บทที่ 1515 : เรื่องใหญ่สามเรื่อง
คฤหาสน์ตระกูลหลิง..
หลิงหยุนและหลิงเย่วนั่งปรึกษาหารือกันอย่างลับๆร่วมสองชั่วโมงจนกระทั่งเข้าสู่เวลาเที่ยงคืน
ในช่วงเริ่มต้นของการปรึกษาหารือนั้นส่วนใหญ่หลิงเย่วจะพูดคุยถึงเรื่องทิศทางในวันข้างหน้าของตระกูลหลิง และเขาก็ต้องการให้หลิงหยุนเป็นผู้กำหนดทิศทาง ฉะนั้น หลิงหยุนจึงเป็นผู้ฟังเสียส่วนใหญ่
หลิงเย่วบอกเล่าสถานการณ์ของโลกธุรกิจให้หลิงหยุนรับรู้และท่าทีของเหล่าตระกูลใหญ่ในปักกิ่ง รวมถึงท่าทีของตระกูลต่างๆที่มีต่อตระกูลหลิง หลิงเย่วสามารถรวบรวมข้อมูลทั้งสามสาย และถ่ายทอดให้หลิงหยุนเข้าใจได้อย่างง่ายดาย ทำให้หลิงหยุนสามารถมองภาพรวมทั้งหมดออก
ความจริงแล้วด้วยความสามารถและความฉลาดเฉลียวของหลิงเย่ว เขาย่อมสามารถจัดการทุกอย่างได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังต้องบอกเล่าให้หลิงหยุนฟัง
นั่นเพราะฐานะของหลิงหยุนเวลานี้สูงส่งและมีอิทธิพลต่อหลายๆฝ่ายยิ่งนัก เพียงแค่เขาขยับตัวทำสิ่งใด ก็สามารถเปลี่ยนทิศทาง และชะตากรรมของผู้คนจำนวนมากได้ในทันที
อย่างเช่นการตัดสินใจทวงหนี้กลับคืนให้ตระกูลหลิงในคืนนี้เพียงแค่หลิงหยุนลงมือ ทั้งปักกิ่งและทั่วทั้งประเทศก็สั่นสะเทือนได้ทันที
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือหลิงหยุนมิได้ลงมือเอง เพียงแค่สั่งการอยู่ที่บ้านเท่านั้น!
ฐานะของหลิงหยุนเวลานี้มิได้เป็นแค่ผู้นำตระกูลหลิงเท่านั้นแต่ยังเป็นอาวุโสในหน่วยนภา เจ้าสำนักกระบี่หลิงหยุน และประธานบริษัทหลิงหยุนคอร์ปอเรชั่นอีกด้วย..
ด้วยฐานะสูงส่งมากมายที่อยู่ในตัวหลิงหยุนเพียงคนเดียวจึงไม่เกินไปนักที่จะพูดว่า เขามีอิทธิพลต่อผู้คนทั่วทั้งประเทศ แม้ว่าหลิงหยุนเป็นถึงผู้นำตระกูลหลิงแต่สิ่งที่เขาทำนั้น นอกเหนือจากการกว้านเอาทรัพยากรต่างๆมาให้กับตระกูลหลิงแล้ว เรื่องๆอื่นๆของตระกูลหลิง เขาแทบไม่รู้อะไรเลย
กระทั่งทุกวันนี้กิจการบางอย่างของตระกูลหลิงในปักกิ่ง และอีกหลายบริษัทที่หลิงหยุนเองก็ไม่รู้จัก แม้แต่บ้านของหลิงเย่วในปักกิ่ง เขาเองก็ยังไม่เคยรู้ว่าอยู่ที่ไหน!
ในอดีตกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมาแม้ตระกูลหลิงจะเป็นตระกูลที่ยากจนที่สุดหากเปรียบเทียบกับอีกหกตระกูลใหญ่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่อยู่ดี ฉะนั้น ทายาทในตระกูลหลิงที่มีอายุครบสิบแปดปีขึ้นไป ก็จะสามารถมีบ้านเป็นของตนเองได้
ทุกคนสามารถแยกออกไปมีชีวิตอิสระได้หากต้องการ..
ด้วยเหตุนี้ทั้งหลิงซิ่ว หลิงหยุ่ง และหลิงเฟิง นอกเหนือจากคฤหาสน์ตระกูลหลิง ซึ่งเป็นบ้านตั้งแต่สมัยบรรพชนแล้ว ทั้งหมดต่างก็มีบ้านของตัวเองในปักกิ่ง แต่ด้วยความรักใคร่กลมเกลียวของเหล่าทายาทตระกูลหลิง ทุกคนจึงมักจะมารวมตัวกันอยู่ที่บ้านบรรพชนตระกูลหลิง เพื่อไม่ให้หลิงลี่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยว
แต่ถึงกอย่างนั้นหลิงหยุนก็ไม่เคยรู้ว่าบ้านของแต่ละคนนั้นอยู่ที่ใดกันบ้าง และคร้านที่จะถามอีกด้วย
เรื่องนี้หากบอกผู้ใดก็คงไม่มีใครอยากจะเชื่อนักนี่เขาเป็นผู้นำตระกูลแบบไหนกันแน่
นั่นเพราะหลิงหยุนมีภารกิจรัดตัวมากมายเขาไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ และเอาเวลาเหล่านี้ไปหมกมุ่นพากเพียรอยู่กับการฝึกฝนเพื่อพัฒนาขั้นพลัง เขาไม่ต้องการเสียเวลาอันมีค่าไปกับเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านั้น
เช่นเดียวกับนักธุรกิจใหญ่โตที่จะต้องมีเลขานุการไว้คอยดูแลจัดการกับเรื่องเล็กน้อยเหลานี้แทน
ทั้งถังเมิ่งเฉิงเม่ยเฟิง และแม้แต่หลิงเย่ว..คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเสมือนเลขาส่วนตัวของหลิงหยุนทั้งสิ้น พวกเขาต่างก็คอยจัดการเรื่องเล็กๆน้อยๆแทนหลิงหยุน ทำให้หลิงหยุนไม่ต้องคอยกังวลใจ
แต่ท้ายที่สุดเรื่องสำคัญๆก็ยังเป็นหลิงหยุนที่ต้องตัดสินใจอยู่ดี!
และแน่นอนว่าด้วยความยิ่งใหญ่ของหลิงหยุนเวลานี้ ไม่ว่าเขาจะขยับตัวทำอะไร ย่อมส่งผลต่อภาพรวมของประเทศนี้ด้วย
ฉะนั้นหลิงเย่วจึงจำเป็นต้องให้หลิงหยุนรับรู้เรื่องราวต่างๆให้มากที่สุด เพื่อที่เขาจะได้สามารถเข้าใจภาพรวมทั้งหมดได้ และจะเป็นประโยชน์สำหรับหลิงหยุนในการตัดสินใจทำเรื่องต่างๆ
หลิงหยุนเองก็เข้าใจเหตุผลของหลิงเย่วดีเขาจึงตั้งใจฟังทุกเรื่องด้วยความตั้งอกตั้งใจ และเอ่ยบอกความคิดเห็นของตนเองเป็นครั้งคราว เพื่อให้หลิงเย่วสามารถจัดการไปตามที่เขาต้องการได้
และในคืนนั้นก็ทั้งคู่ก็ได้รับรายงานเรื่องใหญ่ๆถึงสามเรื่อง..
เรื่องแรก..เป็นเรื่องที่เกาเฉินเฉินรีบรุดออกจากตระกูลหลิงกลางดึก
ในช่วงที่หลิงหยุนไม่อยู่ปักกิ่งนั้นเกาเฉินเฉินก็จะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องสำคัญที่สุดอย่างการฝึกวิชาหงส์เล่นไฟ จนต้องโดดเรียนในมหาวิทยาลัยอยู่เสมอๆ นอกเหนือจากการฝึกวิชาแล้ว เกาเฉินเฉินยังหาเวลากลับไปหาท่านปู่และพ่อแม่ที่่ตระกูลเกาบ่อยๆด้วย
แต่ในช่วงหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้าจะถึงวันเกิดของหลิงเสี่ยวเกาเฉินเฉินก็ยิ่งกลับไปตระกูลเกาถี่ขึ้น และที่เธอกลับไปนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการปรึกษาหารือกับครอบครัว เพื่อหาของขวัญวันเกิดให้หลิงเสี่ยว
ตระกูลเกาประกาศเป็นพันธมิตรกับตระกูลหลิงอย่างโจ่งแจ้งผู้คนทั้งปักกิ่ง หรือแม้แต่ทั้งประเทศนี้ ต่างก็รู้ว่าเกาเฉินเฉินเป็นคู่หมั้นของหลิงหยุน และหลิงเสี่ยวก็คือพ่อสามีของเธอในวันข้างหน้า วันเกิดของหลิงเสี่ยวจึงนับเป็นวันสำคัญยิ่ง แต่แน่นอนว่าเกาเฉินเฉินเป็นเพียงแค่ผู้ประสานงานเท่านั้น ปู่และพ่อของเธอต่างหากที่เป็นผู้รับภาระจัดเตรียมของขวัญให้กับหลิงเสี่ยวในครั้งนี้
แต่ในคืนก่อนวันเกิดของหลิงเสี่ยวเพียงแค่คืนเดียวซึ่งเป็นวันที่เกาเฉินเฉินกลับไปตระกูลเกา ข่าวคราวเรื่องตระกูลหลิงออกทวงหนี้ก็ได้แพร่สะพรัดออกไป
เกาเฉินเฉินรู้ได้ทันทีว่าหลิงหยุนกลับมาปักกิ่งแล้วเธอดีใจอย่างมากและต้องการที่จะกลับตระกูลหลิงทันที แต่ถูกเกาจิ้นสงห้ามปรามไว้
นั่นเพราะข่าวคราวเรื่องตระกูลหลิงออกตระเวนทวงหนี้จากตระกูลหลงกับตระกูเย่นั้นเป็นข่าวที่น่าตกอกตกใจอย่างที่สุด หลังจากได้ข่าว เกาจิ้นสงจึงได้เรียกสมาชิกคนสำคัญในตระกูลประชุมอีกครั้ง ส่วนเกาเฉินเฉินก็กลับไปตระกูลหลิงหลังประชุมเสร็จทันที
เกาเฉินเฉินไปถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิงในราวห้าทุ่มตรงพอดีเธอได้เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจ และพบว่าหลิงหยุนกำลังสนทนาอยู่กับหลิงเย่วที่บ้าน เธอจึงได้เดินตรงเข้าไปหาคนทั้งคู่ทันที
หลังจากได้พบหลิงเย่วกับหลิงหยุนเกาเฉินเฉินก็ได้แจ้งข่าวการตัดสินใจของเกาจิ้นสงผู้เป็นปู่ และการตัดสินใจของคนเหล่าสมาชิกตระกูลเกา ให้คนทั้งคู่รู้ทันที
“ตระกูลเกาจะส่งคืนสิ่งที่เคยเป็นของตระกูลหลิงทั้งหมดกลับคืนให้ภายในคืนนี้!”
ทั้งหลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นสีหน้าจริงจังของเกาเฉินเฉินส่วนหลิงเย่วเองก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข แต่ทั้งคู่ต่างก็ไม่ออกความเห็นใดๆ
หลังจากที่ตระกูลหลิงผงาดขึ้นมาเช่นนี้แน่นอนว่าอีกหกตระกูลย่อมต้องเปลี่ยนท่าที หากตระกูลใดยังแข็งขืน แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเป้าหมายต่อไป
เวลานี้ตระกูลหลิงกลับขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้งแล้วแน่นอนว่าหลิงหยุนจะต้องทวงสิ่งที่เคยเป็นของตระกูลหลิงจากทุกคนคืนมา และเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างตระกูล ความรักของเด็กๆย่อมเป็นคนละเรื่องกัน..
แม้แต่บัญชีระหว่างพี่น้องในตระกูลเดียวกันยังต้องสะสางไหนเลยบัญชีระหว่างตระกูลใหญ่จะหลีกเลี่ยงได้เล่า..
เกาจิ้นสงเองก็เข้าใจเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีแม้ศิษย์ทั้ง 72 คนของหลิงหยุนจะไม่บุกไปตระกูลเกา หรือตระกูลหลิงไม่คิดที่จะทวงถามจากตระกูลเกา แต่ในฐานะผู้นำตระกูล เขาจำเป็นต้องแสดงความจริงใจ!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้หลิงเย่วเองก็ไม่ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว เขาเพียงแค่นั่งดื่มชา และปล่อยให้หนุ่มสาวจากสองตระกูลเจรจากันเอง
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“พวกเราสองตระกูลต่างก็เสมือนครอบครัวเดียวกัน เหตุใดยังต้องจริงจังถึงเพียงนี้ด้วย”
เกาเฉินเฉินตอบกลับไปทันที“ท่านปู่ได้ให้คนจัดเตรียมเอกสารตลอดทั้งคืน และวันเกิดของท่านลุงเสี่ยวในวันพรุ่งนี้ ท่านปู่จะมอบเอกสารทั้งหมดคืนให้!”
หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับหยอกเย้ากลับไปว่า“ความจริงเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมาพูดที่นี่ก็ได้ รอไว้ไปนอนคุยกันบนเตียง เจ้าค่อยบอกข้าก็ได้นี่..”
“พูดจาน่าเกลียดที่สุด!”
เกาเฉินเฉินหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายจากนั้นจึงรีบวิ่งหนีไปทันที และลืมแม้แต่จะกล่าวอำลาหลิงเย่ว
หลังจากนั้นราวสิบนาทีก็เกิดเหตุการณ์ที่สองขึ้น..
เหล่ากุ่ยซึ่งออกไปร่วมหนึ่งชั่วโมงก็ได้กลับมาตระกูลหลิง และตรงเข้าไปที่บ้านหลิงเย่วทันที พร้อมกับรายงานเรื่องที่น่ายินดีให้กับคนทั้งคู่ฟัง
เหล่ากุ่ยร้องบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“เรียนท่านผู้นำตระกูล เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว”
“เรื่องอะไรงั้นรึ!” ความจริงหลิงหยุนเองก็ค่อนข้างมั่นใจกับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้วเขาจึงถามกลับด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“ทั้งตระกูลหลงและตระกูลเย่ล้วนไม่มีท่าทีต่อต้านไม่ว่าศิษย์ทั้ง 72 คนของท่านจะบุกไปที่ใด ก็ล้วนแล้วแต่ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี”
น้ำเสียงของเหล่ากุ่ยที่รายงานนั้นเจือสะอื้นเล็กน้อยนั่นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น บ่งบอกถึงชัยชนะของตระกูลหลิง!
คิ้วรูปดาบของหลิงหยุนเลิกขึ้นพร้อมยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า “เวลานี้ทวงคืนกลับมาได้มากเท่าไหร่แล้ว”
“เรียนท่านผู้นำตระกูลเท่าที่ข้าน้อยได้รับรายงานจากหลิงอี๋กับหลิงชี คำนวณดูแล้วก็น่าจะราวสามสิบเปอร์เซ็นต์ได้”
หลิงหยุนขมวดคิ้วทันทีพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจนัก “เหตุใดจึงเพียงแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์” หลิงหยุนคิดว่าอย่างน้อยๆก็ควรจะต้องได้ถึงครึ่งหนึ่ง เขาจึงรู้สึกไม่พอใจนัก..
“เอ่อ..”
เหล่ากุ่ยถึงกับเงอะงะและไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปเช่นใด..
“หลิงหยุนสามสิบเปอร์เซ็นต์ก็นับว่ามากมายแล้วล่ะ!”
หลิงเย่วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและอธิบายให้หลิงหยุนฟังต่อ “ปักกิ่งเป็นเมืองใหญ่ อีกทั้งกิจการแต่ละแห่งของตระกูลหลงและตระกูลเย่ ก็ไม่ได้อยู่ในบริเวณเดียวกัน หรือยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน..”
“อย่าลืมว่าการที่ศิษย์ของเจ้าบุกไปตระกูลหลงกับตระกูลเย่พวกเขาย่อมได้รับรายงานแล้วเช่นกัน แต่กลับเลือกที่จะไม่ตอบโต้เช่นนี้ก็นับว่ามากพอแล้ว หากบีบคั้นพวกเขามากไปกว่านี้ ไม่แน่ว่าคืนนี้อาจเกิดการนองเลือดก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นย่อมต้องกระเทือน และเกิดความเสียหายทุกฝ่าย..” “การกระทำของเจ้าในคืนนี้ก็นับว่าเป็นการเขย่าขุนเขาขย่มพยัคฆ์มากพอแล้ว หากต้องการมากกว่านี้เจ้าคงต้องบุกไปหาผู้นำตระกูลหลง และผู้นำตระกูลเย่ด้วยตัวเองแล้วล่ะ!”
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของหลิงเย่วหลิงหยุนก็พยักหน้าด้วยความพอใจ “ท่านลุงกล่าวมีเหตุผล ดูเหมือนว่าคืนนี้คงจะได้กลับมามากพอแล้วจริงๆ!”
หลิงเย่วถึงกับหัวเราะร่วน“เพียงแค่นี้ก็อ้วนท้วนมากแล้วล่ะ..”
เหล่ากุ่ยพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เรียนท่านผู้นำตระกูล แต่.. ศิษย์ของท่านกลับยังไม่พอใจแค่นั้น เวลานี้พวกเขาได้กระจายทวงหนี้จากนักธุรกิจคนอื่นๆด้วย..”
หลิงหยุนถึงกับยิ้มออกมาพร้อมกับตอบไปว่า“ปล่อยพวกเขาไป!”
แม้แต่สองตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลงและตระกูลเย่ยังไม่ตอบโต้หลิงหยุนยังต้องเป็นห่วงอะไรอีกงั้นหรือ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปคอยจับตาดูพวกเขาต่อเพื่อระมัดระวังไม่ให้พวกเขาสร้างความวุ่นวายขึ้นได้..”
เหล่ากุ่ยเอ่ยบอกยิ้มๆแล้วจึงรีบจากไป
ส่วนเรื่องสุดท้ายในค่ำคืนนี้ก็คือ..หลิงเย่วได้รับสายจากต่งซานชวน
หลังจากที่ต่งซานชวนได้รับการเชื้อเชิญจากหลิงหยุนให้มาช่วยบริหารกิจการของตระกูลหลิงซึ่งสามารถแบ่งเบาภาระของหลิงเย่วได้มาก และได้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกับหลี่จวิ้นหัวในการจัดงานเลี้ยงครั้งนี้
ยิ่งต่งซานชวนได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างบุตรสาวกับหลิงเสี่ยวที่ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆและอบอวลไปด้วยความรักเช่นนี้ เขาก็มียิ่งความสุขมากขึ้น
งานวันเกิดของหลิงเสี่ยวครั้งนี้เขาจึงได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ และหลังจากจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้โทรบอกหลิงเย่วให้ไปดูว่ายังมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องอีกหรือไม่ เมื่อหลิงเย่วได้รับทราบเขาก็รีบออกไปตรวจดูด้วยตัวเองทันที ส่วนหลิงหยุนก็อยู่สะสางเรื่องวุ่นๆของตนเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร