Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1513

บทที่ 1513 : คืนให้ตระกูลหลิงทั้งหมด
  การที่เย่ชิงเฟิงเรียกประชุมด่วนเช่นนี้แน่นอนว่ามิใช่ต้องการปรึกษาหารือ เพื่อที่จะหาวิธีจัดการกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
  นั่นเพราะเรื่องที่ตระกูลหลิงจะกลับมาทวงสิ่งที่เป็นของตนเองคืนนั้นเป็นสิ่งที่เขาเองได้คาดคิดไว้อยู่แล้ว เพียงแค่ว่าจะช้าหรือเร็ว หลิงหยุนจะมาทวงคืนด้วยตนเอง หรือส่งคนอื่นมาเท่านั้นเอง
  เย่ชิงเฟิงเข้าใจบุคลิกและอุปนิสัยของหลิงหยุนดีเขารู้ว่าหลิงหยุนเป็นคนที่จะไม่ยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบให้แก่ผู้ใด ฉะนั้น ผลประโยชน์ใดๆที่เคยเป็นของตระกูลหลิง เขาย่อมกลับมาทวงคืนเป็นแน่
  เห็นได้จากการที่หลิงหยุนไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธที่จัดขึ้นเขาไม่เพียงลงมือสังหารศัตรูหลักของตนเอง แต่ยังจัดการกับชาวยุทธที่เคยบุกรุกตระกูลหลิงเมื่อในอดีตด้วย  เรียกได้ว่าหลิงหยุนไม่สนใจว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้ใด หรือสำนักใด ตราบใดที่มีส่วนร่วมในการบุกรุกตระกูลหลิง หรือสร้างความอัปยศให้กับหลิงเสี่ยวและหยินชิงเฉวียนแล้วล่ะก็ หลิงหยุนจะไม่ปล่อยให้รอดเลยแม้แต่คนเดียว และคนเช่นหลิงหยุนก็มิเคยปล่อยศัตรูเพียงเพราะเห็นแก่หน้าผู้ใด
  เย่ชิงเฟิงเข้าใจความจริงข้อนี้ดีและได้เตรียมใจไว้นานแล้ว ฉะนั้น ในวันนี้ไม่เพียงเขาจะตัดสินใจที่จะไม่ต่อต้านหลิงหยุน แต่กลับดูมีความสุขอย่างมากด้วย
  หลิงหยุนทั้งหยิ่งผยองและดุดันกระทั่งต้องการสิ่งของกลับคืน ยังมิแม้แต่จะมาทักทายกัน..
  คนเช่นหลิงหยุนไม่เคยมีคำว่ากฏเกณฑ์เขาเป็นผู้ที่ไร้กฏระเบียบสิ้นดี เพราะหากต้องการสิ่งของกลับคืน อย่างน้อยควรจะต้องส่งคนมาเจรจาเสียก่อน เพราะนี่คือธรรมเนียม
  แต่ใช่ว่าหลิงหยุนจะมิรู้กฏเกณฑ์หรือธรรมเนียมเพียงแต่เขาตั้งใจที่จะทำเช่นนี้!   ในยามที่สิงห์โตจะตะปบกระต่ายจำเป็นหรือที่สิงห์โตจะต้องเจรจากับกระต่ายน้องก่อน
  เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนตระกูลหลิงเปรียบเสมือนกระต่ายน้อย ตระกูลหลงเปรียบเสมือนสิงห์โต ตระกูลเย่เปรียบเสมือนพยัคฆ์ ส่วนตระกูลซัน ตระกูลเฉิน ตระกูลหลี่ และตระกูลอื่นๆ ก็คือหมาป่า ทุกคนต่างก็หาวิธีฉกฉวยสิ่งที่เคยเป็นของตระกูลหลิงมาครอบครอง
  แต่เวลานี้ตระกูลหลิงได้กลายเป็นสิงห์โตไปแล้ว และกำลังคำรามกึกก้องทั่วท้องนภา สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับสัตว์น้อยใหญ่
  ที่ผ่านมาในอดีตตระกูลอื่นๆต่างก็แย่งชิงกิจการของตระกูลหลิงด้วยกลวิธีต่างๆ แต่ครั้งนี้ หลิงหยุนกลับทวงคืนซึ่งหน้า!
  เวลาที่ล่วงเลยผ่านมานานหลายสิบปีนี้กิจการต่างๆที่ตระกูลหลงและตระกูลเย่ยึดไปดูแลนั้น เวลานี้ได้รุ่งเรืองกว่าเดิมนับร้อยเท่า..   โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์!
  แต่การที่หลิงหยุนกลับมาทวงกิจการที่เคยเป็นของตระกูลหลิงคืนทั้งหมดเช่นนี้เท่ากับว่าตลอดเกือบยี่สิบปีมานี้ ทั้งตระกูลหลงและตระกูลเย่ จึงไม่ต่างจากทำงานให้ตระกูลหลิงฟรีๆ โดยไม่ได้แม้แต่ค่าแรง
  แต่ใช่ว่าเย่ชิงเฟิงจะไม่รู้สึกอะไรเลยแน่นอนว่าเขาเองก็รู้สึกเจ็บปวด ประหนึ่งว่าถูกมีดกรีดลงกลางใจ แต่เมื่อทบทวนสิ่งที่ตระกูลซันและตระกูลเฉินได้รับ สิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวยุทธเกือบครึ่งยุทธภพ และสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับสำนักกระบี่เทียนซาน เขาทำได้เพียงแค่ต้องอดทนกล้ำกลืนต่อความเจ็บปวดครั้งนี้ เพราะอย่างน้อยการสูญเสียกิจการไปเพียงแค่ส่วนหนึ่ง ยังดีกว่าการที่ถูกหลิงหยุนยึดไปทั้งหมด เขาจึงเลือกที่จะไม่ต่อต้าน..
  ฉะนั้นการที่เย่ชิงเฟิงเรียกประชุมด่วนนั้น หาใช่เพื่อปรึกษาว่าจะจัดการกับการทวงคืนของตระกูลหลิงในคืนนี้เช่นใด แต่เพื่อปรึกษาหารือเรื่องท่าทีของตระกูลเย่ ที่จะมีต่อตระกูลหลิงนับจากนี้ไปต่างหากเล่า
  เหลยก่วงเฟิงนั้นนับเป็นอาจารย์คนหนึ่งของเย่ชิงเฟิงพื้นฐานวรยุทธทั้งหมดของเขา ล้วนเป็นเหลยก่วงเฟิงที่ถ่ายทอดให้ เขาจึงเข้าใจความคิดของเย่ชิงเฟิงได้เป็นอย่างดี
  แม้ว่าเหลยก่วงเฟิงจะชราแล้วแต่ก็หาใช่คนแก่หัวดื้อโบราณคร่ำครึ เขาวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของหลิงหยุน และบอกให้ทุกคนได้ตระหนักถึงไพ่ในมือที่หลิงหยุนยังมิได้นำออกมาใช้ จากนั้นให้เย่ชิงเฟิงไปใคร่ครวญต่อเอง
  ตลอดระยะเวลาหกเดือนที่ผ่านมาผู้ที่เคยมีเรื่องกับหลิงหยุนล้วนแล้วแต่ถูกสังหารตายจนหมด และมีเพียงหลิงหยุนที่รอดชีวิตอยู่เพียงแค่ผู้เดียว เขาจึงนับเป็นผู้อยู่ยงคงกะพันผู้หนึ่ง!
  แต่เหลยก่วงเฟิงนั้นแตกต่างจากคนอื่นๆแม้เขาจะเป็นยอดฝีมือที่สูงส่ง แต่กลับมิคิดเข้าข้างตนเองดังเช่นคนอื่นๆ และย้ำกับทุกคนว่า หลิงหยุนจะไม่ตายง่ายๆ และจะมีชีวิตอยู่ยงคงกะพัน!
  และคำวิเคราะห์ของเหลยก่วงเฟิงก็ทำให้ความคิดที่ว่า เขาอาจจะโชคดีนั้นดับสลายลงทันที!
  “ขอบคุณท่านลุงเล่ยยิ่งนักข้าชิงเฟิงเข้าใจแล้ว!”
  เย่ชิงเฟิงลุกขึ้นทำการคาราวะเหลยก่วงเฟิงพร้อมกับเอ่ยขอบคุณแต่หลังจากนั้นเขาก็ยังมิยอมนั่งลงดังเดิม เย่ชิงเฟิงจ้องมองสมาชิกตระกูลเย่ทั้งสี่คน พร้อมกับประกาศด้วยเสียงที่ดังฟังชัด
  “ข้า..ในฐานะผู้นำตระกูลเย่รุ่นที่สิบสอง ขอประกาศว่านับจากนี้ไป ตระกูลเย่ของเราจะทำทุกวิถีทางเพื่อผูกมิตรกับตระกูลหลิง!”
  “น้อมรับคำสั่งท่านผู้นำตระกูล”
  เย่เทียนสุ่ยและเย่เทียนตูเห็นเย่ชิงเฟิงลุกขึ้นยืน ทั้งคู่จึงรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับก้มหน้าร้องตะโกนยอมรับคำสั่งทันที
  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่เทียนสุ่ยเขาถึงกับแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้สีหน้าจะยังคงนิ่งเรียบ แต่ภายในใจนั้นกลับมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
  “เย่เทียนตูจงฟังคำสั่งของข้า!”
  “นับจากวันนี้ไปเจ้าจะต้องเก็บตัวฝึกฝนวิชาอย่างหนัก หากยังมิสามารถเข้าสู่ขั้นชีเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-7) ได้ ห้ามเจ้าออกไปไหนโดยเด็ดขาด!”
  เย่เทียนตูถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที“…”
  และสีหน้าของเย่เทียนเฟิงก็ทำให้เขามิกล้าขัดขืนและได้แต่เอ่ยตอบไปว่า “ลูกจะพยายาม..”
  เมื่อเป็นเช่นนี้เย่เทียนสุ่ยที่นั่งห่างออกไปถึงกับอารมณ์ดีขึ้นมาทันที เขารีบบอกกับลูกพี่ลูกน้องของตนผ่านทางจิตว่า
  –หึ..ข้าอยากจะรู้นักว่า หลังจากวันนี้ไปเจ้ายังจะร้องเพลงอารมณ์ดีให้ข้าเห็นได้อีกหรือไม่-
  “เย่เทียนสุ่ย..จงฟังคำสั่งของข้า!”   “เจ้ามิต้องเก็บตัวแต่นับจากนี้ไปจะต้องฝึกพิเศษกับท่านลุงเล่ย เพื่อให้สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ให้ได้โดยเร็ว”
  “น้อมรับคำสั่งท่านผู้นำตระกูล!”
  เย่เทียนสุ่ยมิอาจขัดคำสั่งได้จึงได้แต่รีบน้อมรับในทันที..
  หลังจากออกคำสั่งไปแล้วเย่ชิงเฟิงจึงได้เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ใช่ว่าข้าต้องการจะบีบคั้นหรือเร่งเร้าพวกเจ้าสองคน แต่พวกเจ้าเองก็เห็นความก้าวหน้าอันน่าสะพรึงกลัวของหลิงหยุนกันแล้วมิใช่รึ พวกเจ้าต่างก็เห็นแล้วว่า เวลานี้ตระกูลหลิงภายใต้การนำของเขานั้นเป็นเช่นใด? หากพวกเจ้าทั้งสองยังคงใจเย็น ไม่รีบร้อนพัฒนาตนเองแล้วล่ะก็ ในวันข้างหน้า ตระกูลเย่คงต้องตกจากตระกูลสูงสุดของประเทศนี้เป็นแน่ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?”
  เมื่อได้ยินเช่นนี้สีหน้าที่บูดบึ้งของเย่เทียนตูพลันเปลี่ยนไปทันที แววตาของเขาเป็นประกายขึ้นมา พร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า “ท่านพ่อ ลูกเข้าใจแล้ว!”
  เย่เทียนสุ่ยเองก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นกัน“ท่านลุง ข้าเข้าใจแล้ว!”
  “ดีมาก!”
  เย่ชิงเฟิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจจากนั้นจึงหันไปบอกกับเย่เทียนสุ่ยว่า “เทียนสุ่ย พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของหลิงเสี่ยว คืนนี้เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้เจ้าจะต้องไปกับข้าด้วย!”
  เย่เทียนสุ่ยได้ยินเช่นนั้นจึงรีบพยักหน้าด้วยความดีอกดีใจทันที จนใบหน้าที่มีไขมันนั้นสั่นไปมา ทำให้ทุกคนในห้องอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
  หลังจากนั้นเย่ชิงเฟิงก็ยิ้มออกมาและเอ่ยขึ้นว่า “ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ข้าจะประกาศให้ทุกคนได้รู้ หลังจากวันพรุ่งนี้ ข้าจะวันดีๆทำพิธีมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ให้กับเจ้า!”
  “ห๊ะ!!”   เย่เทียนสุ่ยถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงเพราะเรื่องนี้นอกเหนือจากที่เขาคิดไว้มาก!
  “เหตุใดเจ้าจึงต้องตกใจถึงเพียงนี้!เจ้าเองก็ได้ผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วมาแล้ว สมควรที่เจ้าจะต้องมานั่งตำแหน่งนี้แทนข้าได้แล้ว”
  “ลุงสอง..แต่ว่า…”
  เย่เทียนสุ่ยไม่อยากรับหน้าที่นี้และต้องการที่จะปฏิเสธ แต่เย่ชิงเฟิงกลับเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน..
  “เทียนสุ่ยเจ้ามิจำเป็นต้องกังวลใจไป ตระกูลเย่ของเราปกปิดฐานะของตนเองมานาน หลายปีผ่านมาก็มิเคยสร้างศัตรู กิจการต่างๆของตระกูลก็เข้าที่เข้าทางหมดแล้ว..”
  แต่เย่เทียนสุ่ยกลับหันไปมองเย่เทียนตูพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เช่นนั้นท่านลุงก็ให้เขาขึ้นเป็นผู้นำตระกูล แล้วข้าจะคอยเป็นผู้ช่วยให้เขาเอง..”   แต่เย่ชิงเฟิงกลับตอบไปว่า“แต่หากเจ้าไม่ยอมรับตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ ข้าเกรงว่าเจ้าจะมิมีอะไรคู่ควรไปตามตื๊อหลิงซิ่วได้น่ะสิ..”
  เย่ชิงเฟิงจงใจลากเสียงยาวพร้อมกับเอ่ยต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“นางคงไม่แม้แต่จะปรายตามองเจ้า…”
  เมื่อได้ฟังเช่นนั้นเย่เทียนสุ่ยถึงกับระล่ำระลักตอบกลับไปทันที “ท่านลุง ข้าจะทำหน้าที่ผู้นำตระกูลเย่ และจะพากเพียรฝึกฝนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่านี้ วันข้างหน้าจะนำพากตระกูลเย่ให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น!”
  “จริงรึ!”
  “คำพูดของข้าหนักแน่นยิ่งกว่าขุนเขา!”
  “เจ้าไม่เปลี่ยนใจแน่นะ!”
  “ให้ตายข้าก็ไม่เปลี่ยนใจ!”
  “เช่นนั้นก็ดี!”
  หลังจากนั้นเย่ชิงเฟิงก็นั่งลงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะพูดกับเย่เทียนสุ่ยต่อว่า“เทียนสุ่ย ตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่นี้ ใช่ว่าข้าอยากจะบีบบังคับให้เจ้าเป็น แต่เจ้าคือผู้ที่เหมาะสมที่สุด!”
  “ในเมื่อตระกูลเย่ตัดสินใจว่าจะผูกมิตรกับตระกูลหลิงแล้วจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราจะต้องเข้าหาและสานสัมพันธ์กับตระกูลหลิงให้ได้ ซึ่งความจริงก็คือต้องผูกมิตรกับหลิงหยุนให้ได้นั่นเอง ด้วยบุคลิกของหลิงหยุน คงมีแต่เจ้าเท่านั้นที่จะสามารถหาประโยชน์จากหลิงหยุนได้ อย่างเช่นเรื่องแหวนพื้นที่..”
  “ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าข้าหรือเทียนตูก็คงยากที่จะทำได้เช่นเจ้า!”
  เย่เทียนสุ่ยได้แต่พยักหน้าหงึกๆความจริงแล้วเขาแทบไม่สนใจเหตุผลข้ออื่นที่เย่เทียนเฟิงกล่าวมาแล้ว เขาสนใจเพียงแค่ว่าตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่จะทำให้เขาคู่ควรกับหลิงซิ่วก็พอแล้ว!
  “เอาล่ะข้อขัดแย้งระหว่างตระกูลเย่กับตระกูลหลิงในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ ข้าจะเป็นผู้สะสางให้เสร็จสิ้นก่อนส่งมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลให้กับเจ้า และหลังจากนั้นอนาคตของตระกูลเย่ก็จะตกอยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว..”
  หลังจากนั้นเหลยก่วเฟิงก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า“ท่านผู้นำตระกูล หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน..”
  เย่ชิงเฟิงทำท่าจะลุกขึ้นไปส่งแต่เหลยก่วงเฟิงห้ามไว้ จากนั้นเย่เทียนสุ่ยกับเย่เทียนตูก็ลุกเดินออกจากห้องตามไปเช่นกัน
  หลังจากที่ทั้งสามคนออกไปแล้วภายในห้องประชุมก็กลับเงียบสงัดอยู่นาน จากนั้นเย่ชิงเฟิงก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
  “น้องพี่เรื่องระหว่างตระกูลเย่และตระกูลหลิง ข้าจัดการเช่นนี้เจ้าพอใจหรือไม่”
  เย่ชิงซินนิ่งเงียบไม่ตอบ…
  และห้องประชุมก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครา..
  “พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของหลิงเสี่ยว..เจ้าจะไปกับข้าด้วยหรือไม่”   ใบหน้าของเย่ชิงซินแดงก่ำแต่ก็ยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามเช่นเคย เย่ชิงเฟิงถามย้ำถึงสองครั้ง แต่ก็ยังมิได้คำตอบ เขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า
  “เมื่อสองวันก่อนข้าได้เชิญหลิงเย่วมาที่บ้าน แต่เมื่อได้เห็นเขากลับกลายเป็นเด็กหนุ่มเช่นเดียวกับเจ้า ข้าเองก็รู้สึกตกใจไม่น้อย และนั่นทำให้ข้ายิ่งมั่นใจว่า หลิงหยุนเป็นผู้ที่ล้ำเลิศและน่าอัศจรรย์มากเพียงใด!”
  “ข้าได้ถามถึงหลิงเสี่ยวและเขาก็ได้บอกกับข้าว่า หลิงเสี่ยวเองก็กลืนโอสถทั้งสองเข้าไปด้วยเช่นกัน เวลานี้เขาได้กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มในวัยสิบแปดเช่นกัน เจ้า.. เจ้ามิต้องการพบเจอเขาจริงๆงั้นรึ”
  เย่ชิงซินใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแม้นางต้องการที่จะพบหน้าหลิงเสี่ยว แต่กลับส่ายหน้าและตอบกลับไปว่า
  “ข้าคือคนของฉู่ซานมิอาจข้องเกี่ยวกับเรื่องข้างนอก..”
  แต่เย่ชิงเฟิงตอบกลับมายิ้มๆ“น้องพี่.. ข้าทำผิดต่อเจ้าเมื่อสิบแปดปีก่อน ขอเพียงเจ้าบอกข้ามาคำเดียวว่าต้องการพบหลิงเสี่ยวหรือไม่ ข้าย่อมมีวิธี..”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร