บทที่ 1549 : เปิดประตูต้อนรับ
น้ำเสียงของหลิงหยุนบางเบาแต่ทุกคำพูดล้วนมีเหตุมีผล..
หลังจากที่พอลแปลให้ฟังแล้วยอดฝีมือผู้นั้นจึงได้ตอบกลับเสียงเบา “ข้ายอมรับว่าวิชาที่ข้าฝึกนั้นต้องทำลายชีวิตของผู้อื่น และการที่เจ้าจะสังหารข้าย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ลูกชายของข้าฝึกเพียงแค่วรยุทธบ่มเพาะของภูติผีเท่านั้น มิได้ฝึกวิชาถอดศรีษะเลยแม้แต่น้อย เหตุใดเจ้ายังต้องสังหารเขาด้วยเล่า”
หลิงหยุนฟังแล้วจึงได้แต่ตอบกลับไปยิ้มๆ“ในยามที่เจ้าถอดศรีษะออกมาทำร้ายผู้คนเช่นนี้ เขาคือผู้ที่คอยปกป้องคุ้มครองร่างกายของเจ้า ฉะนั้นแล้ว เขาจึงเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด โทษของเขาย่อมต้องเป็นความตายด้วยเช่นกัน”
“นี่เจ้า..”ชายผู้ฝึกวิชาถอดศรีษะได้แต่ร้องออกมาด้วยความคับแค้นใจ แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาโต้แย้งได้
หลังจากตอบคำถามอีกฝ่ายไปแล้วหลิงหยุนจึงเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง เขายกมือขึ้นชี้ไปทางหญิงสาวทั้งสองคน พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า
“พวกนางทั้งสองหาได้มีความแค้นกับเจ้าไม่อีกทั้งยังมิใช่ศัตรูของเจ้าด้วย ไม่มีเหตุผลใดที่เจ้าจะต้องสังหารพวกนาง ฉะนั้นบอกข้ามา ผู้ใดส่งเจ้ามากันแน่”
ชายผู้ฝึกวิชาถอดศรีษะจ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาเย็นชาแน่นิ่งหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงได้ตอบกลับไปว่า
“ข้าไม่บอกเจ้าแน่!”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาอย่างไม่ยี่หระ“ถึงแม้เจ้าจะไม่บอก ข้าก็สามารถคาดเดาได้อยู่ดี คงจะเป็นคนตระกูลเหอสินะ ชาวยุทธฝั่งหนานหยางกับใครบางคนในตระกูลเหอ กำลังสมรู้ร่วมคิดกันที่จะครอบครองกิจการทั้งหมดของตระกูลเหอใช่หรือไม่? ชายผู้นั้นถึงกับนิ่งอึ้งไป“…”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อในทันที“ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่า เจ้าฝึกวิชาถอดศรีษะสำเร็จเพียงแค่ขั้นหนึ่งเท่านั้น เหตุใดจึงกล้าอาจหาญทำเรื่องเช่นนี้ได้ นี่เจ้าไม่กลัวว่า หลังจากที่คนตระกูลเหอล่วงรู้ความจริง จะไม่จ้างวานยอดฝีมือไปสังหารเจ้าเพื่อแก้แค้นหรอกรึ?”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้ใช้สำนวนเปรียบเทียบ ทำให้พอลต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ กว่าที่จะแปลออกไปให้อีกฝ่ายเข้าใจได้
หลังจากได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนอีกฝ่ายก็ระเบิดอารมณ์โมโหออกมาทันที “เจ้ากล่าววาจาเพ้อเจ้ออะไรกัน! ข้าฝึกถึงสำเร็จถึงขั้นสี่ต่างหาก ในสายตาของคนธรรมดาทั่วไป ข้าเปรียบเสมือนปรมาจารย์ผู้มีพลังวิเศษเหนือมนุษย์ ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพียงแต่วันนี้ข้าประมาทเกินไปเท่านั้นเอง..” หลิงหยุนได้แต่แอบยิ้มในใจและคิดว่าอีกฝ่ายช่างโง่เขลา และหลงกลได้ง่ายดายนัก!
วิชาถอดศรีษะของชาวยุทธฝั่งหนานหยางนี้ความยากของการฝึกอยู่ที่การเริ่มต้น และน้อยนักที่จะฝึกสำเร็จ แต่หลังจากผ่านพ้นสองขั้นแรกไปได้ การฝึกฝนในขั้นที่สูงขึ้นไปก็จะง่ายขึ้นมาก
นั่นเพราะยิ่งฝึกถึงขั้นที่สูงขึ้นมากเพียงใดก็ยิ่งเป็นเรื่องง่ายที่คนผู้นั้นจะสามารถออกไปหาโลหิต และหัวใจสดๆของมนุษย์หรือสัตว์กินได้มากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งอัตราความเร็วในการเหาะของศรีษะก็จะเพิ่มสูงขึ้นด้วย ทำให้ง่ายต่อการที่จะกลับมายังร่างของตน จึงยากที่จะถูกสังหารตายได้ง่ายๆ
และหากฝึกสำเร็จถึงขั้นที่สี่ศรีษะของคนผู้นั้นก็แทบจะสามารถเหาะเหินไปไหนต่อไหนได้อย่างอิสระ ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายที่ไร้ศรีษะนั้นก็จะแข็งแกร่งตามไปด้วย ผู้ที่ฝึกมาถึงขั้นนี้จึงเปรียบเสมือนผู้มีพลังวิเศษ สามารถทำเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างที่คนทั่วไปทำไม่ได้จึงยากที่คนธรรมดาจะรับมือได้..
แต่เท่าที่หลิงหยุนรู้มานั้นวิชาของชาวยุทธฝั่งหนานหยางหาได้มีเพียงแค่วิชาถอดศรีษะไม่ แต่เขาจำเป็นต้องทำความเข้าใจความแข็งแกร่งของวิชาถอดศรีษะนี้เสียก่อนว่า แต่ละขั้นนั้นสามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติได้เช่นใดบ้าง
ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงได้จงใจพูดจาดูถูก เพื่อให้อีกฝ่ายโมโห และคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายก็โง่เขลาพอที่จะให้เขาหลอกได้ง่ายๆเช่นกัน
“ห๊ะ!ขั้นสี่งั้นรึ?! จะเป็นไปได้อย่างไรกัน เหตุใดความสามารถของวิชาถอดศรีษะขั้นสี่ จึงได้ไร้น้ำยาเช่นนี้ เพียงแค่กระบี่ของข้าเล่มเดียวก็สามารถจัดการกับศรีษะของเจ้าได้แล้ว”
หลิงหยุนเอ่ยตอบพร้อมกับจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย้ยหยัน..
“นั่นเพราะอาวุธของเจ้าเป็นของวิเศษขั้นสมบัติต่างหากเล่า!ศรีษะของข้าจึงไม่สามารถรับมือกับกระบี่ของเจ้าได้..” “แต่หากเวลานี้ข้าฝึกสำเร็จถึงขั้นที่ห้าแล้วล่ะก็อย่าว่าแต่กระบี่เหินของเจ้าจะไม่สามารถแทงทะลุศรีษะของข้าได้เลย ต่อให้เจ้าสามารถทำลายศรีษะของข้าได้ ร่างกายของข้าก็สามารถหาศรีษะอื่นมาทดแทนได้ และข้าจะตามไปแก้แค้นเจ้าเป็นแน่!”
หลิงหยุนถึงกับแอบหนักใจ!
ผู้ที่ฝึกวิชาถอดศรีษะสำเร็จถึงขั้นห้าหากศรีษะของตนถูกทำลาย จะสามารถหาศรีษะอื่นมาทดแทนได้งั้นรึ
พูดง่ายๆก็คือว่าหลังจากที่ศรีษะเหาะออกจากร่างไปแล้ว ร่างกายของคนผู้นั้นจะยังครอบครองดวงจิตที่มีความทรงจำเดิมอยู่ครบ แม้ศรีษะจะถูกทำลาย และไม่สามารถงอกศรีษะใหม่ออกมาได้ แต่เขาก็จะสามารถหาศรีษะผู้อื่นมาทดแทน และมีชีวิตอยู่ต่อได้นั่นเอง
และนี่คืออีกวิธีหนึ่งที่จะสามารถทำให้คนผู้นั้นเสมือนมีชีวิตที่เป็นอมตะได้!
คำบอกเล่าของชาวยุทธผู้นี้ทำให้หลิงหยุนนึกถึงซอมบี้ขึ้นมาเป็นครั้งแรก และอดที่จะหันไปมองแวมไพร์ทั้งห้าซึ่งเป็นบริวารของตนไม่ได้ เพราะพวกมันก็ต้องอาศัยการดูดเลือด เพื่อให้ตนเองสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ไม่ต่างจากซอมบี้!
“ที่แท้พวกเจ้าก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันสินะ..”หลิงหยุนหันไปพูดกับแวมไพร์ทั้งห้ายิ้มๆ
“เจ้านาย..พวกเราแตกต่างจากพวกเขา เพระหากพวกเราไม่มีศรีษะ พวกเราก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้..”
หนึ่งในแวมไพร์รีบระล่ำระลักตอบหลิงหยุนกลับไปทันที..
“แล้วขั้นที่หกเล่า”
“ผู้ฝึกสำเร็จถึงขั้นที่หกจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้แม้ไร้ศรีษะและร่างกายของเขาก็จะแกร่งดั่งเหล็ก ไม่มีวันตาย! นี่เจ้ากำลังหลอกถามข้างั้นรึ! ข้าไม่หลงกลเจ้าแน่..”
หลิงหยุนได้แต่แอบนึกเสียดายอยู่ในใจที่อีกฝ่ายรู้ตัวเสียก่อน..
“นี่!ไหนๆเจ้าก็บอกข้ามาถึงขั้นที่หกแล้ว บอกข้าอีกหน่อยจะเป็นไรไป ข้าอยากรู้ว่าหากฝึกสำเร็จถึงขั้นที่เจ็ดจะเป็นเช่นใดบ้าง”
หลิงหยุนเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดีแต่ชาวยุทธผู้นั้นก็เอาแต่หลับตานิ่ง และไม่ยอมตอบอะไรหลิงหยุนอีก..
แต่ข้อมูลที่ได้มาก็ทำให้หลิงหยุนเข้าใจวิชาถอดศรีษะได้มากแล้ว และหากคาดเดาไม่ผิด เมื่อฝึกสำเร็จถึงขั้นที่เจ็ด คนผู้นั้นย่อมต้องมีชีวิตที่เป็นอมตะ เพราะสามารถงอกศรีษะขึ้นมาใหม่ก็เป็นได้ แต่ก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาของเขาเท่านั้น..
หลิงหยุนซึ่งผ่านการฝึกวรยุทธบ่มเพาะมาจากโลกก่อนหน้าจึงสามารถทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ไม่ยาก เพราะหากจะว่าไป แม้จะเป็นการฝึกถอดศรีษะออกจากร่าง แต่นี่ก็คือวิธีการฝึกวรยุทธบ่มเพาะชนิดหนึ่ง!
“เอาล่ะ!ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการที่จะตอบ ข้าก็จะไม่ถามเจ้าเรื่องนี้อีก! เช่นนั้นเจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่า เวลานี้ท่านปู่ของแม่นางเหออวี้ฉงผู้นี้เป็นเช่นใดบ้าง เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
เมื่อเหออวี้ฉงได้ยินหลิงหยุนถามเรื่องนี้ขึ้นมาหัวใจของนางถึงกับเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นขึ้นมาทันที!
ชาวยุทธผู้นั้นถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ตาแกนั่นยังไม่ตายหรอก แต่ถึงแม้มันจะยังมีลมหายใจ ก็ไม่ได้ต่างจากคนตายมากนัก! และหากคืนนี้ข้ายังไม่กลับไป พรุ่งนี้มันก็จะต้องตายด้วยฝีมือของท่านอาจารย์คุนปาอยู่ดี!”
“ท่านอาจารย์คุนปางั้นรึคนผู้นี้แข็งแกร่งแล้วก็เก่งกาจมากเชียวรึ? เขาสามารถเอาชนะข้าได้หรือไม่?” หลิงหยุนเอ่ยถามออกไปตามตรง..
“จอมยุทธหนานหยางทั้งสามที่ติดตามแม่นางผู้นั้นไปปักกิ่งล้วนเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์คุนปาทั้งสิ้น เวลานี้ท่านอาจารย์คุนปาก็รู้แล้วว่า พวกเขาถูกคนสังหารตาย และรู้ว่าเวลานี้ไขหยกม่วงที่เขาต้องการ ได้ตกไปอยู่ในมือของชายหนุ่มที่ชื่อหลิงหยุน..”
“…”หลิงหยุนได้แต่นิ่งเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“เอาล่ะในเมื่อเจ้าก็กำลังจะตายอยู่แล้ว ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าได้รู้.. ข้านี่ล่ะหลิงหยุน และเป็นผู้ฉกไขหยกม่วงนั่นมา!”
“อะไรนะ!!”
ชาวยุทธหนานหยางถึงกับร้องอุทานออกมาดวงตาทั้งสองเบิกกว้างด้วยความตกใจ “แต่เจ้าบอกกับข้าว่าเจ้าชื่อหลินเทียนมิใช่รึ นี่.. นี่เจ้าหลอกข้า!!”
หลิงหยุนเอ่ยตอบยิ้มๆ“ข้าไม่ได้หลอกเจ้า แต่อาจเป็นเพราะศรีษะกับร่างของเข้าอยู่ห่างไกลกันมาก จึงอาจจะได้ยินผิดไปก็เป็นได้!”
ชาวยุทธผู้นั้นรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุนก่อนจะสิ้นใจตายในที่สุด! “พวกเจ้าทั้งหมดถอยออกไปให้ห่างจากบริเวณนี้อย่างน้อยก็สักสามสิบเมตร!”
หลิงหยุนร้องตะโกนสั่งทุกคนให้ออกห่างจากบริเวณร่างไร้วิญญาณของพ่อลูกทั้งสองจากนั้นจึงได้ใช้วิชาหงส์เล่นไฟ ปลดปล่อยเปลวไฟออกมาเผาผลาญร่างไร้วิญญาณของคนทั้งคู่ จนกลายเป็นเถ้าถ่านภายในพริบตา
จากนั้นจึงยกมือขึ้นโบกพัดไปมาและเถ้าถ่านทั้งหมดนั้น ก็ปลิวลงสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่..
ภายในบ้านพักตากอากาศกลับสู่สภาพเดิมราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“คุณชายหลิงคนผู้นั้นบอกว่าท่านปู่ของข้ามีชีวิตอยู่ก็เหมือนตาย มันหมายความเช่นใดกัน ไม่ทราบคุณชายหลินพอมีหนทางที่จะช่วยท่านปู่ของข้าออกมาได้หรือไม่?”
เหออวี้ฉงซึ่งเวลานี้ใบหน้าซีดขาวรีบวิ่งเข้ามาหลิงหยุนด้วยความตื่นตระหนกตกใจ “พวกเรา.. พวกเราควรทำเช่นใดต่อไปดี” “พวกเจ้าทั้งหมดฟังข้าให้ดี..นับจากนี้ไป ให้เรียกข้าว่าหลินเทียน ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามหลุดชื่อของข้าออกมาโดยเด็ดขาด!”
หลิงหยุนยังไม่ตอบเหออวี้ฉงในทันทีแต่ได้ย้ำทุกคนเกี่ยวกับเรื่องชื่อของเขาก่อน จากนั้นจึงหันไปยิ้มให้กับนาง และเอ่ยตอบไปว่า
“จะให้ข้าทำอะไรได้อีกเล่าในเมื่ออีกฝ่ายมาเยือนถึงหน้าประตูบ้าน ข้าย่อมต้องเปิดประตูต้อนรับ!”
“พวกเจ้าสองคนกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวออกเดินทางได้แล้ว!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร