บทที่ 1611 : เวลาไม่คอยท่า
ตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งครึ่งเดือนหลังนี้ ทุกคราที่หลิงหยุนได้สื่อสารกับสมุดจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ เขาก็มักจะคอยเตือนหลิงหยุน และเร่งเร้าให้เขามุ่งมั่นฝึกฝนบ่มเพาะพลังให้ก้าวหน้าโดยเร็ว
หลิงหยุนรู้สึกและรับรู้ได้ถึงความผิดปกตินี้มาโดยตลอดเขารู้ดีว่าย่อมมีเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้ฉางเฟิงต้องเฝ้าเตือน และกระตุ้นเขาให้เร่งฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อมาถึงวันนี้ เขาจึงได้เข้าใจจนเกือบจะกระจ่างแล้ว..
โลกกำลังจะเปลี่ยนแปลง..
ภารกิจที่แท้จริงของเขากำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วหนทางที่ยาวไกล มาพร้อมกับหน้าที่ความรับผิดชอบที่หนักหน่วง!
เมื่อใดก็ตามที่หายนะมาเยือนโลกมนุษย์แต่หลิงหยุนกลับไม่แข็งแกร่งเพียงพอ เมื่อนั้น เขาจะต้องเผชิญกับปัญหาที่จะตามมาอีกมากมาย
“อาวุโสทั้งสองได้โปรดวางใจ!”
หลิงหยุนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ“ด้วยทรัพยากรในการฝึกบ่มเพาะพลัง ที่อยู่ในมือของข้าเวลานี้ แทบไม่ต้องพูดถึงขั้นก่อสร้างรากฐาน หากข้าต้องการ ย่อมสามารถพัฒนาพลังขั้นได้สูงกว่านั้นแน่!”
คำพูดของหลิงหยุนไม่นับเป็นการโอ้อวดแต่อย่างใดเขาคือผู้บ่มเพาะพลังในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ ผู้กลับมาจุติใหม่อีกครั้งด้วยความทรงจำเดิมๆ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสามารถคำนวณได้ว่า ในแต่การพัฒนาขั้นพลังแต่ละขั้นนั้น จะต้องใช้ทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังมากเพียงใด
เวลานี้หลิงหยุนเพิ่งจะเสร็จสิ้นไล่ดูดซับพลังชีวิต ไปตามเส้นลมปราณปฐพีที่ยาวหลายร้อยกิโลเมตร อีกทั้งยังขุดเอาหยกและหินพลังชีวิตตามเส้นทางนั้นกลับไปได้อย่างมากมาย มิหนำซ้ำเขายังมีรากปราณเขาปู้โจวอยู่ในมือ ยังไม่นับรวมทรัพยากรในการฝึกฝนต่างๆ ที่หลิงหยุนรวบรวมมาได้ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ด้วยปริมาณทรัพยากรในมือของเขาเวลานี้ การจะพัฒนาขั้นพลังในเวลาใกล้เคียงกัน จึงไม่นับเป็นเรื่องที่เกินความสามารถเลย
เหตุผลสำคัญอีกหนึ่งข้อก็คือหลิงหยุนเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) ได้ด้วยการดูดซับเอาพลังพุทธะของเหล่าภิกษุเข้าไป และบางคนยังเป็นถึงปรมาจารย์ที่เกิดดวงตาบรรลุธรรมแล้วด้วย
อีกทั้งเนตรหยิน–หยางของหลิงหยุนเวลานี้ก็ยังสามารถใช้งานได้อย่างยอดเยี่ยม โลกใบนี้กว้างใหญ่ หากหินพลังชีวิตที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ เขาก็สามารถออกไปค้นหาได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
นอกเหนือจากเนตรหยิน–หยางแล้วการที่หลิงหยุนเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ได้นั้น ยังทำให้ดินแดนสมองของเขาพัฒนา จนเกิดดวงตาทิพย์เทียนเอี๋ยนทงขึ้นด้วย
และที่สำคัญเวลานี้ หากหลิงหยุนต้องการเดินทางไปในที่ใด เขาก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยเพียงแค่การเหาะไปบนท้องนภาเท่านั้น แต่ยังมีก้าววิเศษเทียนจู๋ทง ที่เพียงแค่หนึ่งก้าว ก็สามารถเดินทางไปได้ไกลถึงหนึ่งหมื่นเมตร!
ด้วยความสามารถที่เพิ่มขึ้นมานี้ไม่ว่าจะเป็นขุนเขา หรือแม่น้ำใดๆ ที่ร่ำลือกันว่ามีพลังชีวิตอยู่หนาแน่น หลิงหยุนก็สามารถเดินทางไปถึงสถานที่เหล่านั้น ได้ในเวลาอันรวดเร็ว และง่ายดายยิ่งกว่าเดิม!
พูดง่ายๆก็คือเมื่อหลิงหยุนฝึกบ่มเพาะพลังจนก้าวหน้ามาถึงขั้นนี้แล้ว นับจากนี้ไป ก็ยากนักที่จะมีสิ่งใด หรือผู้ใดสามารถรั้งเขาไว้ได้อีก!
ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นพลังปราณชนิดใด เทพ มาร หรือพุทธะ หลิงหยุนก็ล้วนแล้วแต่ดูดซับเข้าไปได้หมด และนี่นับเป็นข้อได้เปรียบของหลิงหยุน อย่างยากที่จะหาผู้ใดเทียบได้!
ฉะนั้นแล้วเมื่อใดที่หลิงหยุนต้องการทรัพยากรในการฝึกบ่มเพาะพลัง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด หรือว่าอยู่ที่ใด หากหลิงหยุนต้องการที่จะได้มา เขาย่อมต้องได้มา เช่นนี้แล้ว ยังจะมีผู้ใดในโลกที่จะสามารถทัดเทียมเขาได้อีก!
และนี่คือวิธีระดมทรัพยากรในการฝึกบ่มเพาะพลังของหลิงหยุน!
ในโลกใบใหญ่ใบนี้แม้ว่าแหล่งพลังชีวิตจะถูกทำลายลงไปมาก ทำให้พลังชีวิตค่อนข้างขาดแคลน แต่หลิงหยุนก็เชือว่า จะมีเพียงพอให้เขาฝึกสำเร็จได้จนถึงขั้นแก่นปราณทองคำอย่างแน่นอน หรืออาจจะสูงกว่านั้น..
จากเหตุผลข้างต้นที่กล่าวมาทั้งหมดทำให้หลิงหยุนมั่นใจในการฝึกบ่มเพาะพลังของตนเองเป็นอย่างมาก!
“อาวุโสทั้งสองมิต้องร้อนใจไปนัก!พวกท่านต่างก็เห็นแล้วว่า หลังจากที่ข้าเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ได้แล้ว ข้าก็ใช้เวลาเพียงแค่สองสามวัน พัฒนาเข้าสู่ขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) ได้”
“ขอเวลาให้ข้าอีกสักระยะรอให้ขั้นพลังของข้าเสถียรเมื่อใด ข้าจะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่า จะเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานเมื่อใด ขออาวุโสทั้งสองอย่าได้เร่งรัดข้านัก..”
หลังจากเอ่ยจบหลิงหยุนก็ได้หันไปมองท่านฉางเฟิงกับท่านโฉวเปิ่น และพบว่าทั้งคู่กำลังยืนทำสีหน้านิ่งเรียบ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆต่อคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย จนหลิงหยุนได้แต่นึกประหลาด และอดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้
“เอ่อ..มีอะไรงั้นรึอาวุโสทั้งสอง! ต่อให้โลกใบนี้จะต้องเปลี่ยนแปลงจริงๆ ก็คงจะไม่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันกระมัง หรือนี่เป็นเรื่องเร่งด่วนถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
“เจ้าอยากจะฝึกฝนเช่นใดหรือนานเพียงใด ก็แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน!”
พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์เอ่ยตอบและทำสีหน้าท่าทางไม่แยแสใส่ใจอีก ในขณะที่สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ ก็ได้แต่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วจึงได้เอ่ยตอบหลิงหยุนกลับไปว่า
“โลกนี้มิได้เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันอย่างที่เจ้ากล่าวจริงๆฉะนั้น พวกเราจึงไม่จำเป็นต้องร้อนใจ หรือเร่งเร้าอะไรเจ้านัก!”
“ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งปีที่เจ้าฝึกฝนบ่มเพาะพลังจนก้าวหน้าขึ้นมาได้ทีละขั้นนั้น ล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาของพวกเราทั้งคู่ แม้ว่าเวลานี้โลกมนุษย์จะเข้าสู่ยุคแห่งกาลอวสานแล้ว ด้วยพลังชีวิตที่ร่อยหรอขาดแคลน แต่เจ้าก็ยังสามารถหาหนทางฝึกฝนพัฒนาขั้นพลังมาจนถึงขั้นนี้ได้ คงไม่มีสิ่งใดให้พวกเราสองคนต้องกังวลใจ..”
หลิงหยุนตั้งใจฟังคำกล่าวของท่านโฉวเปิ่นอย่างใจจดใจจ่อพร้อมกับพยักหน้าไปด้วย เขาคือผู้กลับมาจุติอีกครั้งด้วยดวงจิตเดิม จึงมิได้ขาดแคลนประสบการณ์ และวิชาฝึกบ่มเพาะแต่อย่างใด สิ่งเดียวที่ขาดแคลนก็คือพลังชีวิต..”
ตามความตั้งใจเดิมของหลิงหยุนนั้นเขาคาดการว่าจะสามารถฝึกฝนให้เข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานได้ภายในเวลาครึ่งปี ซึ่งระยะเวลาที่เขาคาดการนั้น ก็คำนวณโดยยึดเอาพลังชีวิตบนโลกที่ขาดแคลนเป็นหลัก
และด้วยพรสวรรค์ของหลิงหยุนการจะเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐาน จึงนับไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเลย แม้จะมีปัจจัยเรื่องพลังชีวิตที่ขาดแคลนก็ตามที
แต่ตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยผ่านมานานถึงเจ็ดเดือนแล้ว แต่หลิงหยุนกลับเพิ่งเข้าสู่ขั้นจิ่วเฉิงชี่ได้..
หาใช่เพราะหลิงหยุนไร้พรสวรรค์ไม่แต่เขาเลือกที่จะใช้เวลาไปกับการฝึกวิชาต่างๆ ที่ขึ้นชื่อว่าฝึกฝนได้ยากเย็นก่อนนั่นเอง และเพื่อให้มีรากฐานพลังที่แข็งแกร่งมากที่สุด กระทั่งทุกวันนี้ หลิงหยุนยังใช้เวลาบางส่วนไปกับการบ่มเพาะกายา ด้วยวิชาดาราคุ้มกายอย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือจากวิชาดาราคุ้มกายแล้วก็ยังมีวิชาพลังลับหยิน–หยาง วิชาหยางพิสุทธิ์..
วิชาที่กล่าวถึงขั้นต้นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นวิชาบ่มเพาะพลังที่ล้ำเลิศในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ หากเป็นผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะทั่วไปได้ฝึกวิชาทั้งสามนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถเข้าสู่ในขั้นเดียวกับที่หลิงหยุนทำได้ในเวลาเพียงแค่ครึ่งปี!
ฉะนั้นแล้วพรสวรรค์ทั้งหลายของหลิงหยุน ล้วนมิได้เกิดจากความบังเอิญหรือความโชคดี แต่เกิดจากวิชาที่เขาเลือกมาฝึกฝนทั้งสิ้น ทำให้เขากลายเป็นอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะบนโลกใบนี้!
ทั้งหมดนี้ทำให้หลิงหยุนสามารถสังหารผู้ที่มีพลังบ่มเพาะเหนือกว่าได้ จนชื่อเสียงของเขาร่ำลือไปไกลทั่วทุกสารทิศ และสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้แก่เหล่าชาวยุทธมากมาย
จนกระทั่งตอนนี้ในที่สุด หลิงหยุนก็ใกล้จะเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานแล้ว!
สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพเอ่ยออกมายิ้มๆ“ทั้งข้าและฉางเฟิงอยู่กับเจ้ามานาน พบว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้วยความรอบคอบและมีสติ ไม่รีบร้อนที่จะประสบความสำเร็จ ที่ผ่านมาเจ้าเองก็ไม่เคยมีปัญหาใดๆในระหว่างการฝึกฝน ฉะนั้นแล้ว เจ้าจะเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานในเร็ววัน หรือจะช้าไปกว่านี้ ข้าก็มิได้กังวลใจอะไรนัก..”
“ขั้นพลังบ่มเพาะเป็นเพียงภาพลวงตาความแข็งแกร่งที่แท้จริงต่างหากคือของจริง!” พู่กันจักรพรรดิพยักหน้าเห็นด้วย พร้อมกับเอ่ยเสริมขึ้นมา
“เพียงแต่..เวลามิคอยท่า!”
จู่ๆสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังต้องการเตือนหลิงหยุนกลายๆ
“ไม่ทราบว่าอาวุโสทั้งสองต้องการบอกสิ่งใดกับข้ากันแน่”
หลิงหยุนเอ่ยถามขึ้นทันทีที่จับน้ำเสียงผิดปกติของสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพได้
“มีเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ต้องทำแต่หากเจ้ายังไม่เข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐาน ก็ยากที่จะทำได้!”
ดูเหมือนสมุดจักรพรรดิคร้านที่จะพูดอ้อมค้อมอีกจึงเอ่ยบอกหลิงหยุนออกไปตามตรง..
“นี่เจ้าหนู!อย่าได้คิดว่าเวลานี้ตนเองเหนือกว่าผู้คนทั้งโลก และทรัพยากรในการฝึกบ่มเพาะพลังบนโลกใบนี้ จะเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว!”
“มีกลุ่มคนที่เจ้าเองยังมิเคยพบเจอพวกเขาล้วนแล้วแต่เร่งฝึกฝนบ่มเพาะพลังจนก้าวหน้า และดูเหมือนจะเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานกันได้มากมายแล้ว..”
“ผู้ใดกันงั้นรึ!”
หลิงหยุนเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
“เจ้าเองย่อมรู้อยู่แก่ใจ”
ทันทีที่พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์เอ่ยจบก็กลายเป็นแสงสีสองสุกสว่าง พุ่งกลับเข้าไปในหว่างคิ้วของหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว
ส่วนโฉวเปิ่นสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพก็ได้แต่ยืนหันมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนิ่งเงียบ..
และทิศทางที่เขาจ้องมองออกไปนั้นก็คือที่ตั้งของเขาคุนหลุน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร