บทที่ 1514 : อินทรีย์สยายปีก
เนื่องจากที่ผ่านมาตระกูลหลิงมิได้มีทีท่าว่าจะมีการเคลื่อนไหวใดๆฉะนั้น ในคืนนี้จึงนับว่าปักกิ่งได้เกิดความโกลาหลยิ่งนัก
และข่าวนี้ก็มิได้แพร่สะพรัดเพียงแค่ภายในปักกิ่งแต่ได้กระจายไปทั่วทั้งประเทศ
“ตระกูลหลิงลงมือแล้ว!และเป้าหมายของเขาก็คือตระกูลหลงและตระกูลเย่!”
ข่าวคราวสะเทือนฟ้าสะเทือนปฐพีนี้ได้แพร่กระจายออกไปตั้งแต่กลุ่มของหลู่เหวินลงมือเป็นกลุ่มแรก และแพร่สะพรัดออกไปอย่างรวดเร็วทั่วทั้งปักกิ่ง ก่อนจะกระจายไปทั่วประเทศประหนึ่งพายุเฮอริเคน
แต่แน่นอนว่าผู้ที่รู้ข่าวคราวนี้ย่อมเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติพอที่จะรับรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยเช่นกัน ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปย่อมไม่มีโอกาสรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้พวกเขาจะเห็นกลุ่มของหลู่เหวินหลงและกลุ่มอื่นๆ กระจายไปทั่วปักกิ่ง แต่พวกเขาก็คิดว่าเป็นเพียงพวกอันธพาลที่ชอบสร้างปัญหาทั่วไป
ส่วนตระกูลหลงและตระกูลเย่ซึ่งถูกตระกูลหลิงกดขี่ข่มเหงในครานี้ทั้งสองตระกูลก็เลือกที่จะนิ่งเงียบไม่กระโตกกระตาก เพราะเรื่องนี้นับเป็นความอับอายที่ไม่อาจประกาศออกไปให้ผู้คนรับรู้ได้
เหตุผลที่ข่าวคราวนี้กระจายออกไปอย่างรวดเร็วก็เพราะว่าหลังจากที่ศิษย์ทั้ง 72 คนของหลิงหยุนเข้าไปทวงหนี้แล้วนั้น พวกเขาก็มิได้ข่มขู่ห้ามปรามให้ผู้อยู่ในเหตุการณ์ต้องปิดปากเงียบ
กิจการต่างๆของตระกูลหลงและตระกูลเย่ไม่ว่าจะเป็นบ้านพัก โรงแรม คลับลับต่างๆ หรือกิจการอื่นๆอีกมากมาย แม้แต่สถานที่ซึ่งทั้งสองตระกูลใช้สำหรับจัดปาร์ตี้พักผ่อน หรือใช้เป็นที่สังสรรของเศรษฐีร่ำรวยมีฐานะ แม้จะดูเหมือนเป็นสถานที่ร้องเพลงเต้นรำในยามค่ำคืน แต่ความจริงแล้วมันก็คือสถานที่แลกเปลี่ยนข่าวคราวสำคัญๆนั่นเอง อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่บรรดาเศรษฐีจะได้พบคนสำคัญๆของตระกูลหลงกับตระกูลเย่อีกด้วย เพื่อให้เศรษฐีเหล่านั้นได้มีโอกาสสานสัมพันธ์กับสองตระกูลใหญ่ให้แน่นแฟ้นมากขึ้นด้วย
ส่วนผู้คนที่มีคุณสมบัติจะได้เหยียบเข้าไปในสถานที่เหล่านั้นของตระกูลหลงกับตระกูลเย่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีหน้ามีตา และมีอำนาจบารมี ซึ่งสามารถสั่งการในเรื่องใหญ่ๆของประเทศนี้ได้ประหนึ่งเรียกลมเรียกฝน
นอกเหนือจากเหล่าข้าราชการระดับสูงและเศรษฐีระดับต้นๆแล้ว ก็ยังมีมีบรรดาทายาทรุ่นสามของพวกเขาซึ่งเป็นหนุ่มเพลย์บอย รวมทั้งดาราที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
และเมื่อคนเหล่านั้นพบเจอเหตุการณ์ที่น่าตกใจเช่นนี้มีหรือที่พวกเขาจะไม่โทรหาคนสำคัญของครอบครัว และบอกเล่าเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นให้ฟัง
ด้วยเหตุนี้เรื่องที่ตระกูลหลิงออกทวงหนี้จากสองตระกูลใหญ่ จึงได้แพร่สะพรัดไปทั่วทั้งประเทศจีนเพียงแค่ชั่วพริบตา และยากที่ผู้ใดจะสามารถหยุดข่าวลือนี้ได้ แม้กระทั่งหลงฮ่าวหลานและเย่ชิงเฟิง ต่างก็รู้ดีว่าตนเองมิสามารถปกปิดเรื่องนี้ไว้ได้เช่นกัน
และทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่านี่เป็นความต้องการของหลิงหยุน หาไม่แล้วเขาก็คงไม่ตัดสินใจทำเช่นนี้!
แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนแปลกใจก็คือการทวงหนี้ของตระกูลหลิงจากสองตระกูลใหญ่ในครั้งนี้ ทั่วทั้งปักกิ่งกลับสงบนิ่งไร้การปะทะ ประหนึ่งว่ามิมีเรื่องใดเกิดขึ้น
หลายคนให้ความสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้แต่ก็มิมีผู้ใดกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว..
น่าขัน..แม้แต่ตระกูลใหญ่ทั้งสองตระกูลอย่างตระกูลหลงและตระกูลเย่ ซึ่งเป็นผู้ถูกตระกูลหลิงบดขยี้ยังนิ่งเฉย แล้วคนนอกอย่างพวกเขายังจะกล้าเข้าไปยุ่งได้อย่างไรอีกเล่า
ผู้ใดกล้ากระตุกหนวดตระกูลหลิงในยามนี้ย่อมเท่ากับนำพาตัวเองไปสู่หายนะ..
แม้กระทั่งกองกำลังลับอย่างหน่วยนภาหน่วยมังกร และหน่วยเทพอินทรีย์ หลังจากที่ได้รับข่าวคราว ยังทำได้เพียงแค่ส่งคนของตนเองเฝ้าติดตามดูอย่างเงียบๆ แต่มิให้ลงมือแต่อย่างใด เพียงแค่คอยรายงานเหตุการณ์ทั้งหมดให้หน่วยของตนรับรู้เท่านั้น
นั่นเพราะหน่วยลับทั้งหมดต่างก็ตระหนักและเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดี..
ทุกคนต่างก็รู้ว่านี่คือการเผชิญหน้าของสามตระกูลอันดับสูงสุดของประเทศนี้ ฉะนั้น ผู้ใดก็ตามที่กล้ายื่นมือเข้าไปสอด รับรองได้ว่าจะต้องแหลกเป็นจุนอย่างแน่นอน!
และเหตุการณ์ในครั้งนี้มีเพียงคนผู้เดียวในประเทศเท่านั้น ที่จะสามารถยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวได้!
“ตระกูลหลิงลงมือแล้วจริงๆงั้นรึ”
ในยามดึกดื่นค่ำคืนเบื้องหลังกำแพงสีแดง ชายชราผู้หนึ่งยังคงนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนเอง หลังจากที่ได้ฟังรายงาน เขาก็เอ่ยถามจ้าวซิงหวู่ด้วยสีหน้าท่าทางที่สงบยิ่ง “ใช่แล้ว!”
จ้าวซิงหวู่เอ่ยตอบด้วยสีหน้าท่าทางที่บ่งบอกถึงความเคารพยิ่ง
ชายชราพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงบางเบา “แล้วตระกูลหลงกับตระกูลเย่มีท่าทีเช่นใด”
“คนของตระกูลหลิงได้รับการต่อต้านจากสถานที่แรกๆที่บุกเข้าไปแต่หลังจากนั้น พวกเขาก็มิได้รับการต่อต้านจากสถานที่อื่นเมื่อบุกเข้าไปอีกเลย..”
หลังจากที่ได้ฟังรายงานชายชราก็ได้แต่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาบางเช่นเคย
“ดูเหมือนว่าครั้งนี้ตระกูลหลงกับตระกูลเย่เลือกที่จะรับมือได้อย่างชาญฉลาดนัก!”
สีหน้าของชายชราดูพออกพอใจยิ่งนักแต่ก็ฉายแววเสียใจเล็กน้อย เขาส่ายหน้าไปมาพร้อมกับเอ่ยต่อว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้คืนนี้คงจะไม่มีเรื่องราวใหญ่โตอันใด ซิงหวู่.. เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกอะไรมากนัก”
จ้าวซิงหวู่ถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกราวกับว่าหินก้อนใหญ่ที่หนักอึ้งได้ถูกยกออกไป
ชายชราเป็นฝ่ายเอ่ยถามต่อว่า“เด็กหนุ่มนั่นกลับมาปักกิ่งแล้วรึ”
จ้าวซิงหวู่ตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม“ย่อมต้องกลับมาแล้วแน่ หากหลิงหยุนยังมิกลับมา มีหรือตระกูลหลิงจะกล้าลงมือหนักเช่นนี้!”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
ชายชราหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับพึมพำเสียงเบา “แม้แต่ข้าเองยังคิดไม่ถึงว่า เด็กหนุ่มนั่นจะกล้าลงมือกับตระกูลหลงและตระกูลเย่รวดเร็วถึงเพียงนี้ นี่ย่อมเท่ากับว่าเด็กนั่นกำลังข่มสองตระกูลใหญ่ไว้ได้ในคราวเดียว เยี่ยม.. เยี่ยมมากจริงๆ!”
“ดูท่าเขาจากปักกิ่งไปครั้งนี้ระดับพลังบ่มเพาะคงจะก้าวหน้าไปมากทีเดียวสินะ!”
จ้าวซิงหวู่รีบตอบกลับทันที“เป็นเช่นนั้นจริงๆ! ข้าได้รับรายงานว่า หลิงหยุนบุกไปถล่มสำนักกระบี่เทียนซานครั้งนี้ ได้สังหารยอดฝีมือขั้นก่อสร้างรากฐานของคุนหลุนตายไปถึงสี่คนเลยทีเดียว!”
“คุนหลุนรึ!”
เมื่อได้ยินชื่อคุนหลุนสีหน้าของชายชราถึงกับเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมองจ้าวซิงหวู่ และถามย้ำอีกครั้งให้มั่นใจ
จ้าวซิงหวู่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว“ไม่ผิด! เวลานี้คนของคุนหลุนได้ออกมายุ่งเกี่ยวเรื่องของโลกภายนอกแล้ว!”
ชายชราเคาะนิ้วกับโต๊ะเบาๆในที่สุดจึงเอ่ยขึ้นว่า “ในที่สุดคุนหลุนก็มิอาจนิ่งเฉยต่อไปได้สินะ!”
“ซิงหวู่เจ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวของคุนหลุนไว้ให้ดี!” “น้อมรับคำสั่ง!”
สีหน้าของชายชราเปลี่ยนเป็นโล่งใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย“เหตุการณ์ในคืนนี้หาใช่เรื่องใหญ่โตอันใดไม่ ข้ารู้จักนิสัยใจคอของเด็กนั่นดี หากเขาต้องการสร้างปัญหาขึ้นจริงๆ เขาย่อมต้องลงมือด้วยตนเองแน่ และจะต้องบอกให้ข้ารู้ล่วงหน้าด้วย..”
“แต่ไม่ว่าอย่างไร..หลังจากเหตุการณ์ในคืนนี้ผ่านไป ย่อมต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากตามมา แต่นับว่าโชคดีที่เป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่น่าพอใจ พวกเราคงต้องเตรียมรับมือแต่เนิ่นๆแล้วล่ะ..”
“ซิงหวู่ไปเตรียมกระดาษ พู่กัน และหมึกให้ข้าที!”
จ้าวซิงหวู่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดีเขาจึงกลับมาพร้อมกับกระดาษ พู่กัน และหมึกภายในเวลาอันรวดเร็ว
ชายชราลุกขึ้นยืนยืดกายตรงจากนั้นจึงเริ่มลงมือสะบัดพู่กันเขียนอักษรขึ้นสี่ตัว ‘อินทรีย์สยายปีก’ อักษรทั้งสี่ตัวนี้ตวัดเขียนขึ้นในคราวเดียวโดยไม่สะดุดนอกจากความงดงามของตัวอักษรแล้ว ยังสัมผัสได้ถึงความสง่างาม
ชายชราวางพู่กันในมือลงพร้อมกับก้มลงสำรวจตัวอักษรอย่างละเอียด ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ซิงหวู่ข้ารู้ว่าหลิงเสี่ยวเป็นคนดีมาก แต่น่าเสียดายที่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นกับเขา ในวันเกิดของเขาพรุ่งนี้ เจ้าช่วยนำอักษรภาพนี้ไปมอบให้กับเขาแทนข้าที บังเอิญพรุ่งนี้มีแขกต่างชาติจะเข้าพบข้า..”
อินทรีสยายปีก!
ความหมายของอักษรทั้งสี่คำนี้ลึกซึ้งยิ่งนักจ้าวซิงหวู่เพียงแค่พยักหน้า..
“พรุ่งนี้เจ้าบอกกับเด็กหลิงหยุนด้วยว่าหลังจากเขาเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ให้มาพบข้าด้วย!”
“น้อมรับคำสั่ง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร