บทที่ 1610 : ข้ากลายเป็นหุ่นเชิด
“ไม่เลวเลยทีเดียว!”
พู่กันจักรพรรดิเอ่ยชมพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้หลิงหยุนเขาพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกล่าวต่อว่า “การที่เจ้าสามารถสัมผัสถึงการเปลี่ยนที่เกิดขึ้นได้ ย่อมหมายความว่า ความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ก้าวหน้าขึ้นมากเลยทีเดียว..”
แต่พู่กันจักรพรรดิก็เอ่ยบอกหลิงหยุนเพียงเท่านั้นมิได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม แต่เปลี่ยนไปสนทนกับหลิงหยุนในเรื่องอื่นแทน
“หลิงหยุนเมื่อครั้งก่อนที่เจ้ามาหมู่บ้านแห่งนี้ เด็กสาวผู้หนึ่งได้ขอให้เจ้านำกระบี่โลหิตเทวะออกมาให้ดู แล้วเจ้าก็นำออกมาให้นางดู เจ้ายังจำเหตุการณ์ครั้งนั้นได้หรือไม่”
“ท่านฉางเฟิงข้าย่อมจำได้!”
หลิงหยุนยังจำได้ว่าเด็กสาวที่พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์เอ่ยถึงนั้น ก็คือเหมี่ยวเฟิงหวงที่ได้กลืนโอสถเยาว์วัยของเขาเข้าไป จนเปลี่ยนเป็นเด็กสาวหน้าตาอ่อนเยาว์ และนางก็ได้ขอให้เขานำกระบี่โลหิตเทวะออกมาให้ดู แต่หลิงหยุนเห็นว่า เรื่องนี้หาใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร จึงมิได้ใส่ใจอะไรนัก
จากนั้นพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ก็ได้เอ่ยต่อว่า “สิ่งที่เด็กสาวผู้นั้นบอกกับเจ้า ล้วนเป็นความจริง! กระบี่โลหิตเทวะที่เจ้าครอบครองอยู่ในเวลานี้ ผู้ที่เป็นเจ้าของคนแรกก็คือ เทพแห่งสงครามซือโหยว!”
“และเป็นเพราะเจ้านำกระบี่โลหิตเทวะออกมาในครั้งนั้นทำให้รูปปั้นของซือโหยวเทพแห่งสงคราม ซึ่งลูกหลานและบรรพชนชาวเหมี่ยวเจียงสักการะบูชากันมานานนับพันปี ได้รับพลังดุร้ายจากรัศมีของกระบี่เล่มนั้นเข้าไป จึงสามารถสร้างเงาจำลองขึ้นมาสำเร็จ..”
ฉางเฟิงยกมือขึ้นชี้ไปยังหมู่บ้านเหมี่ยวที่อยู่เบื้องล่างพร้อมกับกล่าวต่อว่า “เมื่อครู่เจ้าถามข้าว่า เหตุใดข้าจึงรีบร้อนออกมาใช่หรือไม่ เอาล่ะ ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ก็ได้ ที่ข้ารีบร้อนมาที่นี่นั้นก็เพราะว่า ข้าต้องรีบมายับยั้งเงาจำลองของซือโหยวไว้ชั่วคราวอย่างไรเล่า!”
“เรื่องราวเป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ”
หลิงหยุนพึมพำออกมาในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจเหตุผลเบื้องลึกของเหตุการณ์ครั้งนี้ สายตาของหลิงหยุนยังคงจับจ้องอยู่ที่รูปปั้นขนาดใหญ่ของเทพเจ้าซือโหยว ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางหมู่บ้าน พร้อมกับแอบสูดลมหายใจเข้าลึก..
หากมิได้พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและมองด้วยตาเนื้อทั่วไป รูปปั้นสูงใหญ่ของเทพเจ้าซือโหยวนี้ ก็คงไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากใบหน้าที่ดูเสมือนจริงราวกับมีชีวิต..
แต่เมื่อหลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้และเนตรหยิน–หยางจ้องมอง และสำรวจดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงได้พบว่า ภาพของเทพเจ้าซือโหยวเวลานี้ กลับกลายเป็นเลือนลางคล้ายมีหมอกขาวปกคลุมไว้ชั้นหนึ่ง แม้แต่จิตหยั่งรู้และเนตรหยิน–หยางของเขา ยังมิอาจมองทะลุหมอกขาวนั้นไปได้
ภายใต้ภาพที่เลือนลางนั้นหลิงหยุนสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโลหิตจางๆ และรัศมีดุร้ายที่พวยพุ่งออกมา ซึ่งเป็นรัศมีแบบเดียวกันกับที่พวยพุ่งออกมาจากกระบี่โลหิตเทวะของเขา!
หลิงหยุนเพิ่งเข้าใจว่าและไม่นึกประหลาดใจเลยว่า เพราะเหตุใดพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ จึงได้กำชับมิให้เขานำกระบี่โลหิตเทวะออกมาอีก หากยังอยู่ในเขตแดนแห่งนี้!
เวลานี้หลิงหยุนรู้แล้วว่ากลิ่นอายโลหิต และรัศมีดุร้ายที่ปกคลุมหมู่บ้านอยู่นั้น แท้จริงคือรัศมีดุร้ายที่แผ่ซ่านออกมาจากรูปปั้นของเทพเจ้าแห่งสงครามซือโหยวนี่เอง!
ภายใต้รัศมีจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนเวลานี้รัศมีดุร้ายที่แผ่ขยายครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างใหญ่หลายร้อยลี้นั้น ค่อยๆเบาบางจางคลายลงเรื่อยๆ เขาอดคิดไม่ได้ว่า หากพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์มิได้ลงมือกระทำการใดๆ รัศมีดุร้ายนี้คงจะขยายออกไปจนครอบคลุมดินแดนขุนเขากว่าแสนลูกไว้ทั้งหมดเป็นแน่!
สีหน้าของหลิงหยุนพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีที่คิดเช่นนั้นนั่นเพราะเขาเข้าใจได้ดีว่า หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นจริงๆ ย่อมหมายถึง การถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้อีกครั้งของเทพแห่งสงครามซือโหยว!
“อาวุโสทั้งสองในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราควรทำเช่นไรต่อไปดี”
สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นพร้อมกับส่ายศรีษะไปมา พร้อมกับเปรยขึ้นเบาๆ
“สวรรค์ลิขิตแล้ว..”
“จะทำเช่นใดนับจากนี้ขึ้นอยู่กับเจ้า เจ้าควรต้องถามตนเองต่างหากเล่า..”
ฉางเฟิง– พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ ก็ได้แต่จ้องมองหลิงหยุนแน่นิ่ง ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “ในระหว่างที่เจ้าอยู่ใต้ดิน การที่เจ้านำกระบี่โลหิตเทวะออกมา เพื่อใช้ต่อสู้กับโลหิตก้งกงนั้น ได้ไปกระตุ้นพลังให้กับเงาจำลองของซือโหยว จนเกือบจะสามารถทำลายผนึกที่ข้าสะกดไว้เมื่อครั้งก่อนได้ ข้าจึงต้องรีบรุดมาที่นี่อย่างไรกันเล่า อ่อ.. เจ้าเห็นหมอกสีขาวที่ปกคลุมรูปปั้นซือโหยวนั่นหรือไม่”
“นับว่าโชคดีที่เฒ่าโฉวเปิ่นสังเกตเห็นความผิดปกตินี้เสียก่อนจึงได้สร้างรัศมีสีทองสุกสว่างขึ้นมาห่อหุ้มร่างของเจ้าไว้ นั่นไม่เพียงเป็นการปกป้องเจ้า แต่ยังเป็นการตัดการเชื่อมต่อของกระบี่โลหิตเทวะกับรูปปั้นซือโหยวอีกด้วย ข้าจึงพอมีเวลาที่ตามไปสะกดมันไว้ได้อีกครั้ง หาไม่แล้วก็คงยากที่จะคาดเดาได้ว่า จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นอีกบ้าง”
หลิงหยุนเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้วเวลานี้แต่สิ่งที่เขายังคงงุนงงสงสัยก็คือ “เอ่อ.. อาวุโสทั้งสอง แล้วเหตุใดเรื่องทั้งหมดจึงต้องขึ้นอยู่กับข้าด้วยเล่า”
คำถามขอหลิงหยุนนั้นต้องการจะสื่อออกไปว่าในเมื่อทั้งสองท่านเก่งกว่าเขาตั้งมากมาย ยังไม่สามารถจัดการอะไรได้ แล้วเขาจะสามารถทำอะไรได้มากกว่างั้นหรือ
“ฮึ่ม!”
ฉางเฟิงได้แต่ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจในขณะที่โฉวเปิ่นกลับยิ้มออกมา และอธิบายให้หลิงหยุนฟังว่า
“หลิงหยุนเจ้าครอบครองกระบี่โลหิตเทวะ จึงเปรียบเสมือนหัวหน้าเผ่าของชาวเหมี่ยวเจียง อีกทั้งยังเป็นบุรุษที่ถูกลิขิตมา ฉะนั้น คำถามที่เจ้าถามพวกข้า เจ้าควรต้องถามตนเองมิใช่รึ”
หลิงหยุนถึงกับจิตใจสั่นสะท้านและรีบเอ่ยถามกลับไปทันที “เป็นความจริงหรือที่โชคชะตาของข้า ถูกลิขิตให้มาเป็นผู้จัดการกับเทพแห่งสงครามซือโหยว!”
นับตั้งแต่หลิงหยุนได้ครอบครองพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ชาวยุทธต่างก็พากันร่ำลือว่า เขาคือบุรุษที่ถูกลิขิตมา แต่จนถึงบัดนี้ เขายังไม่เคยรู้เลยว่า ตนเองต้องทำอะไรบ้าง
ฉะนั้นนี่นับเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ถามอาวุโสทั้งสองให้เข้าใจเสียที!
“ไม่ใช่!”
ครั้งนี้ฉางเฟิงและโฉวเปิ่นถึงกับส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกันจากนั้นท่านโฉวเปิ่นจึงเป็นฝ่ายอธิบายให้หลิงหยุนฟังแทน
“ภารกิจของเจ้ายิ่งใหญ่กว่านั้นแต่หากจะตอบว่าใช่ ก็คงต้องอธิบายเพิ่มเติมว่า นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นภารกิจของเจ้าเท่านั้น!”
“…..”
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มกว้างด้วยความตกตะลึงพร้อมกับหันมองทั้งสองคนสลับกันไปมา หากภารกิจเกี่ยวกับเทพสงครามซือโหยวเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ในวันข้างหน้า ภารกิจของเขาจะมิยิ่งยากเย็นแสนเข็ญไปกว่านี้หรอกหรือ
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิงหยุนก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า อยากจะนำกระบี่โลหิตเทวะเล่มนี้ใส่เข้าไปในแหวนจักรวาลสักวง แล้วจัดการนำแหวนนี้ไปทิ้งไว้กลางห้วงจักรวาล และปล่อยให้มันล่องลอยอยู่เช่นนั้น เพื่อที่มันจะได้ไม่กลับมาปรากฏบนโลกใบนี้อีก!
“ไร้ประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้นเพราะเจ้าจะไม่สามารถกำจัดกระบี่เล่มนี้ออกไปได้!”
ดูเหมือนท่านโฉวเปิ่นจะล่วงรู้ความคิดของหลิงหยุนเขาจึงได้เอ่ยขัดขึ้นมายิ้มๆ “เรื่องนี้สามารถทำให้โลกเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ และจักรพรรดิในอดีตกาลทั้งสามพระองค์ได้เห็นพ้องต้องกันในเรื่องนี้ เจ้านายของพวกข้าก็ดูเหมือนจะรู้การล่วงหน้า จึงได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า..”
“แต่ถึงอย่างนั้นพวกท่านทั้งสอง..”
สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพหยุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะก้มลงมองไปยังรูปั้นของเทพแห่งสงครามซือโหยวเบื้องล่าง พร้อมกับเอ่ยต่อว่า
“ทั้งจักรพรรดิเหยียนตี้และเทพสงครามซือโหยว ต่างก็ล่วงรู้กาลข้างหน้า จึงได้เตรียมการสำหรับตนไว้ หาไม่แล้วกระบี่โลหิตเทวะคงจะไม่ไปอยู่ใต้ก้นหลุมยักษ์นั้นเป็นแน่!”
จากนั้นท่านโฉวเปิ่นก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่ท้องนภาเบื้องบนพร้อมกับท้าทายหลิงหยุน “หากเจ้ามิเชื่อคำพูดของข้า ก็ลองทดสอบดูตอนนี้เลยก็ได้ ข้าจะไปกับเจ้าเอง ดูว่าเจ้าจะสามารถกำจัดกระบี่โลหิตเทวะนี้ได้หรือไม่”
“ข้าเพียงแค่คิดเท่านั้นเอง..ท่านโฉวเปิ่นมิต้องจริงจังถึงเพียงนี้ก็ได้!”
หลิงหยุนเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเก้อเขินเล็กน้อยพร้อมกับยกมือขึ้นเกาศรีษะ ก่อนจะเอ่ยถามคำถามสำคัญออกไป
“แต่เวลานี้ข้าเองก็มีทั้งสมบัติของสามจักรพรรดิ อีกทั้งยังมีกระบี่โลหิตเทวะด้วย เช่นนี้แล้ว ข้าควรทำอย่างไรดี”
แม้จะเป็นเพียงแค่คำถามแต่ก็สามารถบ่งบอกถึงอารมณ์ความรู้สึกของหลิงหยุนในเวลานี้ได้เป็นอย่างดี จักรพรรดิทั้งสามและเทพแห่งสงครามซือโหยว ต่างก็รู้กาลข้างหน้า และได้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นนี้ ส่วนเขาก็คือบุรุษผู้ถูกลิขิต หากเป็นเช่นนี้ มิเท่ากับว่าเขาต้องตกเป็นหุ่นเชิดของทั้งสองฝ่ายหรอกหรือ
ด้วยอุปนิสัยของหลิงหยุนแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นประโยชน์กับเขามากก็ตาม แต่เขาจะไม่มีวันยอมเป็นหุ่นเชิดให้ผู้ใดทั้งสิ้น! หากเป็นเช่นนี้ เขาคงต้องรีบฝึกฝนให้เข้าสู่อาณาจักรแก่นปราณทองคำโดยเร็ว หลังจากนั้น เขาจะได้รีบหนีไปจากโลกใบนี้ และไม่หวนกลับมาอีกเลย!
“เจ้ามิจำเป็นต้องเป็นหุ่นเชิดของผู้ใดทั้งสิ้น!”
สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“แม้ว่าทั้งสามจักรพรรดิและเทพสงครามซือโหยว ต่างก็ได้วางหมากไว้ล่วงหน้า แต่ในเมื่อเจ้าคือบุรุษผู้ถูกลิขิต เจ้าจึงเป็นผู้ที่จะต้องตัดสินใจด้วยตัวเองเองว่าจะจัดการเช่นใด..”
“ค่อยยังชั่ว..”
หลิงหยุนพึมพำออกมาด้วยความพอใจกับคำตอบของสมุดจักรพรรดิเขาพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมเอ่ยถามต่อทันที
“แล้วข้าควรทำเช่นใดต่อไปดีพวกท่านพอจะแนะนำข้าได้หรือไม่”
“ง่ายมาก!”
พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์เป็นฝ่ายตอบขึ้นมาแทน“รีบฝึกบ่มเพาะให้เสามารถเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานโดยเร็วที่สุดให้ได้!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร