บทที่ 1585 : เส้นลมปราณสุกสว่าง
เวลานี้ทั้งหลิงหยุนและโจวเหวินอี้ต่างก็เป็นอาวุโสของหน่วยนภา ทั้งคู่จึงนับว่ามีศัตรูคนเดียวกัน เมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนสามารถยึดเรือพิฆาตของทหารอเมริกันมาได้ โจวเหวินอี้ก็ถึงกับยิ้มกว้างออกมาทันที แต่เมื่อได้ยินคำพูดประโยคต่อมาของหลิงหยุน รอยยิ้มนั้นกลับอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว
“ส่งคนมาขับเรือกลับไปได้เลยอย่างนั้นหรือ!”
โจวเหวินอี้ได้แต่ตกตะลึงและเมื่อได้สติ เขาจึงรีบถามหลิงหยุนกลับไปทันที “แล้วคนบนเรือเล่า อย่าบอกนะว่าเจ้าสังหารพวกเขาตายหมดแล้ว!”
โจวเหวินอี้เป็นผู้รับผิดชอบดูแลหน่วยนภาแม้เขาจะมิได้สนใจเรื่องของกองทัพนัก เพราะหน้าที่ของเขาคือดูแลเหล่าชาวยุทธ แต่เขาก็รู้ว่าเรือพิฆาตนั้นใหญ่โตเพียงใด อีกทั้งยังมีถึงสามลำ ฉะนั้นบรรดาลูกเรือของเรือทั้งสามลำ คงจะมีไม่ต่ำกว่าพันแน่ หากหลิงหยุนลงมือสังหารพวกเขาตายหมด ย่อมต้องเกิดเรื่องใหญ่โตอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้!
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะร่วนอย่างมีความสุขเมื่อได้ยินน้ำเสียงตกอกตกใจของโจวเหวินอี้ “ฮ่าๆๆๆ ขวัญอ่อนเหลือเกินนะอาวุโสโจว! ข้าย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงมิได้สังหารพวกมันเลยแม้แต่คนเดียว เวลานี้เรือทั้งสามลำไม่มีทหารเหลืออยู่แม้แต่คนเดียว ข้าไม่มีเวลาดูแลจัดการ จึงได้โทรมาขอความช่วยเหลือจากท่านอย่างไรเล่า!”
“โอ้..ขอบคุณสวรรค์!”
โจวเหวินอี้ถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความโล่งอกแต่หลังจากนั้น จึงเอ่ยถามหลิงหยุนด้วยความสงสัย
“เจ้ามิได้สังหารผู้ใดแม้แต่คนเดียวงั้นรึ!เช่นนั้น.. เหตุใดพวกเขาจึงยอมทิ้งเรือไปง่ายๆโดยไม่ขัดขืนเช่นนี้? เท่าที่ข้ารู้มา เรือพิฆาตของอเมริกันมีอาวุธทันสมัยมากมาย อีกทั้งยังมีถึงสามลำเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เจ้าจะยึดมาโดยที่พวกเขาไม่ตอบโต้!”
“ไม่เห็นมีอะไรจะต้องแปลกใจ!ในเมื่ออาวุธของข้าเหนือกว่าอาวุธของพวกมันหลายเท่านัก!”
หลิงหยุนเอ่ยตอบพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์“อาวุธของข้าก็คือกระแสไฟแรงสูง.. พวกมันถึงได้หวาดกลัวจนยอมทิ้งเรือหนีไปอย่างไรเล่า”
“กระแสไฟแรงสูงงั้นรึหมายความเช่นใดกัน” โจวเหวินอี้ร้องถามด้วยสีหน้างุนงง
“ข้าลืมไป!ข้ายังไม่ได้บอกกับท่านสินะ คืนนี้ข้าเพิ่งจะทะลวงขั้นได้ จึงเหาะมารับทัณฑ์สวรรค์ที่นี่ ทัณฑ์เมฆาก็ได้ลอยตามร่างของข้ามาด้วย เฮ้อ.. ต้องโทษที่พวกมันโชคร้ายเองต่างหาก!”
“….”
โจวเหวินอี้ได้แต่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกเขาอดที่จะจินตนาการภาพอันน่าสยดสยองนั้นไม่ได้ เพราะเพียงแค่คนตระกูลหลิงสามคนรับทัณฑ์สวรรค์ในคืนนั้น ยังน่ากลัวและสยดสยองยิ่งนัก แต่นี่เป็นหลิงหยุน!
โจวเหวินอี้ได้แต่ส่ายศรีษะไปมาอย่างนึกเห็นใจก่อนจะถามหลิงหยุนต่อ..
“เจ้าปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาแล้วปล่อยพวกเขากลับไปเช่นนี้ มิเท่ากับเปิดเผยฐานะของตนเองให้พวกเขารู้หรืออย่างไร”
“เฮ้อ..อาวุโสโจว! นี่ท่านคิดว่าพวกมันจะมีโอกาสได้เห็นใบหน้าของข้างั้นรึ”
โจวเหวินอี้ยังคงไม่เข้าใจและได้แต่เอ่ยถามหลิงหยุนออกไปว่า “อ่อ.. นี่เจ้าคงจะปิดหน้าปิดตา ทำตัวเป็นโจรสลัดปล้นเรือสินะ”
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆ“ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ที่แน่ๆ พวกมันกลับไป คงไปบอกเล่าให้ผู้อื่นฟังว่า พวกมันได้พบกับเรื่องราวลี้ลับเหนือธรรมชาติเป็นแน่!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
โจวเหวินอี้หัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุขก่อนจะบอกกับหลิงหยุนต่อว่า “เอาล่ะข้าเข้าใจแล้ว! เจ้ารีบส่งตำแหน่งของเรือมาให้ข้า และช่วยอยู่เฝ้าเรือทั้งสามลำไว้ก่อน ข้าจะรีบส่งคนไปจัดการเดี๋ยวนี้!”
เรือพิฆาตลำหนึ่งมีมูลค่านับพันล้านหลิงหยุนยึดมาได้ถึงสามลำเช่นนี้ มีหรือที่โจวเหวินอี้จะไม่ตื่นเต้นดีใจ และเวลานี้เขาก็วุ่นวายอยู่กับวิทยุสื่อสารในมือ
ส่วนหลิงหยุนนั้นหลังจากที่ส่งตำแหน่งของเรือให้โจวเหวินอี้ไปแล้ว ก็ได้อยู่เฝ้าเรือให้ตามที่เขาบอก แต่เนื่องจากเป็นเวลาตีสามครึ่งพอดี หลิงหยุนจึงมิได้รออยู่บนเรือ แต่เหาะขึ้นไปบนท้องนภาฝึกวิชาดาราคุ้มกายแทน
พลังจันทราสีเหลืองสุกสว่างได้ทอดลงปกคลุมร่างของหลิงหยุนไว้ทั่วทั้งร่าง ในขณะเดียวกัน ดวงดารานับล้านดวงที่ถักทอเรียงตัวกันดั่งเส้นไหม และกำลังส่องประกายระยิบระยับอยู่นั้น ก็ได้ถูกหลิงหยุนดูดซับเข้าไปในร่างอย่างต่อเนื่อง ช่างเป็นภาพที่งดงามและดูลี้ลับยิ่งนัก หลังจากที่ฝึกวิชาดาราคุ้มกายเสร็จแล้วหลิงหยุนก็เริ่มสำรวจเข้าไปภายในร่างกายของตนเองอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาเริ่มสำรวจเข้าไปที่จุดตันเถียนของตนเองก่อน และพบว่า เมื่อเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่นี้ จุดตันเถียนที่น่าอัศจรรย์ของเขาก็ได้หดเล็กลงจากเดิมอีก ทำให้ขนาดของกระแสวนหยิน–หยางนั้นลดขนาดลงไปด้วย แต่อัตราความเร็วในการหมุนของมันนั้นกลับเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า
ในขณะที่ดวงตาปลาหยินและปลาหยางนั้นก็สามารถผลิตพลังหยินและหยางออกมาได้รวดเร็วราวกับภูเขาไฟระเบิด มีพลังหยินและหยางจำนวนมากพวยพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสอง พลังทั้งสองชนิดหมุนเป็นวงกลมด้วยความรวดเร็ว จนสายตาไม่อาจแยกได้ว่าสายไหนคือพลังหยิน และสายไหนคือพลังหยาง..
ท่ามกลางความวุ่นวายภายในจุดตันเถียนนั้นหลิงหยุนเพ่งพินิจด้วยจิตหยั่งรู้อันทรงพลัง ทำให้เขาสามารถมองเห็นภายในได้อย่างชัดเจน..
เวลานี้มังกรทองที่อยู่ภายในจุดตันเถียนของเขานั้นกำลังเปล่งประกายสุกสว่างยิ่ง และกำลังร่ายรำประหนึ่งมังกรจริงๆ
สระอสุนีบาตภายในจุดตันเถียนเวลานี้สายฟ้าหลากสีสรรได้พุ่งทะยานออกมาได้เอง และกำลังฟาดกระหน่ำเข้าใส่ร่างของมังกรสีทอง
ส่วนสมุดจักรพรรดิแห่งผืนแผ่นดินนั้นหลิงหยุนยังคงเห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก มันยังคงล่องลอยอยู่ในจุดตันเถียน และช่วยดูแลรักษาจุดตันเถียนของเขาอยู่เช่นเดิม
พลังหยินและหยางพุ่งออกจากจุดตันเถียนและเคลื่อนไปตามเส้นลมปราณภายในร่างของหลิงหยุน ก่อนจะพุ่งทะยานเข้าสู่จุดซือไห่กลางหว่างคิ้ว แล้วจึงกลั่นตัวเป็นหยดเสินหยวนอย่างรวดเร็ว
เวลานี้การกลั่นเสินหยวนเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งจนแม้แต่หลิงหยุนยังยากที่จะนับปริมาณของมันได้ เสินหยวนจำนวนมากเช่นนี้ นอกจากจะเพียงพอสำหรับใช้ในการต่อสู้แล้ว ยังเพียงพอต่อการพัฒนาดินแดนในสมองของเขาอีกด้วย
หลังการทะลวงขั้นในครั้งนี้สิ่งที่หลิงหยุนสนใจคือร่างกายที่เปลี่ยนแปลงของตนเองมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเส้นลมปราณ หรือจุดฝังเข็มต่างๆ
เส้นลมปราณภายในร่างกายของมนุษย์นั้นมีเส้นลมปราณหลักสิบสองเส้นและเส้นลมปราณวิสามัญแปดเส้น แต่หลังจากที่หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นชีเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-7) แล้ว เส้นลมปราณทั้งหก รวมทั้งเส้นลมปราณหยางทั้งสามภายในเส้นลมปราณวิสามัญทั้งแปด ซึ่งได้แก่เส้นลมปราณหยางเชียว เส้นลมปราณหยางเหวย และเส้นลมปราณตู เส้นลมปราณทั้งเก้าเส้นนี้ เริ่มเปล่งประกายสุกใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดฝังเข็มที่อยู่บนเส้นลมปราณเหล่านี้ เริ่มทอประกายสว่างเจิดจ้าขึ้นมาก
การเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้แม้แต่หลิงหยุนเองก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเช่นกัน แต่เขาเชื่อว่า การที่เส้นลมปราณของเขาเปล่งประกายสว่างเจิดจ้าเช่นนี้ ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับภาพดวงดาวในดินแดนสมองของตนเองอย่างแน่นอน!
เส้นลมปราณหยางเชียวควบคุมการเปิดปิดของดวงตา และการเคลื่อนไหวของร่างกายกับรยางค์ล่าง
เส้นลมปราณหยางเหวยเชื่อมโยงกับเส้นลมปราณหยางทั้งหมด ทำหน้าที่ควบคุมและกำกับการไหลเวียนชี่ภายในและภายนอก ให้สมดุลสอดคล้องสัมพันธ์กัน
ส่วนเส้นลมปราณตูนั้นมีวิถีการไหลเวียนหลักอยู่ตลอดแนวเส้นกลางลำตัวด้านหลังและศีรษะ และเชื่อมโยงกับเส้นลมปราณหยางทุกเส้น ทำหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนของชี่ ในเส้นลมปราณหยางทั้งหมด จึงได้รับสมญาว่า ‘ทะเลแห่งเส้นลมปราณหยาง’ หลิงหยุนถึงกับยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ!
การที่เข้าสู่ด่านสุดท้ายของขั้นพลังชี่แล้วเส้นลมปราณทั้งเก้ากลับส่องสว่างสุกใสเช่นนี้ แม้ผู้อื่นจะมิรู้ความหมาย แต่หลิงหยุนย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด เพราะนั่นหมายความว่า นับจากนี้ไปเขาจะมีความสามารถที่พิเศษเพิ่มขึ้นมาอีก
และการที่เส้นลมปราณทั้งเก้าของเขาเปล่งแสงสุกสว่างเช่นนี้ทำให้เขาไม่ต้องกังวลว่า ภายในร่างกายจะเกิดภาวะหยินหยางไม่สมดุลในขณะที่ฝึกวิชาหยางพิสุทธิ์อีก หรือพูดง่ายๆก็คือว่า หลังจากนี้ หลิงหยุนจะสามารถใช้วิชาพลังลับหยิน–หยาง และวิชาหยางพิสุทธิ์ได้ในเวลาพร้อมกันนั่นเอง!
“อาวุโส..ท่านคงต้องการให้ข้าเน้นฝึกวิชาหยางพิสุทธิ์ให้มากสินะ”
หลิงหยุนยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ..
“ไม่ดีรึ!”
เสียงของพู่กันจักรพรรดิดังขึ้นในห้วงจิตของหลิงหยุนเขาได้แต่ยิ้มและเอ่ยตอบกลับไปว่า “ขอบคุณอาวุโสยิ่งนัก ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง!”
หลังจากสนทนากับพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์อยู่ครู่หนึ่งเขาก็ได้หยุดการสำรวจภายในร่างกายไว้เพียงเท่านั้น และเริ่มฝึกวิชาดาราคุ้มกายต่อไป
หลังจากผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงหลิงหยุนก็สามารถเข้าสู่ขั้นที่หกของดาราคุ้มกายได้สำเร็จ!
หลิงหยุนเหาะกลับลงไปที่เรือและไม่นานนัก เขาก็เห็นเฮลิคอปเตอร์หกลำบินกำลังบินตรงมาทางเรือพิฆาตอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร