บทที่ 1522 : ไม่ไว้หน้า
หลิงหยุนเห็นหลิงลี่เดินออกไปต้อนรับหลี่กวนผิงด้วยตนเองหลี่กวนผิงและหลิงลี่เป็นคนในรุ่นเดียวกัน และเป็นถึงหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่แห่งปักกิ่ง แน่นอนว่าหลิงลี่จะต้องออกไปต้อนรับด้วยตนเอง
“อามิตาพุทธ”
“สวรรค์เมตตา!”
หลิงหยุนรีบหันหลังกลับไปมองทันทีที่ได้ยินเสียงและได้แต่ยิ้มออกมาเมื่อพบว่าทั้งคู่ก็คือหลวงจีนเจี๋วยหยวนและนักพรตชงซวี
“โอ้..ลมอะไรหอบพวกท่านสองคนมาถึงที่นี่”
หลิงหยุนรีบเดินเข้าไปพร้อมกับยิ้มและเอ่ยทักทาย
“อามิตาพุทธหลังจากวันงานชุมนุมชาวยุทธ ประสกสบายเป็นปกติดีหรือไม่”
“ดี..ดีมาก!” หลิงหยุนเอ่ยตอบหลวงจีนเจี๋วยหยวน
“หลิงหยุนที่พวกเราสองคนมาในวันนี้ ก็เพื่อใช้โอกาสนี้แก้ไขเรื่องราวในอดีต ระหว่างโลกยุทธภพกับตระกูลหลิง..”
สำหรับหลิงหยุนเรื่องในอดีตระหว่างตระกูลหลิงกับยุทธภพนั้น ไม่มีคำว่า ‘แก้ไข’ อะไรได้อีก เขาจึงไม่รอให้นักพรตชงซวีกล่าวจบ และรีบขัดขึ้นในทันที
“ในเมื่อพวกท่านทั้งสองก็มาแล้วขอเชิญเข้าไปนั่งดื่มด้านในก่อน ส่วนเรื่องนั้นมิจำเป็นต้องพูดถึง..
นักพรตชงซวีถึงกับสะอึกส่วนหลวงจีนจี๋วยหยวนก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา..
นักพรตชงซวีมิอาจอดกลั้นไว้ได้จึงเอ่ยออกไปว่า “หลิงหยุน เจ้าเองก็สังหารชาวยุทธไปกว่าครึ่งแล้ว เวลานี้ตระกูลหลิงของเจ้าก็สามารถกลับขึ้นมาผงาดในประเทศนี้ได้อย่างสง่างามอีกครั้งแล้ว และไม่ได้ด้อยไปกว่า…”
หลิงหยุนเอ่ยสวนขึ้นในทันที“วันนี้ข้า –หลิงหยุน.. ไม่ต้องการที่จะทำร้ายผู้ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าน..”
ทางด้านหลิงอี๋กับหลิงชีและคนอื่นๆต่างก็สังเกตเห็นสีหน้าที่ไม่ดีนักของหลิงหยุน จึงรีบกระโดดเข้าไปหาในทันที
หลวงจีนเจี๋วยหยวน“….”
นักพรตชงซวี“….”
ทั้งหลวงจีนและนักพรตต่างนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาของหลิงหยุนเช่นนี้..
แต่ทั้งคู่ก็ยิ่งกว่าคุ้นเคยกับท่าทางทางที่ไม่อาจคาดเดาของหลิงหยุนได้พวกเขารู้ดีว่าหลิงหยุนไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา หากเขาบอกว่าไม่ต้องการคุยก็คือไม่ต้องการคุย มิว่าจะเป็นผู้ใดมาพูดก็ไร้ประโยชน์!
“เชิญๆเข้าไปดื่มด้านใน”
หลิงหยุนยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับเชิญชวนทั้งสองคนอีกครั้ง และสีหน้าท่าทางของหลิงหยุนก็บอกชัดเจนแล้วว่า หากทั้งคู่ไม่เข้าไปดื่ม ก็เชิญกลับไป จะไม่มีการเจรจาใดๆทั้งสิ้น
นักพรตชงซวีได้แต่หันไปบ่นกับหลวงจีนเจี๋วยหยวน“เฮ้อ.. ท่านดูเอาเองก็แล้วกัน จะให้ข้าทำเช่นใดดี”
หลวงจีนเจี๋วยหยวนฝืนยิ้มออกมา“จะลองเข้าไปก่อนดีหรือไม่”
“เชิญทุกท่านเข้าไปเถิดรับรองได้ว่าปลอดภัย..”
หลิงหยุนเอ่ยบอกไปแล้วจึงส่งกระแสจิตบอกหลิงอี๋ว่า –เจ้าเชิญพวกเขาทั้งคู่เข้าไปด้านใน–
หลิงอี๋รีบเดินเข้าไปหาหลวงจีนและนักพรตทันทีพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “อาวุโสทั้งสองท่าน ได้โปรดเชิญด้านใน..”
หลวงจีนเจี๋วยหยวนและนักพรตชงซวีได้แต่เดินตามหลิงอี๋เข้าไประหว่างทางหลวงจีนเจี๋วยหยวนจึงได้หันไปกล่าวกับหลิงหยุนว่า
“อามิตาพุทธประสกน้อย.. เท่าที่ข้ารู้มาวันนี้คงจะมีชาวยุทธหลายคนเดินทางมาร่วมงานครั้งนี้ จุดประสงค์คือต้องการพบประสก หวังว่าประสกจะใจกว้าง ไม่ขับไสไล่ส่งพวกเขากลับไป..”
“ข้าไม่เพียงไม่ขับไล่พวกเขากลับไปแน่แต่ยังจะให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาด้วย!” หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยตอบ
และนี่นับว่าเป็นคำตอบที่สุภาพที่สุดของเขาแล้ว..
นั่นเพราะเวลานี้หลิงหยุนยังมิได้เป็นศัตรูของบู๊ตึ๊งและเส้าหลิน แม้ว่าในงานชุมนุมชาวยุทธคืนนั้น เขาจะได้สังหารศิษย์ของหออรหันต์ไปมากกว่ายี่สิบคน ซึ่งความจริงแล้วควรจะต้องมีการชำระแค้นกัน แต่เป็นเพราะหลวงจีนเจี๋วยหยวนเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างดี จึงมิได้ทำให้เรื่องบานปลายมากไปกว่านี้
แต่เส้าหลินก็ส่วนเส้าหลินบู๊ตึ๊งก็ส่วนบู๊ตึ๊ง การที่คนทั้งคู่ออกหน้ามาเจรจา เพื่อหวังที่จะสะสางปัญหาระหว่างเหล่าชาวยุทธกับตระกูลหลิงในอดีตให้หมดไปนั้น เสียใจด้วย.. หลิงหยุนไม่สามารถให้หน้าคนทั้งคู่ถึงเพียงนี้ได้แน่!
หลิงหยุนได้สั่งหลิงอี๋ผ่านทางกระแสจิต–ไม่ต้องพาพวกเขาไปแนะนำให้กับสมาชิกตระกูลหลิงได้รู้จัก เจ้าพาพวกเขาทั้งคู่ไปที่ห้องรับรองทั่วไป..-
–ท่านผู้นำตระกูลโปรดวางใจ!–
และภาพต่อมาที่ได้เห็นนั้นแม้แต่หลิงหยุนยังไม่อาจทนมองต่อไปได้ เวลานี้ทั้งหลวงจีนเจี๋วยหยวนและนักพรตชงซวี ต่างก็ถูกรายล้อมด้วยสาวงามในชุดกี่เพ้าที่ผ่ามาถึงต้นขานับสิบคน
ทันทีที่หลวงจีนเจี๋วยหยวนกับนักพรตชงซวีเข้าไปถึงในห้องรับรองทั้งคู่ก็ได้แต่ตกตะลึง แต่ในเมื่อทั้งคู่เป็นแขกมิใช่เจ้าบ้าน จึงมิอาจเลือกได้ และได้แต่อดทนนั่งอยู่ในห้องรับรองที่รายล้อมด้วยสาวงามมากมายเช่นนั้น
หลวงจีนและนักพรตทั้งสองจึงได้แต่นั่งก้มหน้า สายตาเหลือบมองปลายจมูก และเฝ้าพร่ำบ่นคำว่า ‘พุทโธ’ อยู่ในใจไม่ขาด “ฮ่าๆๆๆ”
หลังจากที่หลิงอี๋กลับออกมาแล้วก็ได้ไปเล่าเรื่องนี้ให้กับหลิงชีฟัง แล้วทั้งสองคนก็ได้แต่ยืนหัวเราะกันท้องแข็ง
หลิงชีรีบหันไปเอ่ยถามหลิงหยุนทันที“ท่านผู้นำตระกูล ทำเช่นนี้มิเกินไปหน่อยหรือ”
หลิงหยุนเอ่ยตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่ง“จะเกินไปหรือไม่เกินไป พวกเขาก็ทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี..”
เห็นได้ชัดว่าหลวงจีนเจี๋วยหยวนและนักพรตชงซวีเป็นตัวแทนของเหล่าชาวยุทธ และสำนักต่างๆในยุทธภพเดินทางล่วงหน้ามาหยั่งเชิงดูก่อน และคงจะมีอีกหลายๆคนตามมา..
และแต่ละคนที่จะตามมานั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นระดับเจ้าสำนักหรือไม่ก็เป็นบุคคลสำคัญของตระกูล แน่นอนว่าแต่ละคนย่อมต้องอยู่ไม่ต่ำกว่าขั้นพลังเหนือธรรมชาติเป็นแน่
หลิงหยุนแสยะยิ้มเมื่อรัศมีจิตหยั่งรู้ของเขาสำรวจพบกลุ่มคนแต่ไกล..
“หึ..นับว่ายังพอรู้จักกาละเทศะ!”
เหล่ายอดฝีมือในโลกยุทธภพที่เดินทางมานี้แต่ละคนล้วนมิได้พกพาอาวุธประจำตัวของตนมาด้วย แต่ในมือกลับหอบหิ้วสมบัติล้ำค่า และหาได้ยากยิ่งมาแทน
แน่นอนว่า..สมบัติเหล่านั้นจะต้องเป็นของขวัญที่เหล่าผู้นำของแต่ละสำนัก และแต่ละตระกูลเตรียมมาเป็นของขวัญนั่นเอง!
วันนี้ไม่เพียงเป็นวันที่ตระกูลหลิงประกาศความยิ่งใหญ่อย่างเป็นทางการของตนเองแต่ยังเป็นวันเกิดของหลิงเสี่ยวด้วย ไม่ว่าอย่างไร หลิงหยุนย่อมมิต้องการให้เกิดการนองเลือด ฉะนั้น.. มือที่ถือของขวัญย่อมต้องดีกว่ามือที่กำอาวุธเป็นแน่!
“หลิงอี๋..หลิงชี.. ข้ามิต้องการอยู่ต้อนรับพวกเขา พวกเจ้าสองคนทำหน้าที่ต้อนรับพวกเขาแทนข้าที! ”
จากนั้นหลิงหยุนก็ได้กำชับหลิงอี๋กับหลิงชีผ่านทางกระแสจิต–ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับพวกเขา หลังจากรับของขวัญของพวกเขาไว้หมดแล้ว ก็จัดการส่งพวกเขาไปที่โรงแรมได้เลย มิจำเป็นต้องให้เข้ามาในบ้าน–
ไม่ให้เข้าบ้านแต่รับของขวัญแล้วให้ส่งไปที่โรงแรมทันที – เพียงแค่นี้ก็นับว่าหลิงหยุนให้เกียรติมากแล้ว เพราะหากให้ชาวยุทธกลุ่มนี้เข้ามานั่งในบ้านตระกูลหลิง จะเป็นตระกูลหลิงเองที่จะต้องเสียหน้า
จากนั้นหลิงหยนุก็กลับเข้าไปด้านในเพื่อรอรับแขกที่สำคัญกว่า..
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ไว้จึงสามารถรับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดที่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลหลิงได้ตลอดเวลา แม้แต่แมลงวันสักตัว ยังไม่สามารถรอดพ้นสายตาของเขาไปได้
เวลานี้ภายในคฤหาสนต์ตระกูลหลิงทั้งหมดมีเพียงสวนท้ายสุดสองส่วนเท่านั้นที่ไร้ผู้คน และเงียบสงบปราศจากเสียงหนวกหู
หลิงหยุนเฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยความสงบนิ่งและได้แต่คิดว่าคนที่ควรจะต้องมาในงานก็ทะยอยเดินทางมาแล้ว ส่วนคนที่ไม่ควรต้องมาก็คือไม่มา!
และคนที่ไม่ควรมาก็คือบรรดาผู้หญิงของเขานั่นเอง..หลิงหยุนเข้าใจดีว่าผู้หญิงรักหน้ารักตาของตนเองยิ่งนัก และเรื่องที่ต้องเสียหน้าเป็นเรื่องที่พวกนางมิอาจยอมได้ เขาจึงไม่เอ่ยปากชักชวนหญิงสาวคนใดเลย..
หากเป็นเรื่องส่วนตัวของหลิงหยุนแล้วล่ะก็พวกนางย่อมไม่ปฏิเสธเป็นแน่ แต่นี่เป็นเรื่องของตระกูลหลิงซึ่งแตกต่างกัน อีกทั้งตระกูลหลิงยังมีเกาเฉินเฉินซึ่งอยู่ในฐานะคู่หมั้นคู่หมายของหลิงหยุนอีกด้วย..
แต่จะให้ทำเช่นใดได้ในเมื่อครั้งที่ตระกูลหลิงต้องต่อสู้ตามลำพังกับตระกูลซันและตระกูลเฉิน มีเพียงตระกูลเกาที่กล้าประกาศตัวยืนอยู่ข้างตระกูลหลิง และเรื่องการหมั้นหมายของเกาเฉินเฉินนั้น เกาจิ้นสงก็เป็นผู้ที่ออกหน้าด้วยตัวเอง…
แม้ครั้งนั้นตระกูลเกาจะนับว่าอ่อนแอแต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าตระกูลหลิงเมื่อครั้งที่ยังไม่มีหลิงหยุน อีกทั้งสองตระกูลต่างก็เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ของประเทศนี้ ฉะนั้น การหมั้นหมายของหนุ่มสาวทั้งสองจึงนับว่าเหมาะสมยิ่งนัก!
และหากหญิงสาวทั้งหมดมารวมกันแต่กลับต้องมานั่งขบฟันเข่นเขี้ยวใส่กัน หลิงหยุนก็เห็นว่าไม่ควรมีใครต้องมา และเขาเองก็มิได้รู้สึกกังวลใจที่พวกนางมิได้มาร่วมงานครั้งนี้
แต่มีหญิงสาวอีกสองคนที่หลิงหยุนรู้สึกว่าควรจะต้องมาแต่กลับยังไม่ปรากฏตัว ทำให้เขารู้สึกกังวลใจยิ่งนัก!
ซึ่งก็คือ..หนิงหลิงยู่กับเย่ซิงเฉิน!
หากเป็นหนิงหลิงยู่เมื่อก่อนนี้หากรู้ว่าวันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้กับหลิงเสี่ยวแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะอยู่ไกลเพียงใด หรือมีภารกิจมากมายเพียงใด นางก็จะทิ้งทุกอย่างและรีบมาถึงที่นี่ก่อนใครๆ
แต่เวลานี้..หลังจากที่หนิงหลิงยู่เดินทางไปส่งศพของผู้เป็นบิดาที่เขาคุนหลุน เขาก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวของนางอีกเลย จึงไม่รู้ว่าเวลานี้หนิงหลิงยู่อยู่ตระกูลหนิงเป็นเช่นใดบ้าง
ส่วนเย่ซิงเฉินนั้นหลังจากเดินทางออกจากสำนักกระบี่เทียนซาน กลับไปพรรคมารตามคำสั่งของหยินชิงเฉวียนแล้ว เขาก็ไม่เคยได้ข่าวคราวของนางอีกเลยเช่นกัน..
และเป็นไปไม่ได้ที่เย่ซิงเฉินจะไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของหลิงเสี่ยวเพราะหยินชิงเฉวีย่อมต้องรู้ และจดจำได้ไม่ลืมเป็นแน่
วันสำคัญเช่นนี้เหตุใดเย่ซิงเฉินจึงมิปรากฏตัว
“เฮ้อ..แต่ไม่มาก็ดี หากทั้งคู่พบหน้ากันอีกครา ก็มิรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอันใดขึ้นอีก..”
หลิงหยุนจำต้องปลอบตนเองไปเช่นนั้น“ขอเพียงแค่ไม่เกิดอันตรายกับพวกเจ้าทั้งสองคนก็พอแล้ว..”
และสำหรับไป๋เซียนเอ๋อนั้นนางย่อมไม่สามารถเข้ามาปักกิ่งได้ และต่อให้นางดื้อดึงจะมาให้ได้ เขาก็ต้องห้ามปรามเป็นแน่
“หลิงหยุนนี่เจ้ากำลังครุ่นคิดอันใดอยู่รึ”
น้ำเสียงอบอุ่นคุ้นเคยดังขึ้นจากนั้นร่างของจินเหยียวก็ปรากฏขึ้นข้างกายหลิงหยุน
จินเหยียวซึ่งมาถึงแต่เช้าหลังจากได้ทักทายหลิงเสี่ยวและคนอื่นๆแล้ว ก็หลบมาที่สวนด้านหลังเพื่อหาที่สงบเงียบ แต่เมื่อพบเห็นหลิงหยุนจึงเข้าไปทักทาย
แน่นอนว่าหลิงหยุนไม่จำเป็นต้องปกปิดจินเหยียวจึงได้เอ่ยบอกนางไปตามตรง “ท่านน้าจินเหยียว ข้ากำลังนึกเป็นห่วงซิงเฉิน จนป่านนี้ข้ายังมิได้ข่าวคราวจากนางเลย..”
จินเหยียวยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า“ข้าเองก็คาดเดาอยู่แล้วว่า เจ้าคงจะต้องกังวลใจเรื่องนี้อยู่เป็นแน่!”
*******
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร