บทที่ 1609 : ฉางเฟิงกับโฉวเปิ่น
ทันทีที่ลืมตาขึ้นหลิงหยุนก็ได้เปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองออกสำรวจไปทั่วบริเวณโดยรอบ และพบว่าเวลานี้ ภูเขานับแสนลูกกำลังรายล้อมอยู่รอบตัว ที่นี่ไม่ใช่ชายแดนประเทศพม่า แต่กลับเป็นจุดตัดระหว่างหยุนหนานกับกุ้ยโจวในประเทศจีนนั่นเอง
และด้วยภูมิประเทศที่รายล้อมไปด้วยภูเขาเช่นนี้แน่นอนว่าหลิงหยุนย่อมต้องรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี
นั่นเพราะในช่วงที่เขาเดินทางมาเผ่าเหมี่ยวเจียงนั้นเขาได้เหาะสำรวจดูภูมิทัศน์ของหมู่บ้านแห่งนี้หลายต่อหลายครั้ง เพื่อหาสถานที่สำหรับฝึกบ่มเพาะ เรียกได้ว่าเขาสำรวจจนสามารถจดจำภูมิทัศน์แถบนี้ได้เป็นอย่างดี
แต่เพื่อให้มั่นใจยิ่งขึ้นหลิงหยุนจึงได้เรียกเครื่องมือสื่อสารออกมาเปิดดู เพื่อตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของที่นี่อีกครั้ง และก็เป็นดังที่เขาคิดไว้จริงๆ จากที่นี่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือราวหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลเมตร ก็จะเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเหมี่ยวเจียง
จากนั้นหลิงหยุนจึงได้ใช้เครื่องมือสื่อสาร ลองคำนวณระยะทางจากเมืองมิตจินาประเทศพม่า มาจนถึงจุดที่เขายืนอยู่ และพบว่าเป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตรเลยทีเดียว ทำให้หลิงหยุนได้แต่นิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึง
นั่นเพราะภายใต้ระยะทางที่ยาวหลายพันกิโลเมตรนี้สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ กลับพาเขามาถึงปลายทางได้ด้วยเวลาเพียงแค่สองอึดใจ อัตราความเร็วในการเคลื่อนที่ของสมุดจักรพรรดินั้น เรียกได้ว่าเหนือกว่าผู้ที่มีพลังบ่มเพาะในขั้นแก่นปราณทองคำเสียอีก!
และนี่ก็เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่าสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ มิได้เดินทางด้วยการเหาะเหินเดินอากาศอย่างแน่นอน!
“อาวุโส!นี่ท่าน.. ท่านใช้วิธีย่อปฐพีงั้นรึ!”หลิงหยินเอ่ยถามออกไปตามตรง
“เจ้าคาดเดาได้เก่งไม่น้อยทีเดียว!”
สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพยังคงยืนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ในขณะที่เอ่ยชมหลิงหยุน ก็แอบที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อยไม่ได้
“อาวุโส..เหตุในท่านจึงนำข้ามาที่นี่”
หลิงหยุนหันมองสำรวจไปรอบตัวตอนนี้เป็นเวลาห้านาฬิกาของเช้าวันใหม่แล้ว ทั่วทั้งบริเวณจึงยังคงมืดสนิทอยู่ แต่ผืนนภาทางด้านทิศตะวันออก กลับเริ่มมีแสงสว่างสีขาวเจิดจ้าปรากฏขึ้นบ้างแล้ว
“หากข้าไม่นำเจ้ามาที่นี่ด้วยเจ้าก็คงต้องใช้วิธีเดิมในการกลับประเทศอยู่ดีมิใช่รึ”
สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพย้อนถามแต่ดูเหมือนไม่คิดที่จะอยากได้คำตอบจากหลิงหยุน เขายกมือขึ้นชี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งท้องนภายังคงมืดครึ้ม พร้อมกับเอ่ยต่อทันที
“เจ้าดูนั่นสิ!” หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองตามนิ้วมือของสมุดจักรพรรดิไปและพบว่าไกลออกไปนั้น มีบางสิ่งบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายดาวตกสีทอง กำลังพุ่งผ่านท้องนภามืดมิดตรงมายังที่เขายืนอยู่
เพียงแค่พริบตาเดียวแสงสีทองสุกสว่างนั้นก็มาปรากฏขึ้นตรงหน้าของคนทั้งสอง และได้กลายร่างเป็นชายชราผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์นั่นเอง!
“ยินดีที่ได้พบอาวุโสอีกครั้ง!”
ทันทีที่สมุดจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ปรากฏกายขึ้นหลิงหยุนก็รีบเอ่ยทักทายอย่างรวดเร็ว หลังจากที่สังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หลิงหยุนก็พบว่า ครั้งนี้สีหน้าของสมุดจักรพรรดิดูไม่สู้ดีนัก แววตาที่เคยเปล่งประกายสดใส ก็ดูเหมือนจะหม่นลงกว่าก่อนมาก และเห็นได้ชัดว่าสีหน้าของเขาดูหงุดหงิดรำคาญใจไม่น้อย..
หลิงหยุนนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนที่สมุดจักรพรรดิจะหายวับไป เมื่อครั้งที่ปรากฏกายขึ้นใต้ดินเพื่อช่วยเขานั้น สมุดจักรพรรดิได้พูดขึ้นว่า เขาจะไปคิดบัญชีกับศัตรูเก่าแก่ และดูจากสีหน้าท่าทางของเขาเวลานี้ ก็คล้ายกับว่าเพิ่งจะผ่านศึกหนักที่ค่อนข้างเหน็ดเหนื่อยมาไม่น้อย
แต่ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะได้เอ่ยถามอะไรออกไปสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพก็เป็นฝ่ายร้องถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นเสียก่อน
“สะกดไว้ได้หรือไม่”
“ได้!”
พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์เอ่ยตอบพร้อมกับพยักหน้า “แต่กว่าจะสะกดไว้ได้ ข้าก็ต้องเสียพลังไปมากมาย! ครั้งนี้พลังของเขาเพิ่มขึ้นมากจนน่ากลัว ข้าต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเลยทีเดียว!”
หลิงหยุนได้แต่ฟังอยู่อย่างเงียบๆเพราะไม่รู้ว่าอาวุโสทั้งสองกำลังสนทนาเรื่องใดอยู่กันแน่ แต่แล้วก็อดรนทนไม่ได้ จนต้องเอ่ยถามออกมาด้วยความอยากรู้ “อาวุโสทั้งสอง!พวกท่านกำลังเอ่ยถึงผู้ใดกันแน่ ศัตรูที่พวกท่านกล่าวถึงคือเทพแห่งน้ำก้งกงงั้นรึ?”
“เทพแห่งน้ำก้งกงอะไรกันเล่า”
สมุดจักรพรรดิทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจนักพร้อมกับจ้องมองหลิงหยุน และเอ่ยต่อในทันที “ก้งกงใช้ศรีษะโขกเขาปู้โจวจบชีวิตตนเองไปแล้ว!”
“นี่เจ้าเด็กดื้อรั้น!ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้งว่า คราวหน้าคราวหลังเมื่อเข้าสู่ดินแดนของเผ่าเหมี่ยวเจียว ห้ามเจ้านำกระบี่โลหิตเทวะเล่มนั้นออกมาใช้โดยเด็ดขาด!”
“แล้ววันหน้าหากต้องเผชิญกับความเป็นความตายขึ้นมาอีก อย่าได้อายที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากพวกข้าทั้งสอง อย่าได้เชื่อมั่นในความสามารถของตนเองจนเกินไปนัก!”
“…”
หลิงหยุนได้แต่ยืนนิ่งฟังพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ตำหนิ ด้วยสีหน้าที่งุนงง และไม่เข้าใจว่าตนเองทำความผิดอะไร
สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่กระแอมออกมาเบาๆสองสามครั้ง ก่อนจะเอ่ยเตือนพู่กันจักรพรรดิว่า
“ฉางเฟิงอย่าได้ใช้อารมณ์ส่วนตัวนัก ท่านจะโมโหโทโสไปใยเล่า ลืมคำสั่งของเจ้านายแล้วรึ?!”
‘ฉาง..เฟิง..’
หลิงหยุนได้แต่ยืนอ้าปากค้างฟังอาวุโสทั้งสองตอบโต้กันไปมา ราวกับตนเองเป็นส่วนเกิน แต่นั่นก็ทำให้เขาได้รู้ชื่อของพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์
ทันทีที่พู่กันจักรพรรดิได้ยินสมุดจักรพรรดิเอ่ยเรียกชื่อตนเองต่อหน้าหลิงหยุนเช่นนั้นก็กระโดดลอยขึ้นไปบนท้องนภาด้วยความโมโห พร้อมกับร้องตำหนิเสียงดัง
“โฉวเปิ่น!นี่ท่านเอ่ยนามของข้าออกมาให้เจ้าเด็กนี่รู้ได้อย่างไรกัน”
‘อะไรนะ!’ หลิงหยุนได้แต่แอบลิงโลดอยู่ภายในใจเพราะการถกเถียงระหว่างพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ และสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพนั้น ได้ทำให้หลิงหยุนรู้นามของทั้งคู่เข้าโดยบังเอิญ
พู่กันของจักรพรรดิฝูซีนามว่าฉางเฟิงและสมุดของจักรพรรดิเสินหนงนามว่าโฉวเปิ่น!
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดในใจและแอบยิ้มอยู่คนเดียว ‘ช่างตั้งชื่อได้เหมาะสมมากจริงๆ!’
หลังจากที่เห็นอาวุโสทั้งสองยังคงตั้งหน้าตั้งตาโต้เถียงกันอย่างจริงจังหลิงหยุนจึงได้แต่ประสานมือไว้ข้างหน้า และโน้มตัวลงพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า
“หลิงหยุนคาราวะอาวุโสฉางเฟิงและอาวุโสโฉวเปิ่น!”
นี่เป็นการคาระวะต่ออาวุโสทั้งสองอย่างเป็นทางการของหลิงหยุน!
แต่ก็ไม่ผิดจากที่เขาคาดไว้ทั้งสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ และพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ ต่างก็พากันเหาะหนีให้พ้นจากทิศทางการคาราวะของหลิงหยุน พร้อมกับกล่าวขึ้นเสียงเครียดพร้อมกันในทันที
“พวกเราบอกแล้วอย่างไรเล่าชะตาลิขิตให้เจ้ามาเป็นเจ้านายของพวกเรา เหตุใดยังต้องมีมารยาทเช่นนี้ด้วย”
จากนั้นร่างของสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพก็มาปรากฏกายข้างหลิงหยุน พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก
“ถ้าเจ้าเห็นว่าพวกข้าทั้งสองคนมีอายุยืนยาวเกินกว่าจะเรียกชื่อเฉยๆแล้วล่ะก็ เจ้าก็เรียกพวกเราสองคนว่าอาวุโสเช่นเดิมก็ได้!”
แม้ว่าพู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิ จะเป็นเพียงแค่ของวิเศษระดับเต๋า แต่ในสายตาของหลิงหยุน ของวิเศษระดับเต๋าทั้งสองชิ้นนี้ กลับไม่ต่างจากมนุษย์จริงๆเลยแม้แต่น้อย!
เวลานี้หลิงหยุนเริ่มพอที่จะทำความเข้าใจกับเรื่องราวต่างๆได้มากขึ้นแล้ว เขาเชื่อว่าทั้งพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดินั้น ล้วนแล้วแต่เป็นของวิเศษที่จักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ และจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ จงใจละทิ้งไว้ให้คอยปกป้อง ‘บุรุษที่ถูกลิขิต’
ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงไม่ต้องการแสดงตนเหนือกว่า หรือทำตัวเป็นเจ้านายของสมบัติระดับเต๋าทั้งสองชิ้น เหมือนกับที่ปฏิบัติต่อแวมพร์ซึ่งเป็นบริวารทั้งห้าของเขา!
อย่างมากที่สุดที่เขาจะทำได้ก็คือเห็นอาวุโสทั้งสองเป็นสหายเท่านั้น!
“หากเป็นเช่นนี้ข้าขอเรียกพวกท่านทั้งสองว่า ท่านฉางเฟิงกับท่านโฉวเปิ่น ไม่ทราบพวกท่านคิดเห็นเช่นใด” หลิงหยุนลังเลเล็กน้อย ก่อนที่จะตัดสินใจเอ่ยบอกไป
“เยี่ยมทีเดียว!”โฉวเปิ่นพยักหน้า พร้อมกับร้องตะโกนบอกหลิงหยุนด้วยความพอใจ
“แล้วแต่เจ้า!”ฉางเฟิงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย ดูเหมือนจะไม่สนใจนักว่า หลิงหยุนจะเรียกขานตนเองเช่นใด “ท่านฉางเฟิง..ว่าแต่ท่านรีบร้อนมาที่นี่เพื่อจัดการกับผู้ใดงั้นรึ”
หลังจากที่แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการแล้วหลิงหยุนก็ไม่ลืมที่จะย้อนกลับไปถามเรื่องที่เขายังคงไม่ได้คำตอบ แม้โฉวเปิ่นจะบอกกับเขาแล้วว่าไม่ใช่เทพเจ้าแห่งน้ำก้งกง แต่ก็ยังมิมีผู้ใดตอบคำถามของเขา
เพียงแต่ฉางเฟิงสั่งห้ามไม่ให้เขานำกระบี่โลหิตเทวะออกมาเท่านั้นแม้เขาพอจะคาดเดาไว้ภายในใจบ้างแล้ว แต่ก็ยังอยากจะได้ยินจากปากของฉางเฟิงเพื่อให้มั่นใจ
หลังจากที่ได้ฟังคำถามของหลิงหยุนทั้งฉางเฟิงและโฉวเปิ่นก็แต่หันไปมองหน้ากันแน่นิ่ง แต่หลังจากนั้นทั้งคู่ก็พยักหน้าขึ้นพร้อมกัน
จากนั้นทั้งฉางเฟิงและโฉวเปิ่นต่างก็พาหลิงหยุนเหาะขึ้นไปบนท้องนภา เพียงแค่พริบตาเดียว ทั้งสามคนก็กำลังเหาะอยู่เหนือหมู่บ้านของเหมี่ยวเฟิงหวง
“หลิงหยุนเจ้ามองลงไปด้านล่าง!” พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์เอ่ยขึ้นพร้อมกับก้มลงมองไปยังผืนดินเบื้องล่าง “เจ้าสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบ้างหรือไม่”
“มีสิ่งใดผิดปกติเกิดขึ้นงั้นรึ!”
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจทันทีพร้อมกับใช้เนตรหยิน–หยางจ้องมองลงไปยังผืนดินเบื้องล่าง หลังจากที่สำรวจดูอย่างละเอียด ใจของเขาถึงกับเต้นแรงขึ้นมาทันที
“ท่านฉางเฟิงที่ท่านพาข้ามาที่นี่ เกี่ยวกับกับอารามที่บูชารูปปั้น.. ซือโหยวหรือไม่”
“ไม่เลวทีเดียว!”
พู่กันจักรพรรดิพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงพึงพอใจแล้วจึงเอ่ยถามหลิงหยุนต่อทันนที
“เช่นนั้นเจ้าลองสำรวจดูให้ดีว่าหากเปรียบเทียบกับเมื่อครั้งที่เจ้ามาก่อนหน้านี้ ภายในอารามแห่งนั้นมีสิ่งใดเปลี่ยนไปหรือไม่”
หลิงหยุนจ้องมองไปยังอารามเบื้องล่างและสังเกตดูอย่างละเอียดอีกครั้ง สีหน้าของเขาถึงกับเปลี่ยนไปทันที ร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อย
“ดูเหมือนจะมีพลังที่ดุร้ายเพิ่มขึ้นมากไม่เพียงแค่ในอารามเท่านั้น แต่ดูเหมือนจะขยายไปทั่วทั้งหมู่บ้านด้วย!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร