บทที่ 1535 : เผชิญหน้า
“ท่านลุงหลิงในเมื่อวันนี้เป็นวันเกิดของน้องหลิงเสี่ยวทั้งที เหตุใดจึงไม่บอกกล่าวให้ข้ารู้บ้างเล่า ทำให้ข้าต้องฉุกละหุกจัดหาของขวัญกะทันหัน จึงได้มาถึงงานล่าช้า..”
หลงฮ่าวหลานก้าวเดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงท่ามกลางสายตาของแขกเหรื่อนับพันแล้วจึงร้องทักทายหลิงลี่ด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
และเพียงแค่ได้เห็นผู้ที่เข้ามาใหม่แวบแรกหลายคนในห้องถึงกับลุกขึ้นยืนในทันที!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแขกที่อยู่ในโลกยุทธภพเว้นเพียงแค่โจวเหวินอี้กับเย่ชิงเฟิงเท่านั้น ที่เหลือล้วนลุกขึ้นยืนกันหมด
และนี่คือปฏิกิริยาที่ทำไปโดยสัญชาติญาณของมนุษย์!
นั่นเพราะหลงฮ่าวหลานมีรัศมีที่ทรงพลังและน่าเกรงขามจนเกินไป! หลงฮ่าวหลานเป็นผู้นำตระกูลหลงคนปัจจุบันและเหล่าชาวยุทธต่างก็รู้กันดีว่า ตลอดระยะเวลากว่าห้าสิบปีมานั้น หลงฮ่าวหลานได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดคนหนึ่ง ในวัยเพียงแค่สิบปี เขาก็สามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ และเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-9 ได้ในวัยเพียงแค่สิแปดปีเท่านั้น ในวัยยี่สิบสี่ปีก็สามารถเข้าสู่ระดับสามของขั้นพลังเหนือธรรมชาติได้ และในวัยสามสิบหกปีก็เข้าสู่จุดสูงสุดระดับหกของขั้นเดียวกันนี้ได้!
แต่ถึงอย่างนั้นข้อมูลเหล่านี้ก็มิได้อยู่ในสายตาของหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย นั่นเพราะในวัยเดียวกับหลงฮ่าวหลาน เขาก็สามารถก้าวหน้าได้เหนือกว่าหลงฮ่าวหลานมากนัก และที่สำคัญ.. เขายังคงก้าวหน้าและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งอีกด้วย!
แตกต่างจากเย่ชิงเฟิงด้วยอุปนิสัยและบุคลิกส่วนตัวของเขา ทำให้ไม่ค่อยได้ไปปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนนัก ฉะนั้น ชื่อเสียงของหลงฮ่าวหลานจึงค่อนข้างเป็นที่รู้จัก และไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิงหยุนเวลานี้เลย
ด้วยท่าทางที่องอาจน่าเกรงขามของหลงฮ่าวหลานผู้ใดเล่าที่จะกล้าไม่ให้หน้าหลงฮ่าวหลาน
ยิ่งไปกว่านั้นหลงฮ่าวหลานก็เป็นถึงผู้นำของตระกูลอันดับสูงสุดของประเทศนี้ และอยู่ในตำแหน่งนี้มานานถึงยี่สิบห้าปี หลังจากที่แต่งงานมีบุตรแล้ว เขาก็แทบจะไม่เคยได้ประมือกับผู้ใดอีกเลย แต่จงใจสร้างอำนาจบารมีในหมู่ชาวยุทธ ด้วยการช่วยสะสางปัญหาระหว่างสำนักต่างๆให้ จนกระทั่งได้รับความนับหน้าถือตาจากเหล่าชาวยุทธมากมาย
เช่นนี้แล้วคนเหล่านั้นเมื่อได้เห็นหน้าหลงฮ่าวหลาน มีหรือที่จะเพิกเฉยไม่เห็นแก่หน้าเขาได้!
แม้หลิงหยุนเพิ่งจะประกาศว่าตนได้นำพาตระกูลหลิงขึ้นเป็นตระกูลอันดับสูงสุดของประเทศนี้ได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การประกาศ แต่หลงฮ่าวหลานนั้นอยู่ในจุดนั้นมานานนับสิบๆปี
แม้เวลานี้ตระกูลหลงจะเริ่มอ่อนแอลงแต่เหล่าชาวยุทธก็ยังไม่อาจแยกแยะได้แน่แท้ว่า ฝ่ายใดจะแข็งแกร่งกว่าฝ่ายใดเป็นแน่
อย่าว่าแต่เหล่าชาวยุทธทั้งหมดในห้องจัดเลี้ยงเลยแม้แต่คนใหญ่คนโตจากวงการต่างๆ ที่นั่งอยู่โต๊ะแถวหน้าทั้งสามแถว ยังถึงกับลุกขึ้นยืนพร้อมกันในทันทีเช่นกัน
นั่นเพราะหลงฮ่าวหลานหาได้เป็นที่รู้จักเฉพาะในโลกยุทธภพแต่ในวงการธุรกิจต่างๆของโลกปัจจุบันนั้น ตระกูลหลงก็ยังนับเป็นอันดับหนึ่งด้วย ฉะนั้น เมื่อหลงฮ่าวหลานปรากฏตัวเช่นนี้ พวกเขาจึงต้องลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงการให้เกียรติต่อหลงฮ่าวหลาน
หากมิทำเช่นนั้นผู้ที่ตกที่นั่งลำบากกลับจะมิใช่หลงฮ่าวหลาน แต่จะเป็นพวกเขาเองต่างหากเล่า..
ในโลกใบนี้ใช่ว่าทุกคนจะไม่แยแสต่อกฏเกณฑ์ดังเช่นหลิงหยุนได้! ……
เมื่อครั้งที่อยู่ทะเลสาบผอหยางหลิงหยุนเคยถามเย่ชิงซินถึงขั้นพลังของหลงฮ่าวหลาน แต่นางเองก็ไม่สามารถตอบได้แน่ชัด นางรู้เพียงแค่ว่าหลงฮ่าวหลานสะกัดกั้นขั้นพลังของตนไว้ที่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) มาเป็นเวลานานกว่าสิบปีแล้ว แต่ความแข็งแกร่งของเขากลับเทียบเท่ายอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นชีเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-7) หรืออาจสูงกว่านั้นเล็กน้อย
แต่เวลานี้เพียงแค่หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้ของตนสำรวจดู เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเย่ชิงซินคาดเดาผิดพลาดไปอย่างมาก!
‘หากเขาต้องการทะลวงขั้นย่อมสามารถเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานได้อย่างง่ายดาย และสามารถสังหารยอดฝีมือที่เหนือกว่านั้นได้!’
หลิงหยุนแอบประเมินความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหลงฮ่าวหลานอยู่ในใจ..
เป็นธรรมดาที่ผู้ฝึกบ่มเพาะพลังจะไม่สามารถมองเห็นขั้นพลังของอีกฝ่ายที่เหนือกว่าได้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการคาดเดา และประเมินเอาเองเท่านั้น แต่ยิ่งช่องว่างห่างกันมากเท่าใด ก็จะยากต่อการประเมินมากขึ้นเท่านั้น
เช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไปที่มีเงินเดือนเพียงแค่เดือนละห้าพันหยวนย่อมยากที่จะประเมินทรัพย์สินเงินทองของคนที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศได้..
แต่เวลานี้หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) เช่นเดียวกับหลงฮ่าวหลานแล้ว และได้เคยสังหารยอดฝีมือในขั้นก่อสร้างรากฐานมาแล้ว จึงนับว่าช่องว่างระหว่างคนทั้งคู่นั้นมีไม่มากนัก จึงสามารถประเมินได้ใกล้เคียง
หลิงหยุนรู้ดีว่าสมาชิกตระกูลหลงฝึกบ่มเพาะพลังด้วยวิชาบัญชามังกรซึ่งเป็นวิชาประจำตระกูลหลง และหากหลงฮ่าวหลานใช้วิชามังกรพิโรธ เขาย่อมสามารถสังหารยอดฝีมือที่เหนือกว่าได้อย่างไม่ยากนัก
‘ดูเหมือนความแข็งแกร่งของหลงฮ่าวหลานจะเหนือกว่าหลงลั่วอวี๋ผู้เป็นพ่อแล้ว..’
หลิงหยุนแอบครุ่นคิดอยู่ในใจแต่มิได้รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย..
บุตรชายทั้งสองของหลงฮ่าวหลานก็ได้พ่ายแพ้ให้กับหลิงหยุนส่วนพี่ชายของเขาก็ถูกหลิงหยุนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน มิหนำซ้ำพ่อและลุงของเขายังถูกหลิงหยุนบดขยี้จนได้รับความอับอาย..
ฉะนั้นหลิงหยุนในเวลานี้ ยังมีเหตุผลใดต้องหวาดกลัวหลงฮ่าวหลานด้วยเล่า
หลงฮ่าวหลานอาศัยฐานะที่สูงส่งของตนเองเดินเข้าไปหาหลิงลี่เป็นคนแรก แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แต่มีหรือที่หลิงหยุนจะไม่รู้สึกประหลาดใจ..
เขามั่นใจว่าการที่หลงฮ่าวหลานมาช้านั้นเป็นความตั้งใจที่จะให้เป็นเช่นนั้นเสียมากกว่า และจงใจตำหนิตระกูลหลิงต่อหน้าทุกคนว่า ไม่บอกกล่าวให้เขารู้ล่วงหน้า..
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังอยู่ในอาการตกใจนั้นหลงฮ่าวหลานก็ได้ก้าวเดินเข้ามาภายในห้องจัดเลี้ยง และตรงเข้าไปที่โต๊ะซึ่งหลิงลี่ หลิงเสี่ยว หลิงเย่ว และสมาชิกตระกูลหลิงคนอื่นๆนั่งอยู่ หลิงลี่และสมาชิกตระกูลหลิงคนอื่นๆถึงกับผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ และตั้งใจที่จะเดินออกไปต้อนรับหลงฮ่าวหลานด้วยตัวเอง
หลิงหยุนไม่ตำหนิหลิงลี่และทุกคนในตระกูลเพราะตระกูลหลงนั้นได้ครอบงำตระกูลหลิงมานานร่วมสิบแปดปี ตระกูลหลิงได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลหลงมาตลอด จึงยากที่จะขจัดความรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณนี้ได้ในเวลาเพียงแค่ช่วงสั้นๆ
‘ดี!!ข้าจะได้อาศัยโอกาสนี้ทำลายความรู้สึกของคนตระกูลหลิง ที่เคยพึ่งพาตระกูลหลงให้หมดสิ้นลงไปเสียที ข้าจะปลดปล่อยจิตใจของทุกคนในตระกูลหลิงให้เป็นอิสระ..’
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงได้บอกกับหลิงลี่ผ่านทางกระแสจิต–ท่านปู่ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าจัดการเอง– จากนั้นหลิงหยุนก็ได้พุ่งไปยืนขวางทางเดินไว้ในทันที พร้อมกับยิ้มกว้าง และเวลานี้ทั้งหลงฮ่าวหลานกับหลิงหยุนก็ได้ยืนเผชิญหน้ากันอยู่..
“ท่านลุงหลงคุนเหตุใดจึงไม่บอกข้าล่วงหน้าว่าท่านจะมาร่วมงานด้วย หาไม่แล้วข้าคงต้องส่งคนไปรับท่านลุงอย่างสมเกียรติเป็นแน่!”
หลิงหยุนปราดเข้าไปขวางหน้าหลงฮ่าวหลานแต่กลับปฏิบัติต่อเขาราวกับอากาศธาตุ และจงใจให้ความสำคัญกับหลงคุนมากกว่าหลงฮ่าวหลาน!
“เจ้านี่เริ่มแล้วสินะ..”
เย่เทียนสุ่ยยกมือขึ้นลูบใบหน้าพร้อมกับจ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความสนอกสนใจแต่ไม่ได้รู้สึกตกอกตกใจ เพราะเขาเริ่มคุ้นเคยกับท่าทางเช่นนี้ของหลิงหยุนแล้ว และเมื่อครู่หลิงหยุนก็ทำเช่นนี้กับเย่ชิงเฟิงเช่นกัน
เวลานี้..แม้แต่บรรยากาศภายในห้องจัดเลี้ยงเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด ทุกอย่างสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว ทุกคนต่างก็พากันกลั้นลมหายใจ และสายตาก็จับจ้องอยู่ที่ภาพการเผชิญหน้าระหว่างผู้กุมอำนาจของคนสองรุ่น
นั่นเพราะตั้งแต่หลงฮ่าวหลานเดินเข้ามายังมิได้มีการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการระหว่างหลิงหยุนกับหลงฮ่าวหลาน ทั้งคู่จึงยังอยู่ในฐานะของผู้ที่ไม่รู้จักกัน หรือจะเรียกว่าต่างฝ่ายต่างก็เป็นคนแปลกหน้าของกันและกันนั่นเอง
หลงฮ่าวหลานยังคงยืนด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่งใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ภายในใจได้แต่คิดว่า ในเมื่อหลิงหยุนจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักตนเองเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายเริ่มทักทายเด็กรุ่นลูกเช่นหลิงหยุน
แม้จะดูเหมือนกับว่าหลงฮ่าวหลานมิได้เคลื่อนไหวใดๆแต่ร่างของเขาก็เคลื่อนที่ไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ส่วนหลิงหยุนซึ่งกำลังคุยกับหลงคุน และดูเหมือนไม่ใส่ใจกับหลงฮ่าวหลานนั้น ร่างของเขากลับขยับไปขวางหน้าหลงฮ่าวหลานไว้ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน หลงฮ่าวหลานยิ้มออกมาเล็กน้อย..
ร่างของหลงฮ่าวหลานเคลื่อนที่ไปมาอีกราวเก้าครั้งแต่ก็เป็นไปอย่างรวดเร็วจนสายตาของคนธรรมดาไม่อาจมองเห็นได้ทัน และยังเห็นหลงฮ่าวหลานยืนอยู่ที่เดิม ส่วนหลิงหยุนเองก็สามารถไปยืนขวางหน้าหลงฮ่าวหลานได้ทุกครั้งไป
“เยี่ยม..เยี่ยมมาก!” เย่เทียนสุ่ยร้องอุทานออกมาพร้อมกับดวงตาเบิกกว้าง
“เด็กคนนี้..”เย่ชิงซินเองก็ได้แต่รำพึงรำพันออกมาด้วยความพอใจ
ส่วนโจวเหวินอี้และเย่ชิงเฟิงได้แต่ปรายตามองซึ่งกันและกันพร้อมกับส่ายหน้าไปมา พวกเขาทั้งสองคนต่างก็รู้ว่า หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาคนใดคนหนึ่งไปยืนขวางหน้าหลงฮ่าวหลานเช่นนั้น ก็ยังยากที่จะขัดขวางหลงฮ่าวหลานได้ หลิงหยุนไม่เพียงทำได้ แต่ท่าทีของเขายังผ่อนคลายไร้ซึ่งความกดดันอีกด้วย
“ท่านลุงหลงคุนไม่ได้พบกันเสียนาน ท่านเป็นเช่นใดบ้าง” หลิงหยุนเอ่ยทักทายหลงคุนถึงสองครั้งสองคราแต่หลงคุนกลับไม่สามารถเอ่ยตอบได้ เพราะพลังปราณกดดันรอบตัว ทำให้เขาไม่สามารถแม้แต่จะอ้าปากเอ่ยคำพูดใดออกมาได้
แต่แล้วจู่ๆหลงคุนก็รู้สึกว่าร่างของตนนั้น ได้ถูกกระชากออกจากกรงที่มองไม่เห็นนี้อย่างรุนแรง และเวลานี้ร่างของเขาก็ได้ไปยืนอยู่ด้านหลังของหลิงหยุน
หลงฮ่าวหลานเห็นหลงคุนถูกหลิงหยุนกระชากออกไปเช่นนั้นก็มิได้คิดที่จะห้ามปราม และหยุดความคิดที่จะก้าวข้ามหลิงหยุนซึ่งยืนขวางหน้าอยู่ เขาเพียงแค่ยืนนิ่งๆด้วยสีหน้าที่ยังคงเรียบเฉยเช่นเคย
“หลิงหยุนข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก คนผู้นี้คือ..”
ในขณะที่หลงคุนกำลังจะเอ่ยปากแนะนำหลงฮ่าวหลานนั้นหลิงหยุนก็พูดแทรกขึ้นมาทันที
“เสี่ยวอู๋..เจ้ายังนิ่งรออะไร ยังไม่รีบมาพาท่านลุงหลงคุนไปนั่งอีกรึ!”
หลิงหยุนจงใจเอ่ยขัดหลงคุนขึ้นในทันทีในเมื่อเวลานี้คนก็อยู่ในสภาพปลอดภัย มีเรื่องอะไรไว้ค่อยสนทนากันทีหลัง และที่สำคัญ เขาไม่ต้องการให้หลงคุนแนะนำหลงฮ่าวหลานในเวลานี้
“ท่านลุงหลงคุนเชิญตามข้ามา” ตี้เสี่ยวอู๋กระโดดเข้ามาพาหลงคุนออกไปอย่างรวดเร็ว จนแทบจะออกแรงดันร่างของหลงคุนด้วยซ้ำ
และเวลานี้ด้านหน้าภายในห้องจัดเลี้ยง ก็เหลือเพียงแค่หลิงหยุน ซึ่งกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่กับสองพ่อลูกตระกูลหลงเพียงลำพังเท่านั้น
“หลิงหยุนเจ้าทำเช่นนี้หมายความเช่นใดกัน พวกเรามาที่นี่เพื่อนำของขวัญมามอบให้กับเจ้า มีเหตุผลอันใดเจ้ายังต้องยืนขวางหน้าอยู่เช่นนี้?”
หลังจากที่ถูกหลิงหยุนขัดขวางหลงเทียนซิงก็ไม่อาจอดทนต่อไปได้อีก จึงได้แต่เอ่ยปากถามขึ้น และเขาเองย่อมต้องรู้จักหลิงหยุนอย่างแน่นอน!
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน”
หลิงหยุนยืนเอามือล้วงกระเป๋าพร้อมกับเอ่ยถามหลงเทียนซิงโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองหลงฮ่าวหลาน
หลงเทียนซิงถึงกับอึ้งไปเขาโกรธมากและต้องการที่จะเอ่ยต่อ แต่กลับถูกหลงฮ่าวหลานห้ามปราม
“เทียนซิง..เจ้าหุบปากได้แล้ว!”
หลงฮ่าวหลานจ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยตอบยิ้มๆ “ข้าคือหลงฮ่าวหลาน ผู้นำตระกูลหลงคนปัจจุบัน!”
“อ่อ..ที่แท้ก็ผู้นำตระกูลหลงนี่เอง!” หลิงหยุนเอ่ยตอบด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง ไม่แม้แต่จะประหลาดใจ
“ที่แท้เจ้าก็คือหลิงหยุนหรอกรึ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร