บทที่ 1574 : ข้าเป็นชายชาตรี
แม้หลิงหยุนจะเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะพลังแต่ก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งจิตใจเสียทีเดียว..
มู่หลงเฟยจื่อเดินทางมาเกาะฮ่องกงตั้งแต่เดือนกรกฏาคมจนป่านนี้นางยังไม่ได้กลับไปที่ประเทศจีนอีกเลย และตั้งแต่มู่หลงเฟยจื่อจากไป ทั้งสองคนก็ยังไม่เคยได้พบหน้ากันอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว และไม่แม้แต่จะได้พูดคุยติดต่อกันด้วยซ้ำไป
มู่หลงเฟยจื่อรู้สึกเช่นใดกับตนนั้นหลิงหยุนย่อมเข้าใจแจ่มแจ้งเป็นอย่างดี แต่ทั้งคู่กลับไร้ซึ่งการติดต่อกันมาตลอดหลายเดือนนี้..
สาเหตุหลักๆก็เห็นจะเป็นเพราะหลิงหยุนค่อนข้างยุ่งมาก นอกเหนือจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าไม่หยุดหย่อน เขายังต้องตั้งหน้าตาฝึกฝนวิชาอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน เพื่อให้ขั้นพลังบ่มเพาะของตนเองพัฒนาก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่ากำลังแข่งกับเวลาก็ไม่ผิดนัก และด้วยเหตุนี้ หลิงหยุนจึงแทบไม่เคยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูเลย และเก็บอยู่ในแหวนจักรวาลเช่นนั้น เว้นแต่ในยามจำเป็นต้องใช้จริงๆ จึงจะหยิบออกมาสักครั้ง..
ทำให้มู่หลงเฟยจื่อที่พยายามโทรหาหลิงหยุนหลายต่อหลายครั้งไม่เพียงไม่สามารถโทรติดต่อได้ ยังมักเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอยู่นอกพื้นที่การให้บริการบ่อยๆอีกด้วย
แต่ถึงแม้ว่ามู่หลงเฟยจื่อจะไม่สามารถติดต่อหลิงหยุนได้นางก็มักจะโทรหามู่หลงเวิ่นฉีผู้เป็นปู่อยู่เสมอๆ ทำให้ไม่เคยพลาดข่าวคราวของหลิงหยุนเลยสักครั้ง และทำให้นางค่อนข้างเข้าใจหลิงหยุนมากด้วย
และถึงแม้ว่าหลิงหยุนจะไม่ได้ติดต่อหรือพูดคุยกับมู่หลงเฟยจื่อเลยตลอดหลายเดือนมานี้ ก็มิได้หมายความว่า เขาลืมนางไปหมดแล้ว และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะลืมนางไปได้ง่ายๆ
นั่นเพราะทั้งเขาและมู่หลงเฟยจื่อต่างก็เคยจูบกันอย่างดูดดื่ม และสัมผัสเรือนร่างของกันและกันมาแล้ว จะเหลือก็เพียงแต่ขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น อีกทั้งมู่หลงเฟยจื่อยังได้มอบตราหยกเทียนสี่ซึ่งเป็นสมบัติประจำตระกูลมู่หลง ให้กับเขาเพื่อเป็นของหมั้นแทนใจของกันและกันแล้วด้วย..
และตราหยกเทียนสี่นี้แท้จริงก็คือตราหยกจักรพรรดินั่นเอง!
อีกทั้งเวลานี้ตราหยกจักรพรรดิก็เป็นสมบัติล้ำค่า ที่หลิงหยุนมักนำออกมาใช้ในยามที่ต้องต่อสู้กับศัตรูอยู่เสมอ เพราะนอกเหนือจากตราหยกนี้จะมีพลังป้องกันที่ค่อนข้างแข็งแกร่งมากแล้ว มันยังไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว
มีสมบัติล้ำค่าที่เป็นตัวแทนความรักของมู่หลงเฟยจื่อติดตัวเช่นนี้แล้วหลิงหยุนจะสามารถลืมนางได้อย่างไรกันเล่า!
ก่อนที่หลิงหยุนจะออกเดินทางจากปักกิ่งไปเกาะมาเก๊านั้นแม้มู่หลงเวิ่นฉีจะมิได้เอ่ยบอกเขาออกมาตรงๆ แต่ก็ได้เกริ่นเป็นนัยๆว่าหากหลิงหยุนเสร็จสิ้นภารกิจที่มาเก๊าแล้ว ก็ควรจะแวะไปเยี่ยมเยียนมู่หลงเฟยจื่อบ้าง
หลิงหยุนนั้นเข้าใจความรู้สึกของมู่หลงเวิ่นฉีดีจึงเป็นฝ่ายให้คำมั่นสัญญากับชายชราว่า เขาจะเดินทางไปหามู่หลงเฟยจื่อที่เกาะฮ่องกง และจะอยู่กับนางสักสองวัน..
แน่นอนว่าทันทีที่มู่หลงเวิ่นฉีได้ฟังคำตอบเช่นนี้ของหลิงหยุน มีหรือที่เขาจะไม่รีบแจ้งข่าวคราวเรื่องนี้ให้กับหลานสาวของตนเองได้รู้
ตอนนี้หลิงหยุนก็ได้ช่วยสะสางแก้ไขปัญหาของตระกูลเหอเรียบร้อยแล้ว จึงได้เวลาที่เขาจะต้องเดินทางไปพบมู่หลงเฟยจื่อที่ฮ่องกงเสียที แต่เรื่องนี้เขาจะบอกผู้อื่นไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซิ่งหยิงหยิง
“ป่านนี้เฟยจื่อคงจะตั้งหน้าตั้งรอข้าอย่างกระวนกระวายใจแล้วสินะ”
เมื่อคิดได้เช่นนี้แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะเอื้อมมือออกไปคว้าตราหยกจักรพรรดิตรงหน้ามาพินิจมองอย่างละเอียด ในขณะที่ปากก็พึมพำเบาๆ
“ช่างเป็นสมบัติที่ล้ำค่าและเป็นอาวุธที่ทรงพลังยิ่งนัก!”
จะมิให้ตราหยกจักรพรรดิเป็นอาวุธที่ทรงพลังของหลิงหยุนได้อย่างไรกันในเมื่อเขาสามารถสั่งการมันด้วยจิตใจ เพียงแค่คิด ตราหยกจักรพรรดิก็สามารถขยายใหญ่จนมีน้ำหนักดั่งขุนเขา หรือย่อเล็กลงจนมีน้ำหนักเบาดั่งขนนกก็ได้
หลิงหยุนเป็นถึงปรมาจารย์เรื่องการหลอมอาวุธย่อมรู้ดีว่า สมบัติชิ้นใดที่สามารถย่อ และขยายขนาดได้ตามใจนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติล้ำค่า แต่ก็น่าเสียดายที่ ภายในตราหยกจักรพรรดินั้นกลับไม่มีพื้นสำหรับบรรจุ ฉะนั้น ประโยชน์เดียวของมันก็คือ ใช้เป็นโล่ป้องกัน และใช้เป็นอาวุธสำหรับไล่ทุบและบดขยี้ศัตรูเท่านั้น
“ขั้พลังบ่มเพาะของข้ายังไม่เพียงพอ..”
หลิงหยุนพึมพำพร้อมกับส่ายหน้าไปมาก่อนจะเรียกตราหยกจักรพรรดิกลับเข้าไปคืน ในขณะเดียวกัน ก็เรียกผ้าแพรไหมทองคำออกมา และเริ่มสะบัดปลายนิ้วร่ายรำ เป็นการปรับแต่งจิตใจ และพัฒนาสมองของตนเอง
“หลิงหยุน..นี่เจ้ากำลังทำอะไร”
เซิ่งหยิงหยิงที่เพิ่งอาบน้ำชำระล้างร่างกายเสร็จเมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็พบหลิงหยุนกำลังอยู่ตรงหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ในขณะที่มือซ้ายของเขาโบกสะบัดร่ายรำไปมา ทำให้ผ้าผืนยาวสีดำในมือขดเป็นรูปวงกลมซ้อนๆกันได้อย่างน่าทึ่ง
แม้จะดูคล้ายกับว่าหลิงหยุนกำลังร่ายรำระบำมือแต่แขนของเขากลับเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าคนปกติธรรมดาหลายเท่านัก ผ้าดำผืนยาวนั้นโบกสะบัดไปมาอย่างรวดเร็ว จนเห็นเป็นเพียงเงาที่กำลังเคลื่อนไปมาอยู่ระหว่างนิ้วของเขา และหากหลิงหยุนไม่ลดความเร็วลงในบางครั้ง ก็ยากนักที่เซิ่งหยิงหยิงจะเห็นได้อย่างชัดเจน
เวลานี้เซิ่งหยิงหยิงสวมเสื้อคลุมอาบน้ำอยู่หลังจากที่ร้องตะโกนถามหลิงหยุนออกไปแล้ว และได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า นางก็ได้แต่ยืนมองนิ่งด้วยความสนอกสนใจ
“กำลังฝึกวิชา..”
หลิงหยุนหันไปยิ้มให้กับเซิ่งหยิงหยิงพร้อมกับเอ่ยตอบ แต่นางกลับย้อนถามด้วยความสงสัย และอยากรู้
“แค่ระบำนิ้วนี่นะ..เรียกว่าฝึกวิชา”
“สำหรับเจ้า..อาจดูเหมือนเป็นเพียงแค่ระบำนิ้ว แต่แท้ที่จริงแล้ว นี่คือการฝึกมุทรา การเคลื่อนไหวของนิ้วมือที่ส่งผลต่อพลังงานในร่างกาย และสมองของมนุษย์..” หลิงหยุนอธิบายให้เซิ่งหยิงหยิงฟัง และยังคงฝึกต่อไปเรื่อยๆ
“หลิงหยุนนิ้วของเจ้าเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว ถึงขนาดที่ผ้าสีดำกลายเป็นเงาเช่นนี้..” จากนั้นนางก็เอ่ยต่อด้วยสีหน้า และน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความตื่นเต้นอย่างที่สุด
“หากเจ้าใช้ความเร็วเช่นนี้ในการจั่วไพ่ข้าเชื่อว่าคงไม่มีนักพนันคนใดในโลกนี้ จะสามารถจั่วไพ่ได้เร็วกว่าเจ้าอีกแล้วล่ะ!”
เซิ่งหยิงหยิงนึกถึงเมื่อครั้งที่ตนเองกับหลิงหยุนเคยเล่นไพ่นกกระจอกกันที่เมืองจิงฉูและในที่สุดนางก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้..
“.…”
หลิงหยุนได้แต่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกและได้แต่คิดว่า เซิ่งหยิงหยิงสมกับเป็นบุตรสาวของโคตรเซียนแห่งวงการพนันจริงๆ ทุกคำพูดที่ออกจากปากนาง ล้วนแล้วแต่หนีไม่พ้นเรื่องการพนันทั้งสิ้น
“เชือดไก่ตัวเดียวต้องลงทุนถึงเพียงนี้เชียวรึ”
หลิงหยุนเอ่ยตอบยิ้มๆ“ความเร็วในการจั่วไพ่ก็เรื่องหนึ่ง ต่างจากการฝึกมุทราของข้ายิ่งนัก..”
การฝึกมุทรานั้นคือวิธีที่จะเชื่อมต่อท่าทางของนิ้วมือเข้ากับสมองของมนุษย์ การทำเช่นนั้นจะช่วยให้ผู้ฝึกสามารถควบคุมพลังชีวิตหลากหลาย ซึ่งอยู่ระหว่างสวรรค์กับโลกได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาของวิเศษต่างๆ และสามารถนำพลังงานเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย
ที่สำคัญ..การใช้นิ้วมือควบคุมพลังนั้น นอกจากจะรวดเร็วอย่างยิ่งแล้ว ศัตรูยังมองไม่เห็นด้วยอีกด้วย ทำให้ยากต่อการรับมือ หรือตอบโต้ได้ทัน โอกาสที่ศัตรูจะถูกสังหารจึงมีสูงมาก
“ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูดเลยแม้แต่น้อยแต่เคยได้ยินว่า ศาสนาพุทธนั้น มีพระพุทธรูปที่ทำมือลักษณะแตกต่างกันไปมากมาย และเคยได้ยินมาว่า หลวงจีนในพุทธศาสนานั้น มีความสามารถในการใช้มุทราได้อย่างคล่องแคล่ว..”
แต่เมื่อเซิ่งหยิงหยิงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมานางก็รีบหันไปถามหลิงหยุนตาโต “น้องหลิงหยุน นี่อย่าบอกนะว่า เจ้าคิดที่จะไปบวชเป็นหลวงจีน”
หลิงหยุนได้ยินเช่นนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจ และอธิบายให้เซิ่งหยิงหยิงฟังด้วยความอดทน
“นี่พี่หยิงหยิง..ข้าไม่จำเป็นต้องบวชเป็นหลวงจีนก็ได้ การฝึกฝนมีหลากหลายวิธี เช่นเดียวกับถนนหนทาง แม้จะมีวิธีการ หรือเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่จุดหมายปลายทาง ล้วนรวมลงสู่ที่เดียวกัน!”
“เช่นนั้นหรอกรึ”
เซิ่งหยิงหยิงทำหน้าตาคล้ายจะเข้าใจแต่ก็ไม่มั่นใจ แต่สิ่งหนึ่งที่นางแน่ใจก็คือ หลิงหยุนจะไม่ไปบวชเป็นหลวงจีนแน่ นางจึงได้แต่ยิ้มพร้อมกับเปรยออกมา
“เจ้าไม่บวชเป็นหลวงจีนก็พอแล้ว!”
แต่แล้วจู่ๆเซิ่งหยิงหยิงก็คล้ายกับนึกอะไรขึ้นมาได้ นางยกมือขึ้นเท้าสะเอว พร้อมกับตวาดหลิงหยุนเสียงดัง
“เมื่อครู่ข้าอุตส่าห์เปิดทางให้เจ้าเข้ามาอาบน้ำกับข้าแต่เจ้ากลับแอบมาฝึกวิชาอยู่ตรงนี้ เจ้าทำเช่นนี้ ไม่เท่ากับกำลังตำหนิว่าข้าเป็นหญิงขี้ริ้วขี้เหร่ไม่น่าเข้าใกล้หรอกรึ”
“พี่สาว..ดอกบัวของเจ้าโผล่ออกมาหมดแล้ว!”
หลิงหยุนเอ่ยเตือนเซิ่งหยิงหยิงพร้อมกับจ้องมองหน้าอกใหญ่โตทั้งสองข้าง ที่กำลังชูชันโอ้อวดสายตาของเขาอยู่
เซิ่งหยิงหยิงเพิ่งออกจากห้องน้ำและสวมเพียงแค่เสื้อคลุมตัวเดียว แม้นางจะผูกผ้าคาดไว้ แต่ระหว่างที่สนทนากับหลิงหยุนนั้น มือไม้ของนางก็กวัดแกว่งไปมา จนคอเสื้อเปิดกว้างออก เผยให้เห็นเนินอกเอิบอิ่มทั้งสองข้างอย่างชัดเจน
เซิ่งหยิงหยิงก้มลงมองทันทีแต่นางกลับยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น พร้อมตอบหลิงหยุนกลับไปว่า “ไม่เห็นจะน่าตกใจตรงไหน ในเมื่อเจ้าสามารถมองทะลุเสื้อคลุมของข้าได้ อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแอบมองข้าเห็นอยู่ดี..”
หลังจากเซิ่งหยิงหยิงตอบหลิงหยุนไปแล้วนางก็เดินตรงเข้าไปใกล้หลิงหยุนมากขึ้น พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า..หญิงขี้ริ้วขี้เหร่ไม่น่าเข้าใกล้หรอกรึ”
“พี่สาว..ดอกบัวของเจ้าโผล่ออกมาหมดแล้ว!”
หลิงหยุนเอ่ยเตือนเซิ่งหยิงหยิงพร้อมกับจ้องมองหน้าอกใหญ่โตทั้งสองข้าง ที่กำลังชูชันโอ้อวดสายตาของเขาอยู่
เซิ่งหยิงหยิงเพิ่งออกจากห้องน้ำและสวมเพียงแค่เสื้อคลุมตัวเดียว แม้นางจะผูกผ้าคาดไว้ แต่ระหว่างที่สนทนากับหลิงหยุนนั้น มือไม้ของนางก็กวัดแกว่งไปมา จนคอเสื้อเปิดกว้างออก เผยให้เห็นเนินอกเอิบอิ่มทั้งสองข้างอย่างชัดเจน
เซิ่งหยิงหยิงก้มลงมองทันทีแต่นางกลับยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น พร้อมตอบหลิงหยุนกลับไปว่า “ไม่เห็นจะน่าตกใจตรงไหน ในเมื่อเจ้าสามารถมองทะลุเสื้อคลุมของข้าได้ อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแอบมองข้าเห็นอยู่ดี..”
หลังจากเซิ่งหยิงหยิงตอบหลิงหยุนไปแล้วนางก็เดินตรงเข้าไปใกล้หลิงหยุนมากขึ้น พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า.. “ข้าพูดไม่ผิดสินะ”
“เจ้าผิดแล้ว..”
หลิงหยุนตอบกลับทันที“ข้าเป็นชายชาตรี และชายชาตรีย่อมไม่แอบมองเรือนร่างของสตรี!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร