บทที่ 1548 : วิชาถอดศรีษะ
ระหว่างเกาะโกโลอานีและเกาะฮ่องกงนั้นยังมีเกาะเล็กเกาะน้อยอยู่อีกมากมาย แต่จะมีเกาะใหญ่สี่เกาะที่อยู่ติดกับเกาะโกโลอานีมากที่สุด และตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเกาะโกโลอานี แต่ละเกาะนั้นมีพื้นที่ราวสิบกว่าตารางกิโลเมตร
และทางด้านทะเลด้านตะวันออกที่หลิงหยุนพูดถึงก็คือที่นี่นั่นเอง!
ห่างจากชายฝั่งด้านตะวันออกของเกาะโกโลอานีไปราวหนึ่งกิโลเมตรมีสปีดโบ๊ทลำใหญ่จอดอยู่ และดับเครื่องไว้
แต่หลังจากที่ศรีษะนั้นถูกกระบี่เหินของหลิงหยุนแทงทะลุปักเข้ากับพื้นสปีดโบ๊ทลำนั้นก็ได้สตาร์ทเครื่อง และขับพุ่งออกไปทางทิศตะวันออกเต็มกำลังแรงม้า
แต่ถึงแม้ว่าสปีดโบ๊ทลำนั้นจะเร่งไปด้วยความเร็วสูงสุดแล้วแต่กระบี่กังฉีของหลิงหยุนดูเหมือนจะเร็วยิ่งกว่า! เวลานี้กระบี่กังฉีของหลิงหยุนจัดอยู่ในยุทธภัณฑ์ขั้นสมบัติระดับสูงบังคับควบคุมผ่านทางความคิด จึงสามารถเคลื่อนที่ไปได้อย่างรวดเร็ว และคล่องแคล่ว ความเร็วของกระบี่กังฉีเวลานี้ เร็วกว่าเสียงถึงแปดเท่า ในหนึ่งวินาทีสามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลถึงสามกิโลเมตร!
ยิ่งไปกว่านั้นกระบี่กังฉียังเกิดจากการควบแน่นของพลังหยินและหยางที่บริสุทธิ์ ซึ่งควบแน่นจนเป็นเกล็ดแข็งรูปกระบี่ ทำให้หลิงหยุนสามารถสังหารศัตรูได้ โดยไม่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายด้วยซ้ำไป
กระบี่กังฉีมีขนาดเล็กเท่านิ้วชี้เท่านั้นจึงยากที่ศัตรูจะมองเห็นได้ อีกทั้งยังเคลื่อนไหวเงียบเชียบ ในยามค่ำคืนเช่นนี้ กระบี่กังฉีจึงกลืนไปกับความมืดมิดไม่ต่างจากปีศาจราตรี และกำลังพุ่งโฉบไปโฉบมาอยู่ภายในเรือ จนร่างไร้ศรีษะที่นั่งอยู่นั้นถึงกับมีรูเล็กๆเจ็ดแปดรูเต็มร่าง ก่อนจะพุ่งเข้าสู่จะตันเถียนของร่างไร้ศรีษะนั้น ภายใต้การควบคุมของหลิงหยุนหลังจากที่กระบี่กังฉีหายเข้าไปในจุดตันเถียนของร่างไร้ศรีษะแล้ว ก็ได้เปลี่ยนเป็นกระแสวนหยิน–หยางขนาดเท่าฝ่ามือ และเริ่มดูดซับเอาพลังปราณภายในร่างเข้าไปจนหมด
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้ใช้พลังจิตของตน เปลี่ยนกระแสวนหยิน–หยางให้เป็นกระบี่กังฉี พร้อมกับพุ่งทะยานออกมาจากท้องน้อยของร่างไร้ศรีษะนั้น และครั้งนี้ก็เห็นได้ชัดว่า กระบี่กังฉีมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึงสองเท่า
เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของหวังชงเซียวและแวมไพร์ทั้งห้าหลังจากที่กระโดดลงไปบนเรือแล้ว ร่างของชายที่กำลังขับเรือหนี ก็ถูกฝ่ามือของหวังชงเซียวซัดเข้าใส่ร่าง ก่อนที่จะค่อยๆทรุดหน้าคว่ำลงกับพวงมาลัยเสียชีวิต..
–หวังชงเซียวเอ็ดเวิร์ด พวกเจ้าสองคนมัวทำอะไรอยู่ ขับสปีดโบ๊ทเข้าฝั่ง แล้วนำร่างของพวกมันกลับมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!–
หลิงหยุนสั่งผ่านกระแสจิตพร้อมกับเรียกกระบี่กังฉีกลับไป..
ทางด้านหวังชงเซียวได้แต่ยืนงงเขาไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และไม่รู้วิธีการควบคุม หรือเปิดปิดสปีดโบ๊ทเลยแม้แต่น้อย
“ข้าจัดการเอง!”
เจสเตอร์ที่บินอยู่ด้านบนรีบร่อนลงบนเรือทันทีและจัดการผลักร่างไร้วิญญาณของคนขับออก แล้วเข้าไปบังคับพวงมาลัยหันหัวเรือกลับเข้าเกาะโกโลอานีทันที
หลังจากที่ไปถึงฝั่งและดับเครื่องสปีดโบ๊ทแล้ว เจสเตอร์ก็ได้ใช้มนต์แวมไพร์สร้างกรงขนาดใหญ่ขึ้นครอบเรือ แล้วยกขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะแบกสปีดโบ๊ทมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านพักตากอากาศอย่างรวดเร็ว
………….
เวลานั้นเซิ่งหยิงหยิงได้ขึ้นมาจากสระน้ำแล้ว และหญิงสาวทั้งสองก็สวมเสื้อคลุมอาบน้ำ ยืนอยู่ข้างกายหลิงหยุน ศรีษะที่ถูกกระบี่เหินเงาธนูปักตรึงไว้กับพื้นได้หยุดดิ้นรนและดวงตาของมันก็เบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างที่สุด ดวงตาของมันจับจ้องอยู่ที่ร่างของหลิงหยุน และปากก็ขมุบขมิบพูดอะไรบางอย่างออกมา
“เจ้าไม่ต้องกังวลไปข้ากำลังนำร่างของเจ้ามาที่นี่แล้ว!”
หลิงหยุนไม่รู้ว่าศรีษะนั้นกำลังพูดอะไรกันแน่เพราะเขาฟังไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นเจสเตอร์บังคับเรือไว้ได้แล้ว เขาจึงได้แต่เอ่ยปากบอกไป
เจสเตอร์จัดการวางสปีดโบ๊ทในมือลงบนสนามหญ้าก่อนจะยื่นมือเข้าไปในเรือ คว้าร่างไร้ศรีษะนั้นออกมา และโยนไปไว้ใกล้ๆกับศรีษะที่ถูกปักอยู่บนพื้น
“กรี๊ด!!!!!!!!!”
เซิ่งหยิงหยิงไม่เคยพบเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนนางเห็นเจสเตอร์เดินแบกสปีดโบ๊ทเข้ามาด้วยมือเดียว หลังจากวางเรือลงกับพื้นสนามหญ้า มันก็คว้าร่างไร้ศรีษะโยนออกมานอกเรื่อ ราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา เช่นนี้แล้ว จะไม่ให้เซิ่งหยิงหยิงกรีดร้องออกมาด้วยความตระหนกตกใจได้อย่างไรกัน
ส่วนเหออวี้ฉงนั้นเคยเห็นเรื่องมหัศจรรย์ของหลิงหยุนกับเหออวี้ฉงมาก่อนแล้วเมื่อครั้งที่อยู่ปักกิ่ง จึงไม่ได้ตกอกตกใจอะไรมากนัก
หลิงหยุนเรียกกระบี่เหินเงาธนูกลับคืนมาจากนั้นสายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ร่างไร้ศรีษะ และหัวของมัน แต่ไม่เพียงแค่หลิงหยุนเท่านั้น ทุกสายตาต่างก็จับจ้องอยู่ที่จุดเดียวกัน
การถอดศรีษะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ฝึกบ่มเพาะพลังจากภูติผีและหลิงหยุนก็เห็นมานักต่อนักแล้ว
ผู้ที่ฝึกบ่มเพาะพลังจากภูติผีนั้นเมื่อฝึกจนพลังกล้าแกร่งถึงระดับหนึ่ง จะสามารถถอดศรีษะออกจากร่างได้ และปล่อยให้ศรีษะล่องลอยออกไปทำภารกิจต่างๆ โดยที่ร่างกายสามารถนอนนิ่งๆอยู่อีกที่ได้ และเมื่อศรีษะกลับมา ก็สามารถติดเข้ากับร่างได้ดังเดิม และสามารถกลับมาใช้ชีวิตพูดคุยได้อย่างเป็นปกติ
วิชานี้นับเป็นวิชาที่น่าอัศจรรย์วิชาหนึ่งแม้แต่หลิงหยุนยังต้องการศึกษาทำความเข้าใจ แต่เขาไม่คิดที่จะฝึกฝนวิชาเช่นนี้แน่ เพราะในสายตาของเขา การทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการตายเลยแม้แต่น้อย!
เวลานี้ทั้งเซิ่งหยิงหยิงและเหออวี้ฉงต่างก็เกาะแขนหลิงหยุนคนละข้างไว้แน่น แต่ก็ไม่มีใครต้องการที่จะหลับตา หญิงสาวทั้งสองต้องการเห็นศรีษะทั้งสองต่อเข้าด้วยกัน พวกนางทั้งคู่ต่างก็ไม่เคยเห็นคนถอดศรีษะ แล้วสามารถต่อกลับเข้าไปได้อีกเช่นนี้
ศรีษะเจ้าของร่างนั้นที่ถูกกระบี่เหินเงาธนูปักไว้กับพื้นนั้นนอกจากใบหน้าแล้ว กะโหลกด้านหลังนับว่าได้รับความเสียหายอย่างมาก แต่ก็ยังไม่ตาย..
ปากของมันขมุบขมิบไปมาคล้ายกับกำลังร่ายเวทย์มนต์คาถาและไม่นานนักศรีษะนั้นก็คล้ายกับมีเชือก และค่อยๆถูกดึงเข้าหาร่างที่ไร้ศรีษะนั้น
แต่เป็นเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนใกล้เสียชีวิตศรีษะนั้นจึงเคลื่อนที่ไปได้อย่างเชื่องช้ายิ่งนัก ระยะห่างเพียงแค่หนึ่งเมตร ต้องใช้เวลานานถึงสองนาที และต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ กว่าที่จะปรับตำแหน่งของศรีษะให้อยู่ในองศาปกติ
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็เห็นแสงสีแดงสว่างวาบขึ้นที่ลำคอของคนผู้นั้น ก่อนที่ลำคอกับลำตัวจะแนบชิดสนิทกันอย่างสมบูรณ์
การเชื่อมต่อของลำคอนั้นแนบชิดสนิทราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน เหมือนกับที่หลิงหยุนใช้ยันต์บำบัดรักษาบาดแผลจนหายสนิท ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยแผลเป็นนั่นเอง
“ช่างน่าอัศจรรรย์ยิ่งนัก!เจ้าลืมตาขึ้นสิ..”
หลิงหยุนร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจและปรบมือพร้อมกับเอ่ยชมอย่างจริงใจ
ร่างนั้นหายใจระรวยและถึงกับเหนื่อยหอบ หากเพียงแค่ศรีษะของมันได้รับบาดเจ็บจากกระบี่เหินก็ยังไม่ใช่ปัญหาอะไรมากนัก แต่ร่างของมันที่เจสเตอร์นำลงมาจากเรือนั้น กลับมีรูอยู่ทั้งแผ่นหลังและหน้าอกมากกว่าสิบรู ร่างกายของมันได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก!
หลังจากนั้นไม่นานนักร่างของมันก็ค่อยๆคืบคลานไปที่สปีดโบ๊ทอย่างอ่อนแรง เมื่อไปถึงก็พยายามตะเกียกตะกายปีนขึ้นไปบนเรือง ในสภาพที่ทุกลักทุเล
“เฒ่าหวังเจ้าช่วยเขาอีกแรง”
หลิงหยุนรู้ดีกว่าร่างที่อ่อนแรงนี้คงจะอยู่ได้อีกไม่นานนัก จึงต้องการให้คนผู้นี้ได้ตายตาหลับ
หวังชงเซียวใช้พลังจิตเคลื่อนร่างไร้วิญญาณภายในเรือออกมาและโยนไปไว้ตรงหน้าของชายผู้นั้นทันที
“ข้าได้ยินมาว่า..การฝึกวิชาถอดศรีษะออกจากร่างนี้ ผู้ฝึกจะต้องหาสถานที่ลี้ลับมาก และต้องมีความกล้าที่จะฝึกวิชานี้ โดยเริ่มจากการถอดศรีษะ และปล่อยให้ศรีษะของตนเองล่องลอยออกจากร่างไปพร้อมกับลำไส้ ในระยะเริ่มแรก อาจไปได้ไม่ไกลกว่าหนึ่งเมตร และต้องกินหัวใจสดๆของมนุษย์หรือสัตว์เพื่อเป็นการฝึกฝน และจะต้องกลับเข้าร่างก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น..”
“วิชาถอดศรีษะมีทั้งหมดเจ็ดขั้นแต่ละขั้นจะต้องฝึกฝนกันอย่างต่อเนื่องโดยห้ามมีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย และเมื่อพัฒนาได้ในแต่ละขั้น ระยะทางในการถอดศรีษะก็จะเพิ่มขึ้นอีกนับสิบเท่า ว่ากันว่าผู้ที่ฝึกสำเร็จจนถึงขั้นที่เจ็ด จะสามารถมีชีวิตที่เป็นอมตะ..”
หวังชงเซียวเองก็เคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับวิชาที่น่าสะพรึงกลัวนี้ของชาวหนานหยางมาก่อนเช่นกัน จึงได้รีบอธิบายให้หลิงหยุนฟัง
“หากดูจากตำแหน่งของการจอดสปีดโบ๊ทร่างของคนผู้นี้ห่างจากศรีษะไกลพอสมควร น่าจะฝึกถึงขั้นสามแล้วกระมัง นับว่าสูงไม่น้อยทีเดียว..”
“ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่ขับสปีดโบ๊ทนั้นดูจากความไว้เนื้อเชื่อใจที่ปล่อยให้ดูแลร่างไร้ศรีษะของตนเอง และอายุที่น้อยกว่ามาก เขาน่าจะเป็นลูกชายของคนผู้นี้..”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับครุ่นคิดถึงเรื่องที่จินเหยียวเคยเล่าเกี่ยวกับวิชาของชนเผ่าเหมี่ยวให้ตนเองฟัง และครั้งนั้นจินเหยียวก็ได้พูดถึงวิชาของชาวหนานหยาง ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่หวังชงเซียวกำลังอธิบายอยู่
แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็รู้สึกว่า ชายชราผู้นี้มิได้ฝึกฝนเพียงแค่วิชาถอดศรีษะนี้เป็นแน่ เพราะเมื่อครั้งที่กระบี่เหินเจาะเข้าที่ศรีษะนั้น เข้าสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่แข็งแกร่ง หาไม่แล้วเขาคงจะไม่ตรึงศรีษะไว้ที่พื้นเช่นนี้ แล้วปล่อยกระบี่กังฉีออกไปสังหารร่างของมันก่อนเป็นแน่
ในความเห็นของหลิงหยุนพลังปราณของชายผู้นี้ น่าจะอยู่ในขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) เลยทีเดียว!
ชายที่กำลังจะสิ้นใจคลานเข้าไปกอดร่างไร้วิญญาณนั้นไว้ก่อนจะหันกลับมาถามหลิงหยุนว่า
“เจ้าเป็นผู้ใดพวกเราต่างก็มิเคยมีเรื่องบาดหมาง หรือเป็นศัตรูกันมาก่อน เหตุใดตั้งใจสังหารข้าแล้ว จึงไม่ไว้ชีวิตบุตรชายของข้าเล่า?”
แต่หลิงหยุนกลับไม่เข้าใจในสิ่งที่คนผู้นี้พูดเขาหันไปถามคนอื่นๆว่า “ผู้ใดเข้าใจสิ่งที่ชายผู้นี้กล่าวบ้าง ช่วยบอกข้าที!”
ทุกคนต่างก็ส่ายหัวเหออวี้ฉงพูดขึ้นว่า “ข้าเองก็พอเข้าใจบ้าง แต่คนผู้นี้พูดเร็วเกินไป..”
ความจริงแล้วนางเข้าใจเพียงแค่ไม่กี่คำเท่านั้นแต่แล้วจู่ๆ พอลก็พูดขึ้นว่า “เจ้านาย ข้าจะแปลให้ท่านฟังเอง!”
“ห๊ะ!นี่เจ้าเข้าใจงั้นรึ?”
หลิงหยุนเอ่ยชมพร้อมกับรอฟังคำแปลจากพอล หลังจากได้ฟังแล้ว หลิงหยุนจึงได้ตอบกลับไปด้วยสีหน้าเย็นชา
“อย่าว่าแต่พวกเจ้าคิดทำร้ายสหายของข้าก่อนเลยแต่วิชาที่พวกเจ้าฝึกอยู่นั้น เป็นวิชาที่ชั่วช้ายิ่ง ในดินแดนนี้มีผู้คนกี่ชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับการฝึกวิชาที่ชั่วช้านี้! การที่ข้าสังหารเจ้า ย่อมเท่ากับเป็นการกำจัดปีศาจร้ายไปในตัว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร