บทที่ 1539 : ก่อนรับทัณฑ์สวรรค์
แทบไม่ต้องสงสัย..หลังจากงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของหลิงเสี่ยว แผนผังตระกูลใหญ่ของประเทศนี้ก็ได้เปลี่ยนไปในทันทีเช่นกัน
และเวลานี้ตระกูลหลิงก็ได้ขึ้นไปอยู่ในอันดับสูงสุดของแผนผัง!
ที่สำคัญทั้งสามตระกูลซึ่งได้แก่ตระกูลฉิน ตระกูลเกา ตระกูลหลี่ ก็ล้วนแล้วแต่ประกาศตัวเป็นพันธมิตรกับตระกูลหลิงทั้งสิ้น
ส่วนตระกูลเย่นั้นแม้ว่าจะมิได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ แต่จากที่หลายคนเห็น ตระกูลเย่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลหลิงมากขึ้นเรื่อยๆ และเวลานี้ บุคคลสำคัญของตระกูลเย่ถึงสี่คนสองรุ่น ก็ได้มาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย และนั่นได้บ่งบอกถึงสัญญาณบางอย่างชัดเจน
กระทั่งหัวหน้าอาวุโสหน่วยนภาอย่างโจวเหวินอี้เองก็แสดงท่าทีชัดเจนว่าพร้อมสนับสนุนตระกูลหลิง
แม้แต่จ้าวซิงหวู่หัวหน้าหน่วยมังกรยังนำของขวัญมาส่งมอบให้หลิงหยุนด้วยตนเอง การกระทำเช่นนั้นย่อมบ่งบอกความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่
ครั้นผู้นำตระกูลหลงซึ่งเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของประเทศปรากฏตัวขึ้นในงานเลี้ยงกลับถูกหลิงหยุนขับไล่ออกจากงานอย่างไม่ไว้หน้า จนถึงกับต้องจากไปด้วยความอับอาย
ทั้งหมดนี้พิสูจน์แล้วว่าตระกูลหลิงได้ขึ้นสู่อันดับสูงสุดของประเทศนี้อย่างไร้ข้อกังขา และแม้แต่ตระกูลหลงเองยังมิอาจหยุดยั้งได้ กระทั่งหลงฮ่าวหลานเดินทางมาด้วยตัวเองยังไร้ซึ่งประโยชน์
เวลานี้ตระกูลหลงถึงคราวเสื่อมและถดถอยแม้แต่อนาคตข้างหน้ายังไม่แน่นอน ในขณะที่ตระกูลหลิงกลับเปล่งประกายสุกสว่าง และบดบังแสงของตระกูลหลงจนมืดมิด อนาคตของตระกูลหลิงเวลานี้ เรียกได้ว่าเจิดจรัสยิ่งนัก! และอย่างน้อยแขกเหรื่อนับพันที่มาในงานเลี้ยง ต่างก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน!
แต่ในขณะเดียวกันทุกคนต่างก็ครุ่นคิดว่า ในวันข้างหน้าหากตระกูลหลิง และตระกูลหลงเกิดต่อสู้กันจริงๆ ก็ยังไม่แน่ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายถูกสังหารกันแน่..
หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลงแล้ว..
แขกในงานที่อยู่ในปักกิ่งต่างก็ทยอยกันกลับ ในขณะที่เหล่าชาวยุทธต่างก็แยกย้ายไปพักตามโรงแรม หรือสถานที่อื่นๆในปักกิ่งแทน ไม่มีผู้ใดเลยที่พักในโรงแรมปังกูเซเว่นสตาร์
และปกติวิสัยของเหล่าชาวยุทธแล้วหากมิจำเป็น พวกเขาจะไม่อยู่ร่วมกันกับผู้อื่น เพราะนั่นเป็นเรื่องที่ไม่สะดวกยิ่งนัก ด้วยเหล่ายอดฝีมือในขั้นพลังเหนือธรรมชาติ หรือแม้แต่ในด่านสุดท้ายขั้นเซียงเทียน ทุกคนล้วนแล้วแต่มีประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ว่องไว และกว้างไกล
ฉะนั้นหลังจากงานเลี้ยงจบสิ้นลงแล้วเหล่าชาวยุทธต่างก็พากันแยกย้ายในทันที และมีเพียงกลุ่มคนที่มาจากจิงฉูเท่านั้นที่พักอยู่ที่โรงแรมปังกูเซเว่นสตาร์แห่งนี้
นั่นเพราะทุกคนจากจิงฉูล้วนเป็นทีมงานของหลิงหยุนทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นมู่หลงเวิ่นฉี เฉิงเทียน ซ่งเจิ้งหยาง และอีกหลายคน เวลานี้พวกเขาล้วนแล้วแต่ทำงานให้กับบริษัท หลิงหยุน คอร์ปอเรชั่น ฉะนั้น การเดินทางมาของพวกเขาในครั้งนี้ จึงหาใช่เพียงเพื่อมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของหลิงเสี่ยวเท่านั้น แต่ยังมาเพื่อปรึกษาหารือเรื่องธุรกิจกับหลิงเย่วด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงเหล่านักธุรกิจในโลกของผู้คนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ที่กลายเป็นลูกค้าของโรงแรมปังกูเซเว่นสตาร์แห่งนี้ นั่นเพราะพวกเขาต่างก็รู้จักซึ่งกันและกัน และสามารถอยู่ร่วมกันได้
เหตุผลสำคัญที่เหล่านักธุรกิจต้องพักอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าการที่ตระกูลหลิงได้รับมอบกิจการต่างๆกลับคืนจากตระกูลเย่และตระกูลหลงจำนวนมากนั้น ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจในประเทศนี้ไปอย่างมากมาย และเวลานี้ตระกูลหลิงก็ได้กลายมาเป็นตระกูลที่กุมกิจการ และธุรกิจต่างๆเหล่านั้นแทน
ด้วยเหตุนี้เหล่านักธุรกิจจึงต้องการพักอยู่ที่โรงแรม เพื่อที่จะรอคอยพบหลิงเย่วนั่นเอง..
ฉะนั้นแล้วนับจากนี้ไปหลิงเย่วคงจะต้องยุ่งจนไม่มีเวลาเลยทีเดียว หลังจากสิ้นสุดงานเลี้ยง ทั้งหลิงเย่ว เหล่ากุ่ย และต่งซานชวน จึงต้องอยู่ที่โรงแรมเพื่อพบปะกับเหล่านักธุรกิจต่างๆต่อ
แต่ถึงแม้ทั้งสามคนจะเหน็ดเหนื่อยอย่างมากแต่พวกเขากลับมีความสุขยิ่งนัก เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับตระกูลหลิงมานับทศวรรษแล้ว!
……
หลิงลี่หลิงเสี่ยว และจินเหยียว ทั้งสามคนจะต้องเข้ารับทัณฑ์สวรรค์ในคืนนี้ จึงได้กลับไปที่บ้านบรรพชนตระกูลหลิงเสียก่อน สำหรับพวกเขางานเลี้ยงเป็นเพียงแค่เรื่องของหน้าตา แต่การสร้างพลังบ่มเพาะที่แข็งแกร่งต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ
ส่วนหลิงหยุนนั้นหลังจากที่กลับไปถึงบ้านตระกูลหลิงแล้ว เขาก็ได้จัดการสร้างค่ายกลขึ้นภายในบ้านเช่นเดิม และจัดการนำหลิวเทวะวิญญาณกลับมาปลูกไว้ดังเดิม แต่ครั้งนี้หลิงหยุนได้นำหลิวเทวะวิญญาณออกมาปลูกไว้ถึงสองต้น ต้นหนึ่งปลูกไว้ในสวนชั้นที่ห้า ส่วนอีกต้นปลูกไว้ในสวนชั้นที่หก
ทันทีที่หลิงหยุนปลูกหลิวเทวะวิญญาณทั้งสองต้นลงไปปราณเสวียนหวงก็ได้แผ่ซ่านเต็มพื้นที่ภายในบ้านบรรพชนตระกูลหลิงอย่างรวดเร็ว!
และครั้งนี้หนาแน่นกว่าเดิมนับสิบเท่า!
นั่นเพราะหลิวเทวะวิญญาณต้นที่อยู่ในร่างกายของหลิงหยุนนั้นเวลานี้มีลำต้นสูงใหญ่ และแผ่กิ่งก้านสาขาจนครอบคลุมพื้นที่ภายในสวนกว่าครึ่งหนึ่ง
–ท่านปู่ท่านพ่อ ท่านน้าจินเหยียว..– หลังจากปลูกหลิวเทวะวิญญาณเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนก็ได้บอกกับคนทั้งสามว่า
–พวกท่านทั้งสามมิจำเป็นต้องแยกกันฝึกฝนพวกท่านมารวมกันอยู่ใต้หลิวเทวะวิญญาณต้นนี้จะดีกว่า–
พรึบ..พรึบ.. พรึบ..
จากนั้นทั้งสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าหลิงหยุนทันที และเมื่อมาถึงหลิงลี่ก็รีบเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มขื่น
“หยุนเอ๋อ..เจ้านำหลิวเทวะวิญญาณออกมาเวลานี้ ข้าแทบจะยับยั้งขั้นพลังมิให้ทะลุทะลวงไว้ได้!”
แม้ว่าวันนี้หลิงลี่จะดื่มเหล้าเข้าไปมากแต่ในระหว่างที่เดินทางกลับ เขาก็ได้ทำการขับแอลกอฮอล์ออกจากร่างจนหมดแล้ว
หลิงเสี่ยวและจินเหยียวเองก็ได้แต่ยืนยิ้มขื่นเช่นกันเห็นได้ว่าทั้งคู่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับหลิงลี่ หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า“นี่เป็นเวลาห้าโมงเย็นเท่านั้น ยังต้องรออีกอย่างน้อยสองชั่วโมงจึงจะทำการรับทัณฑ์สวรรค์ได้ แต่ก็มิอาจระบุเวลาที่แน่นอนได้ว่าจะเป็นเมื่อใด การรับทัณฑ์สวรรค์คือการรับอสุนีบาตด้วยกายเนื้อ พวกท่านคงจะเข้าใจเรื่องนี้ดี..”
หลิงลี่นั่งลงขัดสมาธิใต้ต้นหลิวเทวะวิญญาณพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“อืมม.. เช่นนั้นคงต้องปรับร่างกายไว้รอ!”
หลิงเสี่ยวและจินเเหยียวเองก็นั่งลงขัดสมาธิใต้ตนหลิวเทวะวิญญาณ และเริ่มปรับร่างกายเช่นกัน
บูม!
ดูเหมือนว่าหลิงหยุนจะยังไม่พอใจเขายกฝ่ามือขึ้น พร้อมกับปลดปล่อยเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยาง เข้าปกคลุมบริเวณที่คนทั้งสามนั่งอยู่ เพื่อช่วยบ่มเพาะกายาของพวกเขาให้แกร่งขึ้นมากกว่าเดิมด้วย
“ท่านปู่ท่านพ่อ ท่านน้าจินเหยียว พวกท่านทั้งสามนั่งฝึกอยู่ที่นี่ไปก่อน รออีกราวสามชั่วโมง ข้าจะกลับมา..”
จากนั้นหลิงหยุนก็ไปที่สวนด้านหน้าทันที ของขวัญต่างๆยังคงกองพะเนินเป็นภูเขา ซึ่งเวลานี้ทั้งเกาเฉินเฉิน หลิงซิ่ว หลิงซวี่ และอีกหลายๆคน ต่างกำลังช่วยกันคัดแยกกองของขวัญขนาดใหญ่นั้นอยู่
“ข้าไม่สนใจของขวัญจากพวกนักธุรกิจทั่วไปนักคัดแยกของขวัญจากชาวยุทธภพออกมาไว้ต่างหาก!” หลิงหยุนเอ่ยบอกยิ้มๆ
ทั้งหลิงหยุนและทุกคนต่างก็ช่วยกันคัดแยก ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ก็สามารถคัดแยกได้เสร็จ
“ท่านผู้นำตระกูลมีทรัพยากรสำหรับการฝึกมากมายเลยทีเดียว คงจะใช้ไปได้อีกนานเป็นแน่!”
หลิงชีจ้องมองกองของขวัญจากเหล่าชาวยุทธซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นทรัพยากรสำหรับฝึกฝนทั้งสิ้น พร้อมกับร้องบอกหลิงหยุนด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ หลิงหยุนถึงกับหัวเราะร่วนและตอบกลับไปว่า “เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่ว่า นับจากนี้ไปตระกูลหลิงของเราจะไม่ขาดแคลนทรัพยากรสำหรับฝึกฝนอีกต่อไปแล้ว แต่เมื่อใดที่พวกเจ้าเข้าสู่ขั้นพลังชี่แล้วล่ะก็ พวกเจ้าจะรู้ว่าทรัพยากรที่เจ้าเห็นว่ามากมายนี้ กลับเป็นเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น..”
หลิงอี๋เอ่ยถามด้วยความสงสัย“ท่านผู้นำตระกูล พวกเราสามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้ด้วยงั้นรึ”
“เจ้าตั้งคำถามผิดแล้ว..เจ้าควรต้องถามว่า ผู้ใดจะเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้ก่อนต่างหากเล่า และผู้ใดที่เข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้เป็นคนแรก ข้าจะหลอมกระบี่เหินให้เป็นรางวัล..”
เมื่อได้ยินเช่นนี้นักรบตระกูลหลิงถึงกับส่งเสียงร้องตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกัน
“น้อมรับคำสอนท่านผู้นำตระกูล!”
หลิงหยุนเหลือบมองไปทางสวนด้านหลังพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “เวลานี้ ที่สวนด้านในของบ้านบรรพชนตระกูลหลิง มีพลังชีวิตหนาแน่นมากกว่าเดิมนับสิบเท่า พี่หลิงซิ่ว เฉินเฉิน และทุกคน พวกเจ้ารีบหาเวลาไปฝึกฝนที่นั่นได้..”
นั่นเพราะหลังจากที่ทั้งสามคนรับทัณฑ์สวรรค์แล้วหลิงหยุนคงต้องนำหลิวเทวะวิญญาณติดตัวไปด้วยเช่นเคย..
“ซวี่เอ๋อ..เจ้ามากับเข้า!”
หลิงหยุนเดินนำหลิงซวี่ไปที่ห้องประชุมเพียงลำพัง
“พี่ใหญ่..เหตุใดจึงดูลับลมคมในเช่นนี้ มีอะไรต้องคุยกับข้าตามลำพังงั้นรึ ข้าอยากจะรีบไปฝึกวิชา..” หลิงซวี่เอ่ยถามด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ
หลิงหยุนจัดการวางค่ายกลเพื่อมิให้ผู้ใดใช้จิตหยั่งรู้แอบฟังได้จากนั้นจึงสั่งให้หลิงซวี่นั่งลง แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ซวี่เอ๋อ..ตั้งแต่ข้ากลับมาก็มีแต่เรื่องยุ่งๆ จึงไม่มีเวลาที่จะได้บอกให้เจ้ารู้ล่วงหน้า วันนี้.. เจ้าคงได้ยินข้าประกาศเรื่องที่จะไปช่วยท่านแม่แล้ว!”
หลิงหยุนจ้องมองหลิงซวี่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด“เจ้ารู้สึกอึดอัด หรือค้างคาใจในเรื่องนี้บ้างหรือไม่”
“อ่อ!!”
หลิงซวี่ยิ้มกว้างอย่างงดงามแล้วจึงเอ่ยตอบไปว่า “พี่ใหญ่ นี่พี่เรียกข้ามาเพื่อที่จะคุยเรื่องนี้เองหรอกรึ”
หลิงหยุนเอ่ยตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความกังวลใจ“ถูกต้อง!”
หลิงซวี่มองค้อนพร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า“พี่ใหญ่ พี่คิดมากเกินไปแล้ว ข้าเพิ่งจะบอกกับท่านพ่อว่า หากจะไปช่วยท่านป้า ต้องพาข้าไปด้วย แต่ท่านมาถามข้าเช่นนี้ ข้าโกรธท่านจริงๆด้วย!”
“….”หลิงหยุนได้แต่นิ่งอึ้งไป
“ท่านป้างั้นรึ!!”
หลิงซวี่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า“ใช่! ท่านแม่บอกให้ข้าเรียกนางว่าท่านป้า เว้นแต่ว่านางจะยินยอมให้ข้าเรียกว่าท่านแม่ได้..”
“…”หลิงหยุนถึงกับนิ่งอึ้งไปอีกครา
นี่หมายความว่า..เขาเป็นผู้ที่คิดกังวลใจไปเองหรือนี่!
“ใครบอกเจ้ากันเล่าข้ามิได้เรียกเจ้ามาเพื่อมาคุยเรื่องนี้เรื่องเดียว!”
หลิงหยุนเอ่ยตอบและเพื่อเป็นการกลบเกลื่อนความเก้อเขินของตนเอง หลิงหยุนจึงได้นำกระบี่เหินออกมามอบให้กับหลิงซวี่
“นี่เป็นกระบี่เหินซึ่งเป็นของวิเศษระดับวิญญาณหลังจากเจ้ารับไปแล้ว ก็จัดการหยดเลือดแสดงความเป็นเจ้านายของมันได้ หลังจากที่เจ้าเข้าสู่ขั้นพลังชี่เมื่อใด ก็จะสามารถใช้มันได้ทันที..
“โอ้โห!!ขอบคุณท่านมากพี่ใหญ่!”
หลิงซวี่ร้องออกมาด้วยความดีอกดีใจพร้อมกับรับกระบี่เหินเล่มนั้นไป จากนั้นหลิงหยุนจึงเอ่ยต่อว่า
“เอาล่ะเจ้ายังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่ขอเพียงเจ้าเอ่ยมา ข้าจะมอบให้เจ้าทันที!”
หลิงซวี่เอ่ยตอบยิ้มๆ“ข้าไม่ต้องการอะไร.. ข้าเพียงแค่อยากเร่งฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่ง และรอคอยวันที่จะติดตามท่านไปพรรคมารเพื่อช่วยท่านป้า!”
จากนั้นหลิงซวี่ก็ขยิบตาให้หลิงหยุน พร้อมกับวิ่งออกจากห้องไปทันที
หลิงหยุนได้หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร