บทที่ 1523 : พรรคมารที่ลี้ลับ
“หลิงหยุนมีท่านแม่ของเจ้าอยู่ด้วย ซิงเฉินย่อมปลอดภัยแน่ เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลย!”
จินเหยียวจับมือหลิงหยุนไว้และพาเดินไปนั่งในที่แห่งหนึ่ง..
หลิงหยุนเห็นท่าทางของจินเหยียวแล้วจึงได้รู้ว่านางมีบางสิ่งบางอย่างต้องการบอกเขาเป็นแน่ จึงได้นำหินพลังชีวิตออกมาสร้างเป็นค่ายกลไว้ เวลานี้ภายในตระกูลหลิงมียอดฝีมืออยู่มากมาย เขามิต้องการให้เรื่องที่จินเหยียวบอกเล่านี้ ไปเข้าหูของผู้อื่นได้
และค่ายกลที่หลิงหยุนสร้างขึ้นด้วยหินพลังชีวิตนี้ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นก่อสร้างรากฐาน ก็ยากที่จะแอบฟังได้ นอกเหนือจากหลิงหยุนกับจินเหยียวสองคนแล้ว แม้แต่จิตหยั่งรู้ของยอดฝีมือก็ยากที่จะตรวจพบได้
หลังจากสร้างค่ายกลเสร็จแล้วหลิงหยุนจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ท่านน้าจินเหยียว ข้ามีเรื่องกังวลใจอยู่สองเรื่อง..”
“นับตั้งแต่วันที่ข้าจับตัวซือกงถูไว้ได้และซือกงวู่ฉิงก็ได้หนีไปหลบที่ต่างประเทศ จนกระทั่งถึงวันนี้ ข้าก็ยังมิเห็นพรรคมารเคลื่อนไหวใดๆเลยแม้แต่น้อย มิมีคนของพรรคมารออกมาจัดการกับข้าเลยแม้แต่คนเดียว..”
“นี่คือเรื่องแรก..”
“ส่วนอีกหนึ่งเรื่องก็คือ..ก่อนที่ข้าจะเดินทางกลับจากเขาเทียนซานนั้น ซิงเฉินกลับถูกท่านแม่เรียกตัวกลับพรรคมารอย่างเร่งด่วน ในเมื่อท่านแม่เรียกนางกลับไปด้วยตนเองเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าต้องมีเรื่องสำคัญเร่งด่วนเป็นแน่..”
“ข้าเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นที่พรรคมารข้ารู้สึกกังวลใจยิ่ง..”
“เจ้าคงกังวลใจว่าพรรคมารจะแอบเคลื่อนไหวลับหลังเจ้าและกังวลว่าซิงเฉินจะถูกพวกเขาควบคุมตัวไว้สินะ”
จินเหยียวคาดการได้ตรงใจหลิงหยุนยิ่งนักเขาจึงได้แต่พยักหน้า “ท่านน้าคาดเดาได้ตรงใจข้านัก!”
จินเหยียวยิ้มพร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า“หลิงหยุน.. นี่เรียกว่าห่วงใยจนเกินเหตุ..”
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะห่วงใยซิงเฉินมากมายถึงเพียงนี้”
เมื่อได้ยินจินเหยียวหยอกเย้าเช่นนั้นหลิงหยุนก็ถึงกับหน้าแดงก่ำ เพราะที่นางกล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นความจริง
“พรรคมารลี้ลับยิ่งนักอีกทั้งยังมีวรยุทธล้ำเลิศกันทุกคน!”
ระหว่างที่สนทนากันอยู่นั้นจินเหยียวก็ได้เงยหน้าขึ้น และหันมองไปรอบตัว พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขบขัน
“แต่ไม่ว่าจะเก่งกาจเยี่ยงไรทุกคนก็คือมนุษย์เดินดินเหมือนกัน จะแตกต่างกันมากสักเท่าใดกัน”
“หลิงหยุน..เจ้าอย่าลืมว่าเวลานี้เจ้ามีกระบี่โลหิตแดนใต้อยู่ในมือ ซึ่งเวลานี้มันได้เปลี่ยนเป็นกระบี่มารโลหิตแล้ว!”
“กระบี่โลหิตแดนใต้นับเป็นอาวุธระดับเซียนและเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของพรรคมารมานับพันๆปี ผู้ใดครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้ ย่อมเป็นเจ้าแห่งมาร เรื่องนี้เจ้าเองก็รู้มิใช่รึ”
“ข้าทราบ..”หลิงหยุนพยักหน้า
“หลิงหยุนคำกล่าวนี้หาใช่เป็นการกล่าวอ้างเรื่อยเปื่อย แต่มันคือความจริง!”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะพร้อมกับลุกขึ้นยืน“มิน่า.. ซือกงถูกับลูกๆของมันจึงอยากจะช่วงชิงไปจากข้านัก!”
จินเหยียวเอ่ยตอบกลับไปทันที“ผู้ใดบ้างเล่าที่ไม่ต้องการอาวุธระดับเซียนชิ้นแรกของพรรคมารไปครอบครอง!”
“เจ้าเองไม่เพียงมีกระบี่วิเศษอยู่ในมือแต่กระบี่เล่มนี้ยังยอมรับเจ้าแล้วด้วย แต่นั่นก็มิได้หมายความว่า มันจะไม่ยอมรับยอดฝีมือในพรรคมารคนอื่นๆเช่นกัน ตราบใดที่เป็นคนของพรรคมาร พวกเขาก็มีสิทธิ์ท้าทาย และแย่งชิงกระบี่วิเศษเล่มนี้ไปจากเจ้า!”
“อีกทั้งซือกงถูและลูกๆของมันยังเป็นศัตรูคู่แค้นของพวกเราด้วย จึงไม่แปลกที่พวกมันคิดที่จะแย่งชิงกระบี่เล่มนี้ไปจากเจ้า!”
หลิงหยุนเข้าใจในเรื่องนี้อย่างกระจ่าง..
อย่าว่าแต่กระบี่ระดับเซียนเล่มแรกของพรรคมารเลยหากเขานำพู่กันจักรพรรดิแห่งมนุษย์ สมุดจักรพรรดิแห่งพิภพ และหม้อเสินหนงออกมาเปิดเผย เชื่อว่าทุกคนที่พบเห็นย่อมต้องอยากแย่งชิงไปไว้ในครอบครองเช่นกัน!
“ซือกงถูเป็นเพียงแค่ผู้พิทักษ์กฏรุ่นเยาว์คนหนึ่งที่พรรคมารเลือกคัดมาเท่านั้นและหลังจากที่มันได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะข้าเมื่อสิบแปดปีก่อน มันก็ไม่สามารถออกปฏิบัติภารกิจในโลกได้อีกนานหลายปี จึงไม่ได้รับความสนใจจากเหล่าอาวุโสในพรรคมารคนสำคัญๆอีกต่อไป..”
“ฉะนั้นการที่เจ้าสังหารซือกงถูกับลูกชายนั้น แม้พรรคมารจะได้รับข่าวคราวแล้ว แต่ก็คงมิมีผู้ใดใส่ใจกับเรื่องนี้นัก จึงมิมีผู้ใดคิดที่จะมาแก้แค้นเจ้าแทนพวกมัน..”
“เหตุผลอีกหนึ่งข้อและสำคัญยิ่งก็คือ..เป็นเพราะเจ้ามีกระบี่โลหิตแดนใต้อยู่ในมือนั่นเอง บรรดาผู้เฒ่าแห่งพรรคมารซึ่งเป็นบุคคลสำคัญยิ่ง ต่างก็รู้ดีว่ากระบี่วิเศษเล่มนั้นได้ยอมรับเจ้าแล้ว ฉะนั้น ผู้เฒ่าบางคนจึงได้แอบยอมรับเจ้า และสนับสนุนเจ้าอยู่เงียบๆ!”
หลิงหยุนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย“นี่นับเป็นเรื่องดีหรือไม่”
จินเหยียวตอบกลับยิ้มๆ“ย่อมต้องดีแน่!”
“และนี่คือเหตุผลสำคัญที่พรรคมารไม่มีการเคลื่อนไหวหลังจากที่เจ้าสังหารซือกงถูและลูกชายอย่างไรเล่า ที่คนของพรรคมารไม่ออกมาแก้แค้นเจ้านั้น ก็เพราะถูกผู้เฒ่าพรรคมารยับยั้งไว้ พวกเขามีอำนาจมากพอที่จะหยุดยั้งเรื่องนี้..”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองหรอกรึ”
หลิงหยุนรู้สึกโล่งใจขึ้นมากแต่แล้วเขาก็ถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัยเช่นเคย “แต่หลังจากซือกงถูกับลูกๆแล้ว เหตุใดยังไม่มีผู้ใดในพรรคมารคิดจะมาช่วงชิงกระบี่วิเศษเล่มนี้ไปจากข้าเล่า”
จินเหยียวหัวเราะก่อนจะเอ่ยตอบไปว่า“หลิงหยุน เจ้าอย่าได้ประมาทพรรคมารนัก! เท่าที่ข้ารู้มา.. เวลานี้ผู้เฒ่าพรรคมารแต่ละคนนั้น ล้วนมีพลังปราณล้ำเลิศ แต่ละคนล้วนเข้าสู่ขั้นที่เรียกขานว่าปรมาจารย์ได้แล้ว..”
“นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีผู้ที่เก็บตัวฝึกฝนวิชาอยู่นานนับสิบปี หรือแม้กระทั่งร้อยปีก็มี คนเหล่านี้ยากนักที่จะคาดเดาพลังบ่มเพาะของพวกเขาได้..”
หลิงหยุนถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ“พรรคมารแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
“หากมิแข็งแกร่งจริงมีหรือที่พรรคมารจะยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้! หาไม่แล้วพรรคมารคงมิอาจยืนหยัดมานานนับพันๆปีเช่นดีได้แน่เพราะในสายตาของคุนหลุน ฉู่ซาน พุทธ และเต๋า ล้วนแล้วแต่เห็นพรรคมารเป็นฝ่ายอธรรม..”
จินเหยียวยกมือขึ้นชี้ไปทางเมืองจิงฉูพร้อมกับเอ่ยต่อว่า “เจ้าเองก็ได้พบบรรพชนของท่านแม่เจ้าที่ก้นหลุมยักษ์แล้ว ท่านหยินจิ่วโย่ว..”
“หากไม่ใช่เพราะการหายตัวไปอย่างกะทันหันของบรรพชนหยินจิ่วโย่วมีหรือที่พุทธและเต๋าจะสามารถยืนหยัดอยู่ในยุทธภพได้”
หลิงหยุนรีบเอ่ยถามขึ้นทันที“ท่านน้าจินเหยียว ท่านเองก็รู้เรื่องนี้ดีงั้นรึ เหตุใดเมื่อครั้งที่ข้าเล่าให้ท่านฟัง ท่านจึงมิยอมบอกเล่าให้ข้ารู้..?”
จินเหยียวเอ่ยตอบยิ้มๆ“ข้าเองก็เพิ่งได้รับคำสั่งจากท่านแม่ของเจ้าผ่านชิงหยวนว่า ให้บอกเรื่องนี้แก่เจ้าได้..”
หลิงหยุนเหลือบมองจินเหยียวพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า“ท่านแม่บอกกับท่านเมื่อใด” “สองวันก่อนหน้านี้เป็นช่วงที่เจ้าอยู่เผ่าเหมี่ยวเจียงพอดี เวลานั้นซิงเฉินได้กลับถึงพรรคมารแล้ว แต่เป็นเพราะไม่สามารถติดต่อเจ้าได้ นางจึงให้ชิงหยวนติดต่อข้า และบอกให้ข้าเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังได้..”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลิงหยุนก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจ “ซิงเฉินเป็นเช่นใดบ้าง เหตุใดท่านแม่จึงต้องเรียกตัวนางกลับไป? แล้วนางจะมาร่วมงานด้วยหรือไม่?”
“เจ้าอย่าได้กังวลใจไปนัก..”
“เวลาหลายพันปีที่ผ่านมาเหล่ายอดฝีมือจากยุทธภพมากมาย ต่างก็เคยบุกพรรคมารมาก่อนทั้งสิ้น แต่ท้ายที่สุดก็ล้มเหลวทุกครั้งไป..”
“หลิงหยุน..เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”
หลิงหยุนยังคงตั้งใจฟังอย่างนิ่งเงียบหลังจากที่จินเหยียวเกริ่นขึ้นมาเช่นนี้ ย่อมต้องมีสิ่งที่นางกำลังจะพูดต่อไป
“นั่นเพราะนอกจากพรรคมารจะมีศิษย์แต่ละรุ่นซึ่งล้วนแล้วมีพรสวรรค์อย่างน่าทึ่งแล้ว พรรคมารของเรายังมีฐานทัพมากกว่าหนึ่งแห่ง และทุกแห่งล้วนมีค่ายกลที่แข็งแกร่งคอยปกป้องอยู่”
“ค่ายกลงั้นรึ!”
จินเหยียวพยักหน้า“หลายคนต่างก็สงสัยว่ามันคือค่ายกลที่ตกทอดมาแต่โบร่ำโบราณ น้อยนักที่จะหาผู้ใดทำลายค่ายกลนี้ได้ง่ายๆ”
“นอกเหนือจากค่ายกลที่ปกป้องพรรคมารแล้วการที่ศิษย์พรรคมารแต่ละรุ่นมีพรสวรรค์ล้ำเลิศอย่างน่าอัศจรรย์นั้นก็เพราะว่า ภายในพรรคมารจะมีดินแดนลี้ลับอยู่หลายแห่ง หากผู้ใดสามารถทำลายค่ายกล และเข้าไปภายในดินแดนลี้ลับนี้ได้แล้วล่ะก็ คนผู้นั้นจะได้รับประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล ทำให้คนผู้นั้นสามารถฝึกวรยุทธบ่มเพาะก้าวหน้าได้อย่างน่าอัศจรรย์เลยทีเดียว”
“พี่ชิงเฉวีนเคยเล่าให้ข้าฟังว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่นางได้เข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติแล้วนั้น นางได้ใช้ความเป็นสายโลหิตของทายาททำลายค่ายกลที่ล้อมรอบแท่นบูชาหลักของพรรคมารได้ บรรดาผู้เฒ่าพรรคมารซึ่งเป็นแกนนำหลายๆคนในเวลานั้น ก็พลอยได้รับประโยชน์ในครั้งนั้นไปด้วยอย่างมากมาย ขั้นพลังบ่มเพาะของพวกเขาจึงก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมาเพราะไม่ว่าที่ใดก็ตาม หากมีค่ายกลที่แข็งแกร่งคอยปกป้องอยู่แล้วล่ะก็ ภายในนั้นมักจะเป็นดินแดนลี้ลับซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะแทบทั้งสิ้น เช่นเดียวกับที่ถ้ำสุขาวดี!
แต่หลิงหยุนกลับมิได้สนใจเรื่องนี้“ท่านน้าจินเหยียว.. เมื่อครู่ท่านบอกว่าท่านแม่ของข้าเข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติสูงสุดเมื่อสิบกว่าปีก่อนงั้นรึ”
จินเหยียวพยักหน้าอย่างมีความสุข“อืมม.. ข้ารู้สึกยินดีและมีความสุขไปกับพี่ชิงเฉวียนอย่างมาก!”
ขั้นพลังเหนือธรรมชาติสูงสุดนั้นหากจะพูดไปแล้วก็เทียบเท่ากับระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของขั้นพลังชี่นั่นเอง!
“เมื่อครั้งที่พี่ชิงเฉวียนถูกบีบบังคับให้ต้องแยกจากพ่อของเจ้านั้นแม้นางจะเสียใจมาก แต่ก็มิได้จมปลักอยู่กับความเศร้าเสียใจ ตรงกันข้าม นางกลับมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างหนัก เพราะนางรู้ดีว่า ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะทำให้นางสามารถต่อกรกับเหล่าผู้เฒ่าพรรคมารได้ และยังสามารถปกป้องตระกูลหลิงและเจ้าที่อยู่ภายนอกได้!”
“เช่นเดียวกับเจ้าเวลานี้ยิ่งเจ้าแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็จะยิ่งมีความสามารถที่จะไปช่วยท่านแม่ของเจ้าได้มากขึ้น..”
หลิงหยุนพยักหน้า“ข้าเข้าใจแล้วท่านน้าจินเหยียว!”
“ที่ซิงเฉินถูกเรียกตัวกลับไปนั้นข้าเชื่อว่าเป็นเพราะนางแข็งแกร่งมากพอที่จะช่วยท่านแม่ของเจ้าทำลายค่ายกลได้..”
หลิงหยุนได้ฟังจึงรู้สึกราวกับว่าหินที่หนักอึ้งในอกนั้น ได้ถูกยกออกไปในทันที..
“ชิงหยวนได้เล่าให้ข้าฟังว่า..แม้ซิงเฉินจะมิได้มีสายโลหิตเดียวกับนาง แต่เป็นเพราะวิชาบ่มเพาะอันแข็งแกร่งที่เจ้าถ่ายทอดให้แก่นางนั้น ทำให้ทั้งคู่มีความหวัง..”
วิชาสุญตาดูดดาว!
“และหากเป็นเช่นนั้นจริงข้าเกรงว่านางหากยังมิสามารถทำลายค่ายกลได้ นางคงจะมาร่วมงานในวันนี้ไม่ได้เป็นแน่..”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร