บทที่ 1612 : ผนึกถูกทำลาย
“นี่!ใช่ว่าข้าจะต้องการสร้างปัญหาเสียหน่อย..”
เมื่อเห็นโฉวเปิ่นพู่กันจักรพรรดิแห่งผืนพิภพเอาแต่ยืนนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้นหลิงหยุนก็ได้แต่ยิ้มขื่น แต่ก็คร้านที่จะโต้เถียงกับของวิเศษระดับเต๋าทั้งสองชิ้น จึงได้แต่บ่นพึมพำเบาๆ
ถึงอย่างไรทั้งพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ และสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุศักดิ์สิทธ์ที่มีจิตวิญญาณ แม้ว่าจะเป็นจิตวิญญาณที่มีพลังอำนาจ แต่เนื้อแท้ก็ยังเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งอยู่ดี
ยกตัวอย่างเช่นกระบี่เหินเงาธนูของหลิงหยุนเป็นต้นจิตวิญญาณรับรู้ของมันเทียบเท่ากับเด็กอายุเพียงเจ็ดหรือแปดขวบเท่านั้น หน้าที่ของมันคืออาวุธจู่โจม จึงไม่มีทางที่มันจะสามารถเข้าใจการทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันได้ ในขณะที่ตราหยกจักรพรรดินั้นหน้าที่ของมันก็มีเพียงแค่การจู่โจมศัตรูด้วยการทุบ หรือกระแทก นอกเหนือจากนั้นมันก็ไม่สามารถคิดทำได้เช่นกัน
เพราะนั่นคือคุณลักษณะตามธรรมชาติของอาวุธแต่ละชนิดนั่นเอง..
แม้ว่าพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์จะเป็นอาวุธชั้นสูงระดับเต๋าแต่ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นเพียงแค่วัตถุชนิดหนึ่งเท่านั้น ต่อให้จะวิเศษเพียงใด ก็ไม่สามารถทำหน้าที่ดังเช่นกระบี่เหินทำได้ และประโยชน์ที่แท้จริงของพู่กันก็คือไว้ใช้สำหรับเขียน!
นี่คือข้อจำกัดที่ใหญ่ที่สุดของยุทธภัณฑ์ทุกชนิดแม้ว่าจะมีจิตวิญญาณรับรู้ได้ แต่ก็ไม่ดีเท่าเหล่าปีศาจ นั่นเพราะถึงอย่างไรปีศาจก็คือสิ่งมีชีวิตในโลก ที่สามารถผ่านการฝึกฝนจนเฉลียวฉลาดด้วยตนเอง หลังจากที่ผ่านการฝึกบ่มเพาะตนจนสำเร็จถึงขึ้นหนึ่ง ก็จะสามารถเรียนรู้ และเข้าใจได้แบบมนุษย์ อย่างเช่นไป๋เซียนเอ๋อเป็นต้น แต่จิตวิญญาณที่อยู่ในยุทธภัณฑ์เหล่านั้นไม่สามารถทำได้วิธีเดียวที่จะทำให้ปัญญาของพวกมันพัฒนาขึ้นได้นั้น ก็คือการหลอมปรับระดับขั้นของพวกมันให้สูงขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น ก็เพียงแค่ทำให้สัญชาติญาณในการรับรู้ และตอบโต้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
เพราะฉะนั้นจะให้หลิงหยุนไปโต้เถียงทางความคิดกับพู่กัน เขาย่อมไม่ทำแน่ เว้นแต่จะไร้สติจริงๆ!
และยิ่งนับวันที่หลิงหยุนได้สื่อสารกับพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์มากขึ้นนั้นเขาก็เริ่มตระหนักได้ว่า แม้อายุของจิตวิญญาณในพู่กันจะเทียบเท่า ‘ชายชรา’ คนหนึ่ง แต่นิสัยและอารมณ์กลับฉุนเฉียว ขี้เล่นไม่ต่างจากเด็กๆ บางคราก็ชอบทำตัวลึกลับ บางคราก็ตระหนี่จนเกินเหตุ ไม่พอใจอะไรก็หนีหายไป ลักษณะเช่นนี้ต่างจากอารมณ์ของเด็กตรงไหนกัน
ส่วนโฉวเปิ่นสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพนั้นกลับมีอุปนิสัยเงียบขรึม รักความสงบ น้อยครั้งที่จะยอมปรากฏตัว และเมื่อปรากฏก็มักจะให้เห็นเป็นเพียงแค่เงาเลือนลางเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากฉางเฟิงโดยสิ้นเชิง
ในขณะที่พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์พุ่งกลับเข้าไปในจุดกึ่งกลางหว่างคิ้วของเขาแล้ว สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ ก็ยังคงยืนหันหน้าจ้องมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือแน่นิ่งอยู่เช่นเดิม..
หลิงหยุนถึงกับต้องแอบถอนหายใจออกมา..
ทิศตะวันตกเฉียงเหนืออีกแล้วสินะ!
เมื่อไม่กี่วันมานี้ที่สำนักหมื่นพุทธรูป อาจารย์จันทร์ก็เพิ่งจะย้ำประโยคหนึ่งกับเขาว่า ‘ฟ้าเอียงพายัพ ดินทรุดอาคเนย์..’ ทำให้หลิงหยุนอดรู้สึกที่จะหวั่นไหวกับทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กับทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นพิเศษไม่ได้
ความรู้ทางด้านภูมิศาสตร์ของหลิงหยุนนั้นมีไม่น้อยเขานึกถึงภาพแผนที่ไว้ภายในใจ ก่อนจะลองจินตนาการลากเส้นทแยงมุมจากทางด้านใต้ของทะเลจีนใต้ ผ่านไทย พม่า และอีกหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงเขาขุนหลุนในประเทศจีน!
หากลากผ่านพรมแดนทางด้านตะวันตกของประเทศจีนไปเส้นทแยงนี้ก็จะทอดยาวขยายไปถึงทวีปยุโรป จากนั้น ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศแคนาดาไปอีกเล็กน้อย..
จะเห็นได้ว่าตลอดเส้นทแยงมุมที่ลากผ่านนั้น ผืนดินแถบนั้นล้วนแล้วแต่คล้ายแตกสลาย กลายเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยมากมายนับไม่ถ้วน!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านใต้ของทะเลจีนใต้รวมถึงแถบทวีปอเมริกาเหนือ บริเวณแถบนี้ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่คล้ายกับถูกทุบทำลายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากที่สุด!
แทบไม่ต้องพูดถึงหลิงหยุนต่อให้เป็นคนธรรมดาทั่วไป หากได้ยินคำกล่าวอะไรเช่นนี้มา เมื่อลองกลับมาดูแผนที่ทางภูมิศาสตร์ ย่อมอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนกลับไปถึงคำพูดที่ว่า ‘ฟ้าเอียงพายัพ ดินทรุดอาคเนย์’ เป็นแน่..
เทือกเขาคุนหลุนไม่เพียงเป็นเทือกเขาที่สูงมากแห่งหนึ่งของประเทศแต่ยังนับเป็นต้นกำเนิดของขุนเขาในประเทศอีกหลายหมื่นลูกด้วย และชาวจีนต่างก็เชื่อกันว่า บนเทือกเขาคุนหลุนนั้นเป็นดินแดนแห่งทวยเทพ ที่ทั้งกว้างใหญ่และลี้ลับ
หากเป็นดังเช่นตำนานโบร่ำโบราณเล่าต่อๆกันมาจริงเทือกเขาคุนหลุนก็คือสรวงสวรรค์นั่นเอง!
แต่ในความเห็นของหลิงหยุนซึ่งเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะตนเขากลับมีความคิดบางอย่างขัดแย้งกับความเชื่อนี้ เขาเชื่อว่า ยอดเขาที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลไปเพียงแค่ห้าพันเมตรนั้น ยังนับว่าต่ำเกินกว่าที่จะเป็นดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ได้!
และนี่คือสิ่งที่หลิงหยุนเฝ้าสงสัยคลางแคลงใจมาโดยตลอดแต่หลังจากที่เดินทางไปช่วยแม่ของตนที่เขาเทียนซาน และได้เผชิญหน้ากับศิษย์คุนหลุนทั้งสี่แล้ว ความคลางแคลงใจในเรื่องนี้ ก็ได้จางคลายไปจากใจของหลิงหยุนในที่สุด
สำหรับเขา..เทือกเขาคุนหลุนเป็นเพียงแค่ประตูธรรมชาติ ที่ปิดกั้นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป!
หลิงหยุนจ้องมองโฉวเปิ่นสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพที่กำลังเหม่อมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือด้วยสีหน้าวิตกกังวล ในที่สุดจึงตัดสินใจเอ่ยถามขึ้นว่า
“อาวุโส..ยอดฝีมือที่กำลังเร่งฝึกฝนบ่มเพาะพลังจนก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ที่ท่านฉางเฟิงเอ่ยถึงนั้น แท้จริงคือหนิงหลิงยู่น้องสาวของข้าใช่หรือไม่”
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วหลิงหยุนก็คร้านที่จะพูดจาอ้อมค้อมอีก จึงได้เอ่ยถามออกไปตรงๆ ในความคิดของเขา ผู้ที่สามารถฝึกฝนบ่มเพาะพลังได้ก้าวหน้ารวดเร็วไม่แพ้เขา ดูเหมือนจะมีเพียงหนิงหลิงยู่คนเดียวเท่านั้น..
ชายชราพยักใบหน้าที่เคร่งขรึมนั้นขึ้นลงและกำลังจะเอ่ยปากตอบ แต่แล้วแสงสีทองสุกสว่างก็พุ่งออกมาจากหว่างคิ้วของหลิงหยุน ก่อนจะกลายร่างเป็นฉางเฟิงสมุดจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ในทันที พร้อมกับเอ่ยปากถามหลิงหยุนว่า
“นี่เจ้ารู้ด้วยรึว่าข้าหมายถึงผู้ใดนับว่าเฉลียวฉลาดไม่เบาทีเดียว..”
หลิงหยุนยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ข้าไม่เพียงรู้ว่าเป็นนาง แต่ยังรู้ด้วยว่า ผนึกในร่างของนางที่ข้าได้เคยหยิบยืมพลังของอาวุโสสะกดไว้นั้น ได้แตกสลายสิ้นแล้วเช่นกัน! มิทราบว่าข้าคาดเดาได้ถูกต้องหรือไม่”
เมื่อครึ่งปีก่อนหน้านี้หลิงหยุนได้เคยยืมพลังจากพู่กันจักรพรรดิ ทำให้ตนเองสามารถเข้าสู่ขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) ได้ชั่วคราว และครั้งนั้น เขาได้ใช้พลังอมตะเปลี่ยนเรือนร่างของหนิงหลิงยู่ จากกายทิพย์ให้เป็นกายอัปสร
แต่ในครั้งนั้นหนิงหลิงยู่เองก็ยังไม่ได้เริ่มฝึกบ่มเพาะพลัง นางจึงไม่สามารถควบคุมพลังอมตะในร่าง มิให้แผ่ซ่านออกจากร่างและสูญสลายไปได้ หลิงหยุนจึงจำต้องทำการผนึกพลังอมตะที่ถ่ายเทเข้าไปในร่างของนางไว้ก่อน
หลิงหยุนได้ใช้พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ด้ามนี้เขียนอักษรที่มีความหมายว่า ‘ผนึก’ ไว้ในร่างของหนิงหลิงยู่ เมื่อใดที่นางฝึกถึงขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) ผนึกนี้ก็จะถูกทำลายลงได้เอง..
เมื่อครั้งที่หนิงหลิงยู่เข้ารับทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนั้นอาจเป็นไปได้ว่า ทัณฑ์อสุนีบาตที่ฟาดใส่ร่างของนางในครั้งนั้น คงได้ช่วยทำลายผนึกในร่างของนางไปบ้างส่วนหนึ่งแล้ว และไม่แน่ว่า หากครั้งนั้นพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ มิได้ฉกฉวยของขวัญแห่งสรวงสวรรค์จากนางไป ผนึกนั่นอาจจะถูกทำลายตั้งแต่ครานั้นเลยก็เป็นได้.. ฉะนั้นในเมื่อพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์บอกว่า ผนึกในร่างของหนิงหลิงยู่ได้ทลายลงแล้ว ย่อมหมายความว่านางได้เข้าสู่ขั้นจิ่วเฉิงชี่แล้ว ผนึกนั่นจึงได้สลายไปเอง
พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ถึงกับต้องยกมือขึ้นเกาศรีษะเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยบอกหลิงหยุนว่า
“พ่อหนุ่มเจ้าช่างเฉลียวฉลาดไม่น้อยทีเดียว! ข้ายังมิได้เกริ่นอะไรให้เจ้าฟังแม้แต่น้อย แต่เจ้ากลับสามารถคาดเดาได้อย่างถูกต้อง..”
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มรับคำชม..
“เจ้าอย่าด่วนยิ้มดีใจไปเพราะสิ่งที่เจ้าคาดเดามานั้น หาใช่จะถูกต้องทั้งหมดไม่!” ฉางเฟิงรีบเอ่ยดักคอ
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอให้ท่านฉางเฟิงชี้แนะด้วย..”
“หึ!อย่ามาทำเป็นอ่อนน้อมกับข้า!”
พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์เอ่ยประชดประชันก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ครั้งนั้น เจ้าเป็นเพียงยอดฝีมือขั้นจิ่วเฉิงชี่จอมปลอม และพลังของข้าก็เหนือกว่าเจ้านับหลายพันเท่า..”
หลิงหยุนได้แต่แอบนึกประชดประชันอยู่ในใจ‘แหม่.. ท่านเฉิงเฟิง เหตุใดไม่โอ้อวดไปเลยว่าท่านเหนือกว่าข้านับล้านๆเท่า จะได้ฟังดูน่าสนุกตื่นเต้นกว่านี้!’
แต่หลิงหยุนก็เพียงแค่เอ่ยถามยิ้มๆ“แล้วจากนั้นเล่า”
“ผนึกที่เจ้าเขียนไว้ในร่างของหญิงสาวผู้นั้นหาได้แข็งแกร่งดังที่เจ้าคิดไม่ ข้าจึงได้เพิ่มความแข็งแกร่งลงไปบนผนึกนั้นด้วยตนเอง..”
หลิงหยุนถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามออกไปว่า “อะไรนะ! นี่ท่านทำเช่นนั้นจริงๆรึ?!”
พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์เงยหน้าขึ้นจ้องมองหลิงหยุน พร้อมกับเอ่ยตอบว่า “จริงสิ! ด้วยผนึกที่แข็งแกร่งนั้น หากข้าไม่เป็นผู้ถอนผนึกนั้นให้ด้วยตนเอง ต่อให้นางฝึกถึงขั้นจิ่วเฉิงชี่ ก็คงยากที่จะเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานได้!”
หลิงหยุนถึงกับตกใจคิ้วทั้งคู่ของเขาขมวดเข้าหากันแน่น พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า “อย่าบอกนะว่านางสามารถคลายผนึกเองได้”
“หึ!อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่เจ้าก็ไม่อาจคลายผนึกของข้าได้!”
“แต่..เมื่อครู่ท่านบอกข้าเองว่า ผนึกในร่างของหนิงหลิงยู่หายไปแล้ว!”
แต่แล้วจู่ๆสีหน้าของพู่กันจักรพรรดิก็เปลี่ยนเป็นเก้อเขินกระอักกระอ่วน ก่อนจะเอ่ยตอบหลิงหยุนไปว่า
“ถูกต้อง!เมื่อห้าวันก่อน จู่ๆ ผนึกนั่นก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย หากข้าคาดเดาไม่ผิด นางน่าจะเป็นผู้ทำลายผนึกนั่นด้วยตนเอง! และข้าเองก็ไม่รู้ว่านางทำได้เช่นใด”
“ห๊ะ!”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับร้องอุทานออกมาและเริ่มรู้สึกเย็นวูบไปทั่วทั้งแผ่นหลัง..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร