บทที่ 1533 : จ้าวซิงหวู่ปรากฏตัว
ระดับสูงสุดขั้นซานเฉิงชี่!!!
เข้ารับทัณฑ์สวรรค์..พร้อมกันถึงสามคน!!!!
ภายในห้องจัดเลี้ยงกลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้งน้อยคนเพียงแค่ตกใจ แต่เกือบทั้งห้องที่อยู่ในอาการตัวแข็ง
คนส่วนน้อยดูเหมือนจะเป็นโจวเหวินอี้เย่ชิงเฟิง เย่เทียนสุ่ย เย่เทียนตู และยอดฝีมือขั้นสูงคนอื่นๆ ที่ล้วนเคยผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วมาแล้วทั้งสิ้น
และคนส่วนใหญ่ที่นั่งตัวแข็งนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนธรรมดาทั่วไป และเหล่าชาวยุทธที่ยังไม่เคยผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์มาก่อน
“รับทัณฑ์สวรรค์!!มันเป็นยังไง??”
นี่คือสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปในห้องจัดเลี้ยงคิดและใบหน้าของพวกเขาล้วนบ่งบอกถึงความลังเลสัยใคร่รู้
“ที่หลิงหยุนพูดมาเมื่อครู่มันเหมือนในหนัง หรือนิยายกำลังภายในมั๊ยนะ คุณรู้มั๊ย?!”
“นั่นสิ..ผมเองก็เคยอ่านแต่ในนิยาย!!”
“ที่ผ่านมาผมเองก็นึกว่าเป็นเรื่องเล่าในตำนานโบร่ำโบราณเท่านั้นหรือไม่ก็เป็นเพียงแค่การแสดง เป็นบทในนิยาย แต่หลิงหยุนประกาศออกมาเองแบบนี้ ดูท่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ!!”
“รับทัณฑ์สวรรค์..เหาะไปมาบนท้องฟ้าได้.. มีแต่เซียนไม่ใช่เหรอ!”
ในขณะที่เหล่าชาวยุทธที่เข้าใจในเรื่องเหล่านี้ดีกลับไม่ได้คิดสงสัยในเรื่องที่น่าเบื่อเช่นนั้น..
ก่อนหน้านี้หลิงหยุนเพิ่งจะประกาศต่อหน้าทุกคนว่าตระกูลหลิงจะเปิดโรงประมูลชาวยุทธ ซึ่งจะมีทรัพยากรสำหรับการฝึกบ่มเพาะมาให้ประมูลกันได้ไม่ขาดแล้ว
แต่เวลานี้กลับประกาศเรื่องการบ่มเพาะพลัง ซึ่งคนธรรมดทั่วไปเคยคิดว่าเป็นเพียงแค่ตำนานเรื่องเล่าปรัมปรา ต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย
และก่อนหน้านี้ท่านหมอเสี่ยวก็เคยบอกกับหลิงหยุนว่า เขาจะเป็นผู้ที่เปิดโลกอันยิ่งใหญ่..
“ฮ่าๆๆๆ”
โจวเหวินอี้อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เขาถอนหายใจก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “นึกอยากจะทำเช่นใดก็ทำ ไม่แม้แต่จะใส่กับกฏระเบียบบนโลกใบนี้เลยจริงๆ นี่สินะหลิงหยุน!!”
“คงไม่มีใครหยุดเขาได้สินะ!”เย่ชิงเฟิงพึมพำกับตนเอง และรำพึงรำพันออกมาด้วยความประหลาดใจมากขึ้น
“ที่ผ่านมา..หลังจากจุดตันเถียนของหลิงเสี่ยวถูกทำลาย ทำให้เขาฝึกฝนได้อย่างยากลำบาก และในสิบแปดปีก็เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-5 แต่หลังจากที่หลิงหยุนกลับเข้าตระกูลหลิง เพียงเวลาไม่ถึงสี่เดือน..” เย่ชิงเฟิงได้แต่งุนงงสงสัยว่าเพราะเหตุใดภายในเวลาไม่ถึงสี่เดือน หลิงเสี่ยวจึงสามารถฝึกฝนก้าวหน้าได้รวดเร็วถึงเพียงนี้!
และนั่นนับเป็นการความก้าวหน้าที่อัศจรรย์ยิ่งนัก!
หากเป็นตัวหลิงหยุนเองเย่ชิงเฟิงยังพอเข้าใจได้ แต่นี่ภายในเวลาสั้นๆ สมาชิกในตระกูลหลิงทั้งหมด กลับก้าวหน้ารวดเร็วอย่างไร้เหตุผล!
เย่ชิงเฟิงเข้าใจความยากลำบากในการฝึกฝนเป็นอย่างดีแม้เย่เทียนสุ่ยกับเย่เทียนตูเองจะสามารถเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ได้แล้วก็ตาม แต่ก็ต้องย้อนกลับไปดูว่าพวกเขาทั้งสองคนใช้เวลาฝึกฝนมานานเพียงใด
ทั้งสองคนนับว่าเริ่มการฝึกฝนตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา!!
แต่เหล่าสมาชิกตระกูลหลิงเล่า!!
หลิงลี่ในวัยชราและเพิ่งจะฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บมานานถึงสิบแปดปีการรักษาขั้นพลังไว้ยังเป็นเรื่องที่ยากเย็น
ในขณะที่หลิงเสี่ยวซึ่งอยู่ในวัยกลางคนอีกทั้งจุดตันเถียนยังถูกทำลายมานานถึงสิบแปดปี จะเรียกว่าสูญเสียความสามารถในการฝึกไปแล้วก็ย่อมได้
ส่วนจินเหยียวในวัยกลางคนเช่นกันนอกจากจะได้รับบาดเจ็บสาหัสมานานถึงสิบแปดปี แต่ยังได้เสียสติสูญเสียความทรงจำมาเนิ่นนาน เรียกได้ว่ากลายเป็นคนบ้าดีๆนั่นเอง
แต่เวลานี้..ทั้งสามคนกลับกำลังจะเข้ารับทัณฑ์สวรรค์เช่นนั้นหรือ!!
ไม่เพียงเท่านั้น..ทั้งสามคนมิได้ก้าวหน้ารวดเร็วเพียงอย่างเดียว พวกเขายังมีรากฐานพลังที่มั่นคงอีกด้วย เสินหยวนเต็มเปี่ยมเช่นนี้ เพียงแค่เห็นก็รู้แล้วว่า พวกเขาพร้อมที่จะทะลวงพัฒนาขั้นพลังได้ตลอดเวลา!!
เย่ชิงเฟิงเป็นคนเฉลียวฉลาดและเฝ้าสังเกตคนทั้งสามอยู่อย่างเงียบๆ แม้จะรู้ว่าที่หลิงหยุนพูดมานั้นเป็นความจริง แต่ก็ไม่อาจคิดหาเหตุผลมาอธิบายความรวดเร็วนี้ไม่ได้! แม้แต่เย่เทียนสุ่ยเองก็เพิ่งจะผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วมาไม่นานนี้เอง..
โจวเหวินอี้เองก็ดูเหมือนจะเข้าใจความสงสัยในใจของเย่ชิงเฟิงได้ดีแต่ก็มิได้แสดงความคิดเห็นออกไป เพียงแค่แอบสังเกตหลิงอี๋และคนอื่นๆแทน
โจวเหวินอี้ได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า‘ท่านยังจะสงสัยไปทำไมกันเล่า แม้แต่นักรบตระกูลหลิงยังเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นเซียงเทียน!! ตระกูลเย่มีเช่นนี้หรือไม่?!’
‘ท่านคงยังไม่รู้สินะว่า..ในบ้านบรรพชนตระกูลหลิงมีหลิวเทวะวิญญาณอยู่ เหล่าสมาชิกตระกูลหลิงล้วนอยู่กับมันมานานหลายเดือน..’
เย่ชิงเฟิงเหลือบมองโจวเหวินอี้ด้วยความรู้สึกที่เศร้าหมอง..
เพราะแทบไม่ต้องพูดถึงเหล่าสมาชิกตระกูลหลิงแม้แต่หลิงอี๋กับหลิงชี ยังเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-7 แล้ว อีกทั้งรากฐานพลังยังแข็งแกร่งยิ่งนัก เรียกได้ว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าเย่เทียนสุ่ยเสียอีก..
ด้วยรากฐานพลังที่แข็งแกร่งเช่นนั้นแทบไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ในวันข้างหน้าที่คนทั้งคู่เข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาตินั้น จะได้รับประโยชน์ที่ตามมามากเพียงใด
ส่วนทายาทรุ่นเล็กของตระกูลหลิงนั้นนอกเหนือจากหลิงเลี่วยแล้ว แม้แต่หลิงซวี่ยังเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นเซียงเทียนเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
“ท่านคิดว่า..หลิงหยุนจะกล้าประกาศให้ตระกูลหลิงขึ้นเป็นตระกูลสูงสุดหรือไม่” โจวเหงินอี้เอ่ยถามเย่ชิงเฟิง พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“อาวุโสโจว..อย่าให้มากไปนัก! เฮ้อ.. ท่านอย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้เรื่องที่ท่านได้รับแหวนพื้นที่ และโอสถเยาว์วัยจากหลิงหยุน!”
“นี่..เรื่องพวกนี้ท่านเก็บไว้ในใจก็พอ อย่าได้นำออกมาป่าวประกาศเชียวล่ะ!!” โจวเหวินอี้เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงและแววตาที่ไม่พอใจนัก “อาวุโสโจว..หากข้าเดาไม่ผิด ท่านน้าจินเหยียวที่หลิงหยุนเอ่ยถึงเมื่อครู่ น่าจะเป็นคนสนิทของหยินชิงเฉวียนสินะ”
เมื่อได้ยินเย่ชิงเฟิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นนั้นโจวเหวินอี้จึงได้ตอบกลับเสียงเบา “เป็นนางจริงๆ..”
เย่ชิงเฟิงได้แต่รำพังรำพันออกมา“เด็กหลิงหยุนช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!! แม้แต่สาวใช้ของมารดา เขายังช่วยให้มาถึงขั้นนี้ได้!”
“ข้าว่าความแข็งแกร่งของหลิงหยุนไม่ได้มีเพียงแค่นี้แน่..”โจวเหวินอี้กระซิบตอบ
เย่ชิงเฟิงจึงหันไปถามยิ้มๆ“เช่นนั้นท่านว่า เวลานี้หลิงหยุนแข็งแกร่งถึงเพียงใดแล้ว”
โจวเหวินอี้ปรายตามองพร้อมตอบกลับไปว่า“ท่านถามข้า แล้วข้าจะไปถามผู้ใดได้เล่า อย่าบอกนะว่าเรื่องที่หลิงหยุนไปบุกเทียนซาน ท่านไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย..”
จากนั้นโจวเหวินอี้จึงได้แต่กล่าวเป็นนัยว่า“ตี๋เฮ่อหมิงซึ่งเป็นพ่อของตี๋เสี่ยวเจิน ผู้อารักขาของนาง ตี๋เฮ่ออี้ผู้เป็นลุงของนาง ซึ่งได้เก็บตัวฝึกวิชานานถึงสามปี รวมทั้งตัวตี๋เสี่ยวเจินเอง ทุกคนอยู่ในขั้นใดท่านเองย่อมรู้ดี..”
“แต่เพียงแค่ชั่วข้ามคืนสำนักกระบี่เทียนซานก็ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักกระบี่หลิงหยุน เช่นนี้แล้ว.. ท่านคิดว่าหลิงหยุนแข็งแกร่งพียงใดงั้นรึ”
เรื่องเหล่านี้..หลิงหยุนเองก็ไม่เคยบอกเล่าให้โจวเหวินอี้ฟังแม้แต่น้อย ฉะนั้นแล้ว ตำแหน่งหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภา คงจะไม่ใช่เพียงแค่นั่งเฉยๆเป็นแน่
เย่ชิงเฟิงแล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบ..
“การแสดงออกของท่านที่บ้านบรรพชนตระกูลหลิงก่อนหน้านี้ข้าเองยังนึกชื่นชมไม่น้อย และการที่ท่านยอมถอยออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ในเวลานี้ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมยิ่งนัก!”
ในระหว่างนั้นพนักงานก็เริ่มนำอาหารขึ้นมาเสริฟให้แขกตามโต๊ะต่างๆ แต่ดูเหมือนโจวเหวินอี้คงคร้านที่จะจับตะเกียบ และแสร้งทำเป็นจิบแต่ชา และสนทนากับเย่ชิงเฟิง เพราะพวกเขาต่างไม่ได้มาเพื่อกินอาหาร..
“หากท่านไม่ยอมถอยออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูลในเวลานี้ระหว่างท่านกับหลิงหยุนก็จะมีช่องว่างขวางกั้น และหลิงหยุนจะไม่ยอมสานสัมพันธ์กับท่านแน่ เมื่อถึงเวลานั้น ช่องว่างระหว่างท่านกับหลิงหยุน ย่อมไม่ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเย่กับตระกูลหลิงในวันข้างหน้าเป็นแน่..”
“แต่หลานชายของท่านแตกต่างกันเด็กนั่นดูเหมือนจะไม่กล้าขัดหลิงหยุน..”
“….”เย่ชิงเฟิงถึงกับพูดไม่ออก
“แต่..วิธีการที่ท่านใช้นั้น หากเปลี่ยนเป็นหลงฮ่าวหลาน ผลลัพธ์ย่อมไม่ออกมาเป็นเช่นนี้แน่ นี่ข้ายังไม่รู้ว่าเขาจะมาร่วมงานด้วยหรือไม่”
โจวเหวินอี้เอ่ยถามเป็นการปิดบทสนทนาของตน “เขาต้องมาแน่!”
เย่ชิงเฟิงเอ่ยตอบอย่างมั่นอกมั่นใจและสีหน้าท่าทางของเขายังคงสงบเยือกเย็น ทั้งสองคนหันไปมองหน้ากัน แต่แล้วจู่ๆสีหน้าของทั้งคู่ต่างก็เปลี่ยนไป!
ในเวลานั้นหลิงหยุนกำลังก้าวลงจากเวทีเหล่าอาวุโสที่นั่งอยู่แถวหน้าต่างก็เงยหน้าขึ้นมองพร้อมๆกัน
ทั้งหลิงลี่หลิงเสี่ยว และสมาชิกตระกูลหลิงที่จิตหยั่งรู้มีรัศมีไกลกว่าสามร้อยเมตร ต่างก็พากันลุกขึ้นยืนทันที
ทุกคนในห้องจัดเลี้ยงต่างก็เห็นภาพที่เกิดขึ้นคนธรรมดาทั่วไปแม้จะมองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายนอก แต่ก็สัมผัสได้ว่าคงมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และทุกคนต่างก็พากันหันมองไปทางประตูห้องจัดเลี้ยงเกือบจะพร้อมกัน
หลิงหยุนลุกขึ้นยืนพร้อมกับกำหมัดก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ข้าจะออกไปต้อนรับเอง!” แต่แล้วกลับมีเสียงดังเข้ามาในหูของหลิงหยุน–ไม่ต้องออกมาต้อนรับข้า ข้ามาเพื่อนำของขวัญมาส่งมอบให้เท่านั้น–
หลิงหยุนจำต้องล้มเลิกความตั้งใจและผู้ที่มาก็คือหัวหน้าอาวุโสของหน่วยมังกร จ้าวซิงหวู่นั่นเอง!
ไม่นานนัก..ร่างของจ้าวซิงหวู่ก็ปรากฏขึ้น และกำลังเดินตรงเข้ามาภายในห้องจัดเลี้ยง ทันทีที่เขาก้าวเดินเข้ามาในห้อง แขกมากกว่าครึ่งตางก็พากันลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียงกัน!
“นี่เขามาด้วยงั้นรึ”
ทุกคนได้แต่พากันร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจและแขกมากกว่าครึ่งห้องที่รู้จักจ้าวซิงหวู่ และรู้ว่าเขาคือหัวหน้าอาวุโสของหน่วยมังกร
หลังจากเดินเข้ามาภายในห้องจัดเลี้ยงแล้วจ้าวซิงหวู่ก็เพียงแค่พยักหน้าให้กับโจวเหวินอี้ และเย่ชิงเฟิงเป็นการทักทายเท่านั้น เขาเดินตรงเข้าไปหาหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “หลิงหยุนท่านผู้นำรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดท่านพ่อของเจ้า แม้อยากจะมาร่วมงานด้วยตนเอง แต่ก็ไม่สามารถหาเวลามาได้ จึงได้ให้ข้านำอักษรนี้มามอบให้แทน”
เสียงของจ้าวซิงหวู่แม้จะไม่ดังนักแต่ทุกคนในห้องกลับได้ยินกันอย่างชัดเจน เขายื่นม้วนอักษรให้พร้อมกับเอ่ยต่อ
“หลังจากข้ากลับไปแล้วเจ้าจึงค่อยเปิดอักษรนี้ต่อหน้าทุกคน ท่านผู้นำขอกว่าหลังจากเจ้าเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ให้ไปพบท่านผู้นำด้วย”
หลิงหยุนพยักหน้าแทนคำตอบ..
จากนั้นจ้าวซิงหวู่ก็หันไปทักทายหลิงลี่“ผู้เฒ่าหลิง.. ยินดีด้วย!”
แต่ยังไม่ทันที่หลิงลี่จะได้ตอบอันใดจ้าวซิงหวู่ก็เอ่ยขึ้นว่า “ลาก่อน” แล้วหันหลังเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร