บทที่ 1582 : เข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่!
มู่หลงเฟยจื่อถึงกับนิ่งเงียบขึ้นมาทันที!
หลิงหยุนเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของหญิงสาวจึงได้แต่เลิกคิ้วสูงพร้อมกับถามขึ้นด้วยความสงสัย
“นี่..มีคนข่มเหงรังแกเจ้าจริงๆงั้นรึ พวกมันรนหาที่ตายชัดๆ!”
“ไม่..ไม่ใช่อย่างนั้น!”
มู่หลงเฟยจื่อรีบร้องบอกหลิงหยุนและอธิบายให้เขาฟังอย่างรวดเร็ว “ฉันอยู่ที่นี่ไม่มีใครข่มเหงรังแกอะไร ธุรกิจก็ราบรื่นดี เพียงแต่…”
คิ้วของหญิงสาวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยและหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งคล้ายกำลังคิดหาคำพูด แล้วจึงเล่าให้หลิงหยุนฟังว่า
“มีผู้ชายที่มีฐานะแล้วก็มีอำนาจอิทธิพลเพียงแค่สองคนเท่านั้น ที่ชอบอ้างเรื่องธุรกิจกับงานเลี้ยง เพื่อมาคอยตามติดฉันไม่หยุด.. หลิงหยุนได้แต่ฟังนิ่งเงียบ..
มู่หลงเฟยจื่อมาอยู่เกาะฮ่องกงนานขนาดนี้หากไม่มีชายหนุ่มให้ความสนอกสนใจหญิงสาวหน้าตางดงามอย่างนางเลย ย่อมแสดงว่าผู้ชายฮ่องกงคงจะตาบอดกันไปหมดแล้วแน่ๆ
แต่หลิงหยุนก็รู้ดีว่ามู่หลงเฟยจื่อนั้นสามารถเอาตัวรอดจากชายหนุ่มที่คอยตามตื๊อได้ไม่ยาก นางจึงคร้านที่จะเล่าเรื่องไร้สาระเหล่านี้ให้เขาฟัง แต่การที่นางเอ่ยถึงชายทั้งสองคนนี้ขึ้นมา ย่อมแสดงให้เห็นว่า นางเองคงเริ่มจะหมดความอดทนกับอีกฝ่ายแล้วจริงๆ
“มีมากกว่าหนึ่งด้วยงั้นรึ!เอาล่ะ.. บอกข้ามาว่าพวกมันเป็นใคร?” หลิงหยุนเอ่ยถาม พร้อมกับแสยะยิ้ม
“นี่นายอย่าเข้าใจฉันผิดนะ!”
มู่หลงเฟยจื่อหันไปมองหลิงหยุนและจากสีหน้าของเขาเวลานี้ ก็บ่งบอกว่ากำลังโมโหไม่น้อย เธอจึงรีบอธิบายให้เขาฟังอย่างรวดเร็ว “ปกติแล้วผู้ชายส่วนใหญ่ที่เข้ามาตามตื๊อฉัน ฉันแค่บอกว่ามีแฟนแล้ว พวกเขาก็จะยอมล่าถอยทันที..”
“มีเพียงแค่สองคนนี้เท่านั้นล่ะที่ไม่ยอมไปไหนสักที! อาจเป็นเพราะทั้งคู่มีธุรกิจที่ต้องติดต่อกับศาลาเทียนสี่ก็ได้ พวกเขาก็เลยตามติดฉันทุกวันอย่างกับพวกสต๊อกเกอร์ แต่โชคดีที่กฏหมายฮ่องกงค่อนข้างเข้มงวด พวกเขาก็ทำได้แค่ตามตื๊อฉันไปวันๆ แต่ไม่กล้าทำอะไรเกินเลยมากไปกว่านั้น..”
“หึ!ก็ลองทำดูสิ!” หลิงหยุนทำเสียงเย้ยหยัน “เอาล่ะ บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าพวกมันสองคนเป็นใคร”
“นี่นายหึงฉันเหรอ”มู่หลงเฟยจื่อเหลือบมองหลิงหยุน พร้อมกับเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
แต่สายตาของหลิงหยุนกลับบอกว่า– ถ้าพวกมันไม่กลัวตายก็ลองดู ข้าจะฆ่ามันทิ้งเสีย แล้วเอาเนื้อไปโยนให้สุนัขกิน!
“ไม่ต้องห่วง..ฉันเอาตัวรอดได้!” มู่หลงเฟยจื่อรีบร้องบอกหลิงหยุนให้มั่นใจ
“คนแรกชื่อว่าหลิวชุนเซียงเป็นนักลงทุนของเกาะฮ่องกง ตอนนี้อายุห้าสิบกว่าปี เรียกได้ว่าอยู่เกินครึ่งชีวิตมาแล้วล่ะ!”
“ส่วนอีกคนเป็นหนุ่มเพลย์บอยชื่อเปาเฉียงเป็นลูกชายเปาต้าเฉิง นักธุรกิจเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในฮ่องกงเกาะฮ่องกง!”
‘หลิวชุนเซียงกับเปาเฉียงงั้นรึ’
หลิงหยุนจดจำชื่อนี้ไว้ในใจก่อนจะถามออกไปเพื่อความมั่นใจ “แน่ใจนะว่าพวกมันจะไม่กล้าทำอะไรเจ้า”
“ไม่กล้าแน่!”
มู่หลงเฟยจื่อตอบกลับยิ้มๆ“ถ้าพวกเขากล้าทำไม่ดีกับฉัน ฉันคงขอให้ท่านปู่โทรบอกนายตั้งนานแล้วล่ะ!”
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆก่อนจะย้ำกับหญิงสาวว่า “แต่ในเมื่อพวกมันสองคนบังอาจมาตามตื๊อเจ้า ข้าคงไม่ปล่อยมันไปง่ายๆแน่ ต้องให้บทเรียนเล็กๆน้อยๆบ้าง พวกมันจะได้หลาบจำ..”
“แล้วแต่นาย!”
มู่หลงเฟยจื่อไม่ขัดและได้แต่จ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ที่นี่ไม่ใช่จิงฉู แต่เป็นเกาะฮ่องกง ซึ่งเสมือนโลกส่วนตัวของมู่หลงเฟยจื่อกับหลิงหยุน เธอจึงรู้สึกผ่อนคลายเป็นพิเศษ และสามารถพูดจากับเขาได้อย่างสบายอกสบายใจมากขึ้น
“เฟยจื่อ..ข้ามีบางอย่างจะให้เจ้าดู!”
“หืมม..อะไรเหรอ!”
“เจ้าเห็นก็จะรู้เอง!”
หลิงหยุนจัดการเรียบตราหยกจักรพรรดิออกมาหว่างคิ้วจากนั้น ตราหยกขนาดเล็กนิดเดียว ก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆต่อหน้าต่อตาหญิงสาว
“พระเจ้า!นี่มันตราหยกเทียนสี่ที่ฉันให้นายไปนี่!” มู่หลงเฟยจื่อร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ใช่แล้ว!นี่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลเจ้าที่เคยมอบให้กับข้า แต่ข้าเรียกมันว่าตราหยกจักรพรรดิ เจ้าจับตาดูให้ดีนะ!”
ระหว่างที่เอ่ยบอกนั้นหลิงหยุนก็ใช้พลังเหนือธรรมชาติของตน บังคับควบคุมให้ตราหยกจักรพรรดิเปล่งแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าออกมา ก่อนจะค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่าหนึ่งเมตร
“นี่มัน..เป็นไปได้ยังไงกัน!” มู่หลงเฟยจื่อยกมือขึ้นปิดปาก พร้อมกับร้องอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ตราหยกจักรพรรดินี้นับเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งในโลกของผู้บ่มเพาะพลัง!”
หลิงหยุนไม่คิดที่จะปัดบังความจริงกับมู่หลงเฟยจื่อหลังจากนั้นจึงได้แต่เอ่ยถามนางออกไปว่า “เฟยจื่อ เจ้าลองใคร่ครวญดูให้ดีว่า ต้นตระกูลเริ่มต้นของเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ แล้วก็มีความแข็งแกร่งมากเพียงใด?”
ด้วยความอัศจรรย์ของตราหยกจักรพรรดิทำให้หลิงหยุนต้องการรู้ต้นกำเนิดที่แท้จริงของมัน มู่หลงเฟยจื่อทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงตอบกลับหลิงหยุนกลับไปว่า
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันท่านปู่บอกกับฉันเพียงแค่ว่า ตราหยกเทียนสี่นี้เป็นมรดกตกทอดของตระกูล ให้ฉันเก็บรักษาไว้ให้ดี ก็เท่านั้นเอง!”
“…”
หลิงหยุนได้แต่นิ่งเงียบไปหลังจากที่ไม่ได้ข้อมูลอะไรจากมู่หลงเฟยจื่อเลยแม้แต่น้อย เขาจึงได้แต่แอบถอนหายใจ พร้อมกับย่อตราหยกจักรพรรดิลงให้มีขนาดเท่าเข็มเล่นหนึ่ง ก่อนจะเรียกเข้าไปเก็บไว้กลางหว่างคิ้วเช่นเดิม
“เฟยจื่อ..แม้จะยังไม่รู้ต้นกำเนิดที่แท้จริงตราหยกจักรพรรดินี้ แต่ข้าเชื่อว่า ต้นตระกูลของเจ้าจะต้องเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะพลังเช่นเดียวกับข้า!”
“ฉะนั้น..”หลิงหยุนจงใจลากเสียงยาว
มู่หลงเฟยจื่ออดรนทนไม่ได้จึงรีบเอ่ยถามหลิงหยุนทันที “มีอะไรงั้นรึ”
หลิงหยุนยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะตอบกลับไปว่า“ฉะนั้น.. เจ้าควรจะต้องเริ่มฝึกวรยุทธบ่มเพาะกับข้าอย่างไรเล่า ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าเวลานี้ หากได้รับการฝึกฝนเพียงแค่เล็กๆน้อยๆ วันข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นหลิวชุนเซียง หรือเปาเฉียง ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาวุ่นวายกับเจ้าให้รำคาญใจ”
“จริงเหรอ!!”
ดวงหน้างดงามของมู่หลงเฟยจื่อเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่เอ่ยถามหลิงหยุนออกไปว่า “แต่ฉันอายุยี่สิบแล้วนะ.. ไม่แก่เกินไปเหรอ”
หลิงหยุนได้แต่หัวเราะและไม่ตอบคำถามของนาง..
……
ตลอดเวลาสามวันนี้หลิงหยุนทิ้งภารกิจทุกอย่าง และใช้เวลาอยู่กับมู่หลงเฟยจื่ออย่างคุ้มค่า ทั้งสองคนเหาะไปรอบๆเกาะฮ่องกงและพานางเหาะไปตามสถานที่ต่างๆอย่างสนุกสนาน
แต่การพามู่หลงเฟยจื่อเหาะท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆตลอดสามวันนั้นเป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น เพราะหลิงหยุนได้บอกเล่าเรื่องการฝึกวรยุทธบ่มเพาะให้หญิงสาวฟัง นางจึงซึมซับเรื่องเหล่านี้ไปตลอดระยะเวลาสามวัน เขาบอกเล่าตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงลึกซึ้ง และได้อธิบายให้นางเข้าใจในเรื่องการฝึกวรุยทธบ่มเพาะอย่างแท้จริง
นอกเหนือจากการบอกเล่าด้วยวาจาแล้วการที่หลิงหยุนพานางเหาะไปบนท้องนภานั้น ก็เพื่อให้นางได้สามารถเข้าใจโลกของผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะได้อย่างถ่องแท้
ในคืนวันที่สามทั้งหลิงหยุนและมู่หลงเฟยจื่อ ต่างก็พากันไปที่บ้านพักตากอากาศส่วนตัวของพอล ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของเกาะลัมมา บ้านพักตาอากาศหลังนี้ได้สร้างอยู่บนเนินเขา อย่าว่าแต่ผู้คนเลย แม้แต่บ้านสักหลังนอกจากบ้านพักของพอลแล้ว ก็หาไม่มีบ้านหลังอื่นเลย จึงแทบไม่ต้องพูดถึงความเป็นส่วนตัว
นี่คือหนึ่งในกิจการที่พอลซื้อไว้ที่เกาะฮ่องกงแต่เขาไม่ได้ซื้อไว้เพื่อลงทุนหาเงิน แต่เขาซื้อไว้เพื่อชีวิตที่สงบเงียบของตนเองต่างหาก
เหตุผลที่เขาซื้อที่นี่ก็ไม่มีอะไรมากเขาเป็นแวมไพร์ ยิ่งสามารถอยู่ห่างไกลจากมนุษย์ได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อตัวเขาเอง
หลิงหยุนใกล้ที่จะทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไปได้แล้วเขาจึงได้เลือกบ้านของพอลเป็นสถานที่สำหรับทะลวงขั้น จึงได้สั่งให้พอลจัดการทำความสะอาดเตรียมไว้ให้
“เฟยจื่อ..เจ้าจำเรื่องที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังตลอดสามวันได้หรือไม่”
หลิงหยุนหันไปยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยถามมู่หลงเฟยจื่อที่อยู่ภายในห้องนอนด้วยกัน..
“อืมม..” มู่หลงเฟยจื่อรู้ดีว่าหลังจากนี้หลิงหยุนกำลังจะทำอะไร ใบหน้างดงามนั้นเพียงแค่พยักขึ้นลงแทนคำตอบ
ตลอดสามวันที่ชายหนุ่มและหญิงสาวได้อยู่ด้วยกันนั้นทั้งคู่ต่างก็ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงค่อนข้างแน่นแฟ้นกว่าเมื่อได้พบกันวันแรกมาก
“นี่..เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าอย่ามัวแต่มีความสุขจนลืมเรื่องการฝึกเชียวล่ะ..”
“นี่เจ้า..ไปลงนรกเลย!”
“ฮ่าๆๆๆ”หลิงหยุนหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข
และในค่ำคืนนี้กำแพงบางๆที่กั้นระหว่างหลิงหยุนกับมู่หลงเฟยจื่อ ก็ได้ถูกทำลายลง ทั้งคู่บ่มเพาะเคียงคู่กัน
หลิงหยุนสามารถทะลวงเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ได้ในที่สุดและเวลานี้เขาก็เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นชีเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-7) ได้แล้ว!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร