ออกไปหยุดพวกเขาเล่า”
  “เอ่อ..เรื่องนั้น..”
  เย่เทียนสุ่ยคิดไม่ถึงว่าเย่ชิงเฟิงจะย้อนตนเองกลับมาเช่นนี้แต่ในที่สุดก็สามารถหาข้ออ้างได้ จึงรีบตอบกลับไปว่า
  “ลุงสองหลิงหยุนรับปากจะทำแหวนพื้นที่ให้กับข้า และข้าก็ได้จ่ายเงินให้เขาไปแล้ว หากข้าทำให้เขาไม่พอใจ เขาอาจจะเปลี่ยนใจไม่ยอมทำให้ข้าก็ได้!”
  “ฮ่าๆๆๆ”
  เมื่อได้ยินข้ออ้างของเย่เทียนสุ่ยทั้งเย่ชิงซินและเย่เทียนตูซึ่งรู้เรื่องนี้ดี จึงได้แต่หัวเราะออกมาพร้อมกัน
  “อืมม..ที่แท้เจ้าก็มีเหตุผลเช่นนี้นี่เอง!”
  เย่ชิงเฟิงเองก็ย่อมรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมชาวยุทธทั้งหมดเช่นกันเขาจึงเอ่ยตอบเพียงแค่สั้นๆ และทำเหมือนเข้าใจเหตุผลของเย่เทียนสุ่ย
  หลังจากที่หยอกเย้าเย่เทียนสุ่ยไปแล้วเย่ชิงเฟิงก็เพียงแค่กระแอมเบาๆ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “เอาล่ะ พวกเราทั้งห้าคนเข้าเรื่องที่จะคุยกันเลยดีกว่า”
  “ทุกคนคงจะรู้เรื่องตระกูลหลิง..ไม่สิ! ต้องพูดว่าเรื่องที่หลิงหยุนทำกับตระกูลเย่ของเราในคืนนี้จึงจะถูก ส่วนสถานการณ์ในปักกิ่งคืนนี้จะเป็นเช่นไรนั้น ข้าคงไม่ต้องบอกเล่าอะไรอีกแล้วกระมัง เพราะพวกเจ้าทุกคนก็คงพอที่จะคาดเดาได้ แต่ที่ข้าเรียกพวกเจ้าทุกคนมาในคืนนี้ ก็เพื่อให้พวกเจ้าได้รับฟังความคิดเห็นของข้า”
  เย่ชิงเฟิงกล่าวตรงเข้าประเด็นในทันทีหลังจากนั้นเขาก็ปรายตามองไปทางเย่ชิงซินผู้เป็นน้องสาว
  สายตาของเย่ชิงเฟิงนั้นเปี่ยมไปด้วยความรักผสมผสานกับความเก้อเขิน และรู้สึกผิดที่มีต่อนาง
  เวลานี้เย่ชิงซินได้กลืนโอสถเยาว์วัย และโอสถโฉมสะคราญที่หลิงหยุนมอบให้เข้าไปแล้ว นางจึงกลับกลายเป็นหญิงสาวในวัยเพียงแค่สิบแปดปี และดูประหนึ่งเทพธิดาผู้งดงามยิ่ง
  เย่ชิงซินไม่แม้แต่จะปรายตามองผู้เป็นพี่ชายใบหน้าของนางยังคงเย็นชากับเขาเช่นเคย แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจเก็บซ่อนความตื่นเต้นดีใจไว้ได้ ในที่สุดนางก็ได้เอ่ยออกไป
  “เย่ชิงเฟิงหนี้ที่ท่านติดค้างพวกเขา ถึงเวลาต้องชดใช้คืนแล้ว!”
  แต่เย่ชิงเฟิงกลับยิ้มและพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยตอบด้วยสีหน้าที่มีความสุขยิ่ง “ได้ๆ”
  เขารู้ตัวดีว่าคงไม่สามารถเอ่ยถามอะไรเย่ชิงซินมากไปกว่านี้ได้แล้วจึงหันไปทางเย่เทียนตูแทน
  เย่เทียนตูนั่งมองต้นหญ้าในมือด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่งไม่มีท่าทีเดือนเนื้อร้อนใจประหนึ่งว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องของตน แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า  “หลิงหยุนมอบแหวนพื้นที่ให้กับข้านับว่าเขามีความดีความชอบต่อข้าไม่น้อยเช่นกัน..”
  เย่ชิงเฟิงไม่รู้สึกแปลกใจที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้จาเย่เทียนตูเขาจึงได้แต่ยิ้มออกมา
  ส่วนเย่เทียนสุ่ยนั้นแทบไม่ต้องถามเพราะก่อนหน้านี้เขาก็ได้แสดงเจตจำนงค์ของตนเองออกมาอย่างชัดเจนแล้ว เพียงแค่เสแสร้งแสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวออกมาเท่านั้น
  เย่ชิงเฟิงจึงหันไปทางเหลยก่วงเฟิงที่นั่งพ่นควันโขมงอยู่
  “ลุงเล่ยมิทราบว่าท่านคิดเห็นเช่นใดกับเรื่องนี้”
  แค๊ก..แค๊ก..
  หลังจากไออย่างหนักหน่วงอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดเหลยก่วงเฟิงก็ได้เงยหน้าขึ้น พร้อมกับเอ่ยออกไปว่า
  “จากข้อมูลที่ได้รับมานั้นเด็กหนุ่มแห่งตระกูลหลิงผู้นี้นับว่าก้าวหน้าได้อย่างอัศจรรย์ยิ่งนัก ข้าอยู่มาจนอายุเก้าสิบกว่า ยังมิเคยพบเห็นผู้ใดมีพรสวรรค์ล้ำเลิศเช่นเขามาก่อน..”
  “ขอบอกตามตรง..นานนับหลายพันปีแล้ว ที่ผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศในการบ่มเพาะพลังเช่นนี้มิได้ปรากฏ..”
  จากนั้นเหลยก่วงเฟิงก็หันมองไปทางเย่ชิงซินพร้อมกับเอ่ยถามยิ้มๆ “เจ้าว่าจริงหรือไม่”
  เย่ชิงซินรีบพยักหน้าอย่างไม่ลังเลเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของชายชรา จากนั้นเหลยก่วงเฟิงจึงได้กล่าวต่อว่า
  “สวรรค์กำหนดให้เราต้องช่วยตระกูลหลิงและหากเป็นความต้องการของสวรรค์ มนุษย์เช่นเรายังจะสามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างไร”
  หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเหลยก่วงเฟิงทุกคนในห้องรวมทั้งเย่ชิงเฟิงต่างก็รู้สึกโล่งใจ และรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที
  ทุกคนในที่นี้ต่างก็รู้ดีว่าเหลยก่วงเฟิงนั้นแข็งแกร่งเช่นใดและหากแม้แต่เหลยก่วงเฟิงยังกล่าวถึงหลิงหยุนเช่นนี้ นี่จึงนับเป็นข้อสรุปโดยที่มิต้องไต่ถามอีก
  เย่ชิงเฟิงเอ่ยกระซิบถามเหลยก่วงเฟิงเสียงเบา“ท่านลุงเล่ย ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่า ระหว่างท่านกับหลิงหยุนในตอนนี้ หากประมือกันท่านมีโอกาสที่จะเอาชนะเขาได้หรือไม่”
  “ฮ่าๆๆ”
  เหลยก่วงเฟิงอ้าปากหัวเราะเสียงดังจนเห็นฟันเหลืองเต็มปากแล้วจึงตอบกลับไปว่า “ในเมื่อท่านผู้นำตระกูลเอ่ยถามเช่นนี้ ข้าจะไม่ตอบได้อย่างไรกันเล่า”
  “หากประเมินฝีมือของหลิงหยุนจากข่าวคราวที่ได้รับรายงานมานั้นหลิงหยุนในเวลานี้สามารถสังหารยอดฝีมือในขั้นก่อสร้างรากฐานได้ ส่วนข้าซึ่งสะกดขั้นของตนเองให้อยู่ที่ขั้นก่อสร้างรากฐานนั้น ย่อมสามารถเอาชนะเขาได้แน่..”
  แต่เหลยก่วงเฟิงกลับมิได้บอกเล่าด้วยน้ำเสียงที่เหนือกว่าเขากลับส่ายหน้าไปมาพร้อมกับเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
  “แต่จากการต่อสู้ในคืนงานชุมนุมชาวยุทธนั้นหลิงหยุนได้พิสูจน์ให้เห็นหลายครั้งหลายคราว่า มิว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะเป็นผู้ใด หรือว่าแข็งแกร่งเพียงใดนั้น เขาก็จะมีวิธีเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยไพ่ใหม่ๆในมือของเขาเสมอ”
  “ฉะนั้นข้าขอเตือนพวกเจ้าว่า ข้อมูลต่างๆที่พวกเราต่างได้รับรายงานมานั้น มิสามารถใช้เป็นข้อมูลในการประเมินความสามารถ และความแข็งแกร่งของหลิงหยุนได้เลย!”
  “ด้วยเหตุนี้หากข้าต้องประมือกับเขาจริงๆ เพียงแค่ไม่พ่ายแพ้ให้กับเขา ก็นับว่าไม่ทำให้ตนเองอับอายได้แล้ว!”
  “..!!!!”
  เย่ชิงเฟิงถึงกับตกตะลึง!
  เย่ชิงซินเองก็ถึงกับตกใจไม่น้อย!   ส่วนเย่เทียนตูกับเย่เทียนสุ่ยนั้นแทบไม่ต้องพูดถึงทั้งคู่ถึงกับกระโจนลุกขึ้นยืนด้วยความตกอกตกใจ!
  แต่ที่ทุกคนในห้องตกอกตกใจถึงเพียงนั้นหาใช่เพราะเหลยก่วงเฟิงกำลังบอกว่าตนเองมิใช่คู่ต่อสู้ของหลิงหยุน แต่เป็นเพราะคำพูดของเหลยก่วงเฟิงนั้นกำลังบอกว่า ทุกคนในตระกูลเย่หาใช่คู่ต่อสู้ของหลิงหยุนต่างหากเล่า และด้วยความสามารถของหลิงหยุนในเวลานี้ ย่อมสามารถบดขยี้ตระกูลเย่ให้ราบเป็นหน้ากองได้!
  ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมานั้นแม้ตระกูลหลงและตระกูลเย่จะถูกยกย่องให้เป็นสองตระกูลใหญ่สุดแห่งประเทศนี้ แต่คนตระกูลเย่เองต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า หากสองตระกูลมีเรื่องกันจริงๆนั้น ตระกูลเย่ก็ยากที่จะเอาชนะตระกูลหลงได้
  แต่เหตุผลหลักที่ตระกูลเย่มิได้รู้สึกเกรงกลัวตระกูลหลงนั้นเพราะมีอำนาจของฉู่ซานหนุนหลังอยู่นั่นเอง!   แต่ตอนนี้หากแม้แต่เหลยก่วงเฟิงยังยอมรับว่าไม่สามารถเอาชนะหลิงหยุนได้เช่นนี้ แล้วคนๆที่เหลือในตระกูลเย่เล่า จะสามารถเอาชนะตระกูลหลิงได้อย่างไรกัน
  หากเกิดการต่อสู้ระหว่างสองตระกูลขึ้นนั้นต่อให้คนในตระกูลจะแพ้หรือชนะก็หาใช่เรื่องสำคัญไม่ ความสำคัญอยู่ที่ผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในตระกูลต่างหาก เพราะต่อให้สามารถเอาชนะคนอื่นๆในตระกูลได้ แต่หากไม่สามารถเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของอีกฝ่ายได้ ก็ย่อมไร้ซึ่งความหมาย
  แค๊ก..แค๊ก..
  เหลยก่วงเฟิงไอออกมาเสียงดังอีกครั้งก่อนจะเอ่ยบอกยิ้มๆ “ท่านผู้นำตระกูล การที่ท่านเรียกข้ามาประชุมในครั้งนี้ ข้าย่อมเข้าใจจุดประสงค์ของท่านดี!”
  “หลิงหยุนเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะพลังที่มีพรสวรรค์ยิ่งในรอบหลายพันปีจึงจะถือกำเนิดมาสักหนึ่งคน เขาไม่ตายง่ายๆแน่!”
  “ข้าคงบอกได้เพียงเท่านี้นอกเหนือจากนั้นท่านก็เฝ้าสังเกตเองเถิด!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร