Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1583

บทที่ 1583 : ดินแดนสมอง
  คืนนี้หากนักจากวันที่หลิงหยุนไปเดินวนอยู่หน้าสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ก็ผ่านมาราวสิบสามวันได้แล้ว และในครั้งนั้นเขาก็อยู่ในระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6)
  ความจริงแล้วด้วยพรสวรรค์ที่สูงส่งของหลิงหยุน ประกอบกับวิชาบ่มเพาะที่ล้ำเลิศของเขา ไม่จำเป็นเลยที่หลิงหยุนจะต้องรอมานานถึงเพียงนี้ จึงค่อยพัฒนาสู่ขั้นต่อไปได้ อีกทั้งเขายังมีทรัพยากรในการฝึกฝนอยู่ในมืออีกมากมาย
  หากเขาใช้ทุกสรรพสิ่งที่ตนเองมีอยู่เร่งรัดการฝึกวรยุทธบ่มเพาะของตนเองให้ก้าวหน้าแล้วล่ะก็ แน่นอนว่าเวลานี้ หลิงหยุนคงจะสามารถเข้าสู่ระดับขั้นก่อสร้างรากฐานได้แล้ว
  แต่เห็นได้ชัดว่าหลิงหยุนไม่ต้องการทำเช่นนั้นตลอดเส้นทางของการฝึกบ่มเพาะพลัง สิ่งที่เขาต้องการคือขั้นพลังที่เสถียรมั่นคงแต่ละระดับขั้นที่พัฒนาขึ้นไปนั้น หลิงหยุนไม่ต้องการอาศัยปัจจัยภายนอกเข้ามาช่วย เขาต้องการพัฒนาขั้นพลังด้วยการฝึกฝนของตนเอง
  นี่ต่างหาก..จึงเรียกว่าความสำเร็จได้เต็มปาก!
  ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้นกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต มีสำนักฝึกสอนวรยุทธบ่มเพาะอยู่มากมายราวกับใบไม้ในป่าสน ท่ามกลางสำนักมากมายนี้ ก็มีเหล่าอัจฉริยะอยู่ไม่น้อย แต่ยากนักที่จะหาผู้ใดฝึกฝนจนสำเร็จได้ด้วยตนเอง เรียกได้ว่ามีหนึ่งล้านก็ไม่ผิดนัก
  แม้ว่าหลิงหยุนจะนับเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่บ้าบิ่นและแข็งแกร่งมากผู้หนึ่งในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ หรืออาจจะเป็นเพราะความบ้าบิ่นของเขาก็เป็นได้ ทำให้เขาไม่สามารถผ่านสายฟ้าเทวะสีม่วงที่ทรงพลังยิ่งนั้นมาได้!
  แต่นอนว่า..หลิงหยุนยังไม่รู้ถึงเหตุผลที่แท้จริง ของความล้มเหลวในการรับทัณฑ์สวรรค์ครั้งนั้น!
  ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงตั้งใจไว้ว่า ในการฝึกวรยุทธบ่มเพาะของเขาในโลกนี้ เขาจะต้องผ่านทุกขั้นไปได้ด้วยการฝึกฝนของตนเองเท่านั้น และไม่กล้าหาหนทางลัดในการพัฒนาขั้นพลังอีกเลย เขาไม่ต้องการให้ตนเองต้องมานั่งรู้สึกเสียใจในภายหลัง
  การฝึกบ่มเพาะพลังตามเส้นทางนี้นั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือรากฐานที่มั่นคง หากรากฐานไม่มั่นคงแล้ว ในวันรับทัณฑ์สวรรค์คงต้องมานั่งเสียใจน้ำตานองหน้าเป็นแน่!
  และเขาเองก็ได้รับบทเรียนราคาแพงมาด้วยตนเองแล้ว!
  การฝึกฝนในแบบที่หลิงหยุนทำอยู่เวลานี้แม้จะดูเหมือนเชื่องช้าในช่วงแรก แต่ยิ่งนานวันไป ยิ่งเขาฝึกฝนหนักเท่าไหร่ ก็จะยิ่งก้าวหน้าได้รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น
  แต่การะทะลวงสู่ระดับขั้นในแต่ละครั้งนั้นก็ไม่ต่างจากการบุกทะลวงกำแพงเมืองของเหล่าทหารกล้า ที่บางครั้งต้องวิ่งข้ามสะพานเล็กๆ หากไม่ระมัดระวังให้ดี ก็อาจตกลงไปตายได้ เช่นเดียวกันกับการทะลวงขั้น หากไม่ทำอย่างระมัดระวัง ก็อาจเกิดผิดพลาดจนธาตุไฟแตกซ่าน และส่งอาจกระทบต่อพลังบ่มเพาะที่เฝ้าฝึกฝนมาตลอดก็เป็นได้
  แต่หลิงหยุนนั้นแตกต่างจากผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะคนอื่นๆเพราะก่อนที่เขาจะทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไปนั้น คล้ายกับว่าได้มีการขุดร่องนำ และเปิดประตูเมืองรอไว้ก่อนแล้ว เหลือเพียงแค่ปล่อยน้ำให้ไหลบ่าเข้ามาเท่านั้น..
  การที่หลิงหยุนเลือกที่จะบ่มเพาะเคียงคู่กับมู่หลงเฟยจื่อนั้นหาใช่เพราะเขาต้องการพลังหยินบริสุทธิ์จากนาง แต่เป็นเพราะขามาอยู่ที่นี่แล้ว จึงต้องการใช้โอกาสนี้ดึงนางเข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะพลังด้วยกัน!
  หากเปรียบเทียบระหว่างพรสวรรค์ของมู่หลงเฟยจื่อกับเกาเฉินเฉินแล้วแม้นางจะไม่ได้รับพลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดิเข้าไปเช่นเดียวกับเกาเฉินเฉิน แต่พรสวรรค์ของนางกลับมิได้ด้อยไปกว่าเกาเฉินเฉินเลย  อีกทั้งตลอดสามวันที่อยู่ด้วยกันมาหลิงหยุนไม่เพียงบอกเล่า และถ่ายทอดวิชาบ่มเพาะพลังให้กับมู่หลงเฟยจื่อ แต่ยังได้ใช้พลังหยินและหยางของตน ช่วยปรับสภาพร่างกายให้กับนางด้วย มิหนำซ้ำยังใช้เปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางบ่มเพาะเส้นลมปราณ และถ่ายเทพลังปราณเสวียนหวงเข้าไปร่าง รวมทั้งให้นางดื่มน้ำลายมังกรเข้าไปด้วย
  ฉะนั้นภายในสามวันที่อยู่กับหลิงหยุนนั้น มู่หลงเฟยจื่อจึงได้รับประโยชน์ไปอย่างมากมายมหาศาล!
  ตลอดระยะเวลาการบ่มเพาะเคียงคู่กันชั่วข้ามคืนนั้นไม่เพียงเส้นลมปราณเยิ่นกับเส้นลมปราณตูของนางจะเชื่อต่อกัน แต่ยังสามารถทะลวงจุดซือไห่กลางหน้าผากได้อีกด้วย และเวลานี้มู่หลงเฟยจื่อก็เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเอ้อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-2) ได้แล้ว
  ทั้งเกาเฉินเฉินกับมู่หลงเฟยจื่อนั้นได้กลายมาเป็นผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะ โดยที่ไม่ต้องฝึกฝนเลยแม้แต่น้อย และหลังจากนี้ หลิงหยุนก็ไม่จำเป็นต้องให้นางเร่งฝึกฝนวิชาเพื่อพัฒนาขั้นนัก เพราะหลังจากนี้อีกครึ่งเดือน ควรต้องทำให้ขั้นพลังเสถียรเสียก่อน
  “เฟยจื่อเจ้าพักผ่อนไปก่อน ข้าจะไปข้างนอกประเดี๋ยว!”
  ในราวตีหนึ่งของเช้าวันถัดไปหลิงหยุนก็ปล่อยให้มู่หลงเฟยจื่อนอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องเพียงลำพัง..
  “อืมม..แล้วรีบกลับมาล่ะ!”
  มู่หลงเฟยจื่อเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างอ่อนแรงก่อนจะล้มตัวลงนอนต่ออย่างหมดเรี่ยวแรง
  หลิงหยุนหันไปยิ้มอ่อนโยนให้กับมู่หลงเฟยจื่อก่อนจะเหาะออกมาจากห้องนอน หลังจากเหาะออกมาได้ไม่นานนัก หลิงหยุนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากท้องนภา ซึ่งเขาเองก็มิได้นึกประหลาดใจนัก และได้เหาะไปหาสถานที่สำหรับรับทัณฑ์สวรรค์
  หลิงหยุนเหาะไปทางด้านทิศใต้และทัณฑ์เมฆาสีดำที่ปรากฏขึ้น ก็ได้ลอยตามร่างของเขาไปอย่างกระชั้นชิด
  ก่อนหน้านี้อัตราความเร็วสูงสุดในการเหาะของหลิงหยุนนั้น เท่ากับแปดเท่าของความเร็วเสียง แต่ตอนนี้ ความเร็วสูงสุดในการเหาะของเขา กลับเพิ่มสูงเป็นยี่สิบสี่เท่าของเสียงเลยทีเดียว!
  เวลานี้หลิงหยุนสามารถเหาะไปได้ด้วยความเร็วแปดพันเมตรต่อวินาที ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์นั้น เป็นความเร็วที่เกินกว่าความเร็วในเอกภพ..
  หากจะอธิบายให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นหลิงหยุนในตอนนี้ สามารถเหาะออกไปนอกโลกไล่ตามดาวเทียมได้ทัน หรือจะเหาะรอบโลกก็ยังได้
  หลายคนอาจมีคำถามว่าหากหลิงหยุนเหาะไปด้วยความเร็วเช่นนั้น แรงปะทะ และแรงเสียดสีในห้วงอากาศ จะไม่ทำให้กายเนื้อของเขาได้รับบาดเจ็บบ้างเลยหรือ
  แทบไม่ต้องพูดถึงว่าหลิงหยุนมีโล่ทัณฑ์เมฆาสีดำที่ปรากฏขึ้น ก็ได้ลอยตามร่างของเขาไปอย่างกระชั้นชิด
  ก่อนหน้านี้อัตราความเร็วสูงสุดในการเหาะของหลิงหยุนนั้น เท่ากับแปดเท่าของความเร็วเสียง แต่ตอนนี้ ความเร็วสูงสุดในการเหาะของเขา กลับเพิ่มสูงเป็นยี่สิบสี่เท่าของเสียงเลยทีเดียว!
  เวลานี้หลิงหยุนสามารถเหาะไปได้ด้วยความเร็วแปดพันเมตรต่อวินาที ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์นั้น เป็นความเร็วที่เกินกว่าความเร็วในเอกภพ..
  หากจะอธิบายให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นหลิงหยุนในตอนนี้ สามารถเหาะออกไปนอกโลกไล่ตามดาวเทียมได้ทัน หรือจะเหาะรอบโลกก็ยังได้
  หลายคนอาจมีคำถามว่าหากหลิงหยุนเหาะไปด้วยความเร็วเช่นนั้น แรงปะทะ และแรงเสียดสีในห้วงอากาศ จะไม่ทำให้กายเนื้อของเขาได้รับบาดเจ็บบ้างเลยหรือ
  แทบไม่ต้องพูดถึงว่าหลิงหยุนมีโล่ลมปราณที่สามารถป้องกันร่างกายได้ แต่เขาแทบไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะเวลานี้ เพียงแค่กายเนื้อของเขา ก็สามารถเหาะไปได้ด้วยความเร็วสูงสุดโดยไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย
  นั่นเพราะเวลานี้หลิงหยุนฝึกวิชาดาราคุ้มกายสำเร็จถึงขั้นที่สามแล้ว เรียกได้ว่าไม่หวั่นต่ออันตรายที่เกิดจากพิษ ความเย็น หรือความร้อน สามารถบุกน้ำลุยไฟได้อย่างสบาย ไม่เสียทีที่หลิงหยุนเฝ้าฝึกฝนอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำให้เขาสามารถเหาะไปในห้วงอวกาศได้โดยไม่มีอันตรายใดๆ
  ทั้งการบ่มเพาะกายาและการบ่มเพาะพลัง ทั้งสองสิ่งนี้ล้วนต้องไปด้วยกัน ต่างก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน!
  ไม่เพียงความเร็วในการเหาะที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมากแต่การทะลวงเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ ยังทำให้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนแผ่ขยายขอบเขตออกไปอย่างกว้างขวางมากขึ้นด้วย ทำให้เขาสามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติในการควบคุมกระบี่เหินได้ไกลขึ้นอีกด้วย
  ความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัวนี้แม้แต่ตัวหลิงหยุนเองยังไม่คาดคิด และนับว่าเหนือความคาดหวังของเขาไปมาก ที่สำคัญ.. เวลานี้จุดซือไห่ของเขาก็ได้ขยายใหญ่จากเดิมถึงสามเท่า!
  แต่สำหรับหลิงหยุนการขยายใหญ่ของจุดซือไห่นั้นยังไม่ใช่เรื่องสำคัญมากเท่าไหร่ สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ พื้นที่สมองของหลิงหยุนที่มีการพัฒนาขึ้นจากเดิมมาก
  ในขั้นพลังชี่นี้เป็นการกลั่นพลังบ่มเพาะจิตวิญญาณ สิ่งสำคัญในด่านสุดท้ายของขั้นพลังชี่ก็คือ การพัฒนาพื้นที่ของสมอง ซึ่งนับเป็นองค์ประกอบสำคัญของผู้ฝึกบ่มเพาะในขั้นนี้
  จนกระทั่งคืนนี้หลิงหยุนเพิ่งจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า การที่สมุดจักรพรรดิพุ่งเข้าไปในจุดตันเถียนของเขา เมื่อครั้งที่ยังอยู่ใต้ก้นหลุมยักษ์นั้น หาใช่ความบังเอิญไม่ แต่การจงใจ และเป็นความร่วมมือระหว่างสมุดจักรพรรดิแห่งผืนแผ่นดิน กับพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ ที่ต้องการทำเพื่อเขา
  ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่หลิงหยุนได้ลงไปสำรวจก้นหลุมยักษ์ และเส้นทางแห่งการฝึกฝนเพื่อความเป็นเซียน ก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา หลิงหยุนเห็นภาพของจักรวาลกว้างใหญ่ ที่มีเส้นทางดวงดาวพร่างพรายอยู่ตรงหน้า ครั้งนั้นเขาคิดว่ามันคือภาพของจักรวาลที่กว้างใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ภาพที่เขาเห็นในตอนนั้น กลับเป็นภาพจากดินแดนในสมองของเขาเอง
  สมุดจักรพรรดิแห่งผืนแผ่นดินได้จำลองดินแดนในสมองของเขาออกมาให้เห็น ส่วนพู่กันจักรพรรดินั้น ก็ได้จำลองเส้นทางดวงดาวสู่ความเป็นเซียนขึ้นมา และทั้งหมดนั้นก็มิใช่จักรวาลที่แท้จริง แต่มันคือภาพสะท้อนดินแดนในสมองของหลิงหยุนเวลานี้
  หลิงหยุนยังจำได้ว่าครั้งนั้นเส้นทางดวงดาวที่พู่กันจักรพรรดิวาดขึ้นมานั้น มีดวงดาวเปล่งประกายระยิบระยับมากมายอย่างนับไม่ถ้วน หลิงหยุนเพิ่งจะเข้าใจในเวลานี้ว่า ดวงดาวที่ทอประกายระยิบระยับมากมายที่เขาเห็นนั้น แท้ที่จริงก็คือเซลประสาทจำนวนมากในสมองของเขานั่นเอง!
  พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์นั้นไม่เคยทำให้หลิงหยุนผิดหวังจริงๆ เมื่อรู้ว่าหลิงหยุนต้องการที่จะทะลวงเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ ก็ได้เตรียมการเพื่อช่วยเขาสามารถพัฒนาพื้นที่สมองในการทะลวงขั้นนี้ด้วย
  “โอ้..พ่อหนุ่ม นี่เจ้าเพิ่งจะรู้หรอกรึ”
  ระหว่างที่หลิงหยุนเหาะไปท่ามกลางดวงดาวระยิบระยับบนท้องนภาดวงจิตของพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ก็พุ่งออกมาจากจุดซือไห่ พร้อมกับเอ่ยถามหลิงหยุนด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
  “ขอบคุณอาวุโสที่เมตตาช่วยเหลือ!”
  หลิงหยุนรีบเหาะเข้าไปใกล้ร่างเลือนลางของพู่กันจักรพรรดิพร้อมกับทำการคาราวะ และเอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ  “นี่..ไม่ต้องคาราวะขอบคุณข้า!”
  ดวงจิตของพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์เอ่ยตอบอย่างรวดเร็วพร้อมกับอธิบายว่า “การทำเช่นนั้นต้องใช้พลังมากนัก ข้าคงไม่สามารถทำได้หากสมุดจักรพรรดิมิร่วมมือ..”
  “แต่ก่อนหน้านี้ขั้นพลังบ่มเพาะของเจ้ายังอ่อนหัดนักข้าจึงคร้านที่จะพูดให้เสียเวลา..”
  “นับว่าโชคดีที่เจ้าเองก็พัฒนาขั้นได้รวดเร็วทำให้ความพยายามของพวกข้าทั้งสองไม่สุญเปล่า มิหนำซ้ำยังเป็นไปด้วยดีมากกว่าที่คิด!”
  “จำไว้ว่า..เจ้าก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ขั้นก่อสร้างรากฐานก็อยู่ไม่ไกลนัก นอกเหนือจากต้องฝึกฝนวรยุทธต่อสู้ให้มากแล้ว เจ้ายังต้องใช้เวลาใคร่ครวญ และไตร่ตรองอักษรโบราณมากมายที่ผุดขึ้นมาในหัวของเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะนั่นจะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนในขั้นก่อสร้างรากฐานของเจ้ามาก..”   หลังจากที่พู่กันจักรพรรดิเอ่ยมาถึงตรงนี้สีหน้าของเขาที่จ้องมองหลิงหยุนนั้น ก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทัณฑ์เมฆาดำทะมึน
  “ฮ่าๆๆๆเอาล่ะ กำลังจะมีคนนำของกำนัลมาให้เจ้าแล้ว เตรียมรอรับได้เลย!”
  หลังจากกล่าวจบพู่กันจักรพรรดิก็กลายร่างเป็นลำแสงสีทอง พุ่งกลับเข้าไปในจุดกึ่งกลางหว่างคิ้วของหลิงหยุนทันที!
  “…”
  หลิงหยุนได้แต่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง..
  ��

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร