Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1613

บทที่ 1613 : ยังคงเป็นปริศนา
  เมื่อห้าวันก่อนหน้านี้ผนึกในร่างของหนิงหลิงยู่ได้สลายหายไปอย่างสมบูรณ์!
  ในช่วงเวลานั้นหลิงหยุนกำลังอยู่กับมู่หลงเฟยจื่อที่เกาะฮ่องกงพอดี นอกจากจะช่วยให้นางเข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะพลังแล้ว ในช่วงนั้น ตัวเขาเองก็ได้เตรียมพร้อม เพื่อที่จะทะลวงเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ด้วยเช่นกัน
  พูดง่ายๆก็คือในช่วงเวลาที่หลิงหยุนเพิ่งจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) นั้น หนิงหลิงยู่ก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) ได้แล้ว อีกทั้งยังสามารถทำลายผนึกของพู่กันจักรพรรดิได้อีกด้วย
  คำถามหนึ่งผุดขึ้นภายในใจของหลิงหยุนเวลานี้..หนิงหลิงยู่เร่งฝึกบ่มเพาะพลังให้ก้าวหน้ารวดเร็วเช่นนี้ เพื่อจุดประสงค์ใดกัน
  นับตั้งแต่หลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่พบกันที่สำนักกระบี่หลิงหยุนหลังจากนั้นนางก็ไปส่งศพผู้เป็นพ่อที่ตระกูลหนิงซึ่งอยู่แถบเทือกเขาคุนหลุน นับจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่เคยได้พบเจอกันอีกเลย และขาดการติดต่อกันไปโดยสิ้นเชิง
  ในครั้งนั้นหนิงหลิงยู่ได้เข้าสู่ระดับเริ่มต้นขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ซึ่งเหนือกว่าเขาเล็กน้อย และในความรู้สึกของหลิงหยุนตอนนั้น นั่นยังเป็นเรื่องที่ปกติอยู่..
  นั่นเพราะหนิงหลิงยู่ไม่เพียงมีกายอัปสรอีกทั้งเมื่อครั้งที่รับทัณฑ์สวรรค์ นางเองยังได้รับของกำนัลที่ยากจะหาได้ไปมากมาย ฉะนั้นเส้นทางการฝึกฝนที่มุ่งสู่ขั้นก่อสร้างรากฐาน จึงแทบจะไม่มีปัญหาใดเลย
  ครั้งนั้นหลิงหยุนเองยังคาดเดาว่า ภายในหนึ่งหรือสองเดือนหลังจากนั้น หนิงหลิงยู่คงจะต้องสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) ได้..
  แต่หลิงหยุนก็มีคาดเดาไว้เช่นกันว่าไม่แน่หนิงหลิงยู่อาจจะสามารถพัฒนาขั้นได้เร็วกว่านั้น แต่ในความคิดของเขาตอนนั้น อย่างเร็วที่สุดก็ต้องสิบวันต่อหนึ่งขั้น และนั่นก็นับเป็นการพัฒนาขั้นที่รวดเร็วที่สุดที่หลิงหยุนคิดว่าหนิงหลิงยู่จะทำได้แล้ว
  แต่ความจริงที่หลิงหยุนได้ล่วงรู้ในวันนี้กลับตบหน้าเขาเข้าอย่างจัง! เพราะนับจากที่หลิงหยุนแยกกับหนิงหลิงยู่ในวันนั้น ก็เพิ่งจะผ่านมายังไม่ถึงครึ่งเดือนด้วยซ้ำไป แต่หนิงหลิงยู่กลับสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นจิ่วเฉิงชี่ได้แล้ว!
  หลิงหยุนมั่นใจว่าตนเองคำนวณวันไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอนหากนับจากวันที่หนิงหลิงยู่กับเขาแยกจากกันในวันนั้นมาจนถึงวันนี้ ก็ราวยี่สิบวันได้แล้ว หากหนิงหลิงยู่สามารถเข้าสู่ขั้นจิ่วเฉิงชี่ได้ตั้งแต่ห้าวันก่อน ย่อมหมายความว่านางใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น..
  หรือไม่ก็อาจจะเร็วกว่านั้นด้วยซ้ำไป..
  นั่นเพราะพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ได้บอกกับหลิงหยุนเมื่อครู่ว่า หนิงหลิงยู่สามารถทำลายผนึกได้ตั้งแต่ห้าวันก่อน นั่นย่อมเป็นไปได้สูงว่า นางได้เข้าสู่ขั้นจิ่วเฉิงชี่ก่อนหน้าแล้ว เว้นแต่ว่า วันที่เข้าสู่ขั้นจิ่วเฉิงชี่กับวันที่ทำลายผนึกจะเป็นวันเดียวกัน!
  นับตั้งแต่ที่ทั้งคู่แยกจากกันหนิงหลิงยู่ก็ราวกับจมหายไปในท้องทะเล เพราะเขาไม่เคยรู้เลยว่า หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับนางบ้าง เกิดอะไรขึ้นที่เขาคุนหลุนบ้าง? การฝึกฝนของนางดำเนินไปเช่นใด? หรือนางต้องไปพบเจอกับอะไรบ้าง..?
  หลิงหยุนไม่เคยได้รับรู้อะไรเลยจริงๆ!
  แต่ไม่ว่าหนิงหลิงยู่จะฝึกฝนเช่นใดนั้นการที่นางสามารถทะลวงขั้นใหญ่สามขั้นได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนนั้น ก็เป็นเรื่องที่หลิงหยุนแทบไม่อยากจะเชื่อ และไม่สามารถอธิบายได้อยู่ดี!
  สิ่งเดียวที่เขาคาดเดาได้ในเวลานี้ก็คือหลังจากที่เขากับหนิงหลิงยู่แยกจากกนั้น นางได้หลงเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์สักแห่ง ที่มีเหล่าเซียนผู้วิเศษสามารถเสกให้นางเป็นเช่นนี้ได้ แต่นั่นย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
  หลิงหยุนนึกย้อนกลับไปว่าตั้งแต่ตนเองเดินทางกลับออกมาจากสำนักกระบี่หลิงหยุนมานั้น เขาได้ฝึกฝนไปเช่นใดบ้าง เขาจำได้ว่า..
  เขาไปยืนดูดซับพลังหยินที่สุสานจักรพรรดิฉินซีอยู่นานถึงสองวันสองคืนและสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ได้ จากนั้นจึงได้รออีกสิบวันให้ขั้นพลังเสถียร
  หลังจากนั้นในช่วงที่อยู่เกาะมาเก๊าหลิงหยุนก็ได้ดูดซับเอาพลังบ่มเพาะของเหล่าชาวยุทธหนานหยางรวมทั้งคุนปา เข้าไปมากกว่าสองร้อยชีวิต และเลือกที่จะทะลวงเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นชีเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-7) หลังจากนั้นไม่นาน..
  ต่อจากนั้นเขาก็ได้เดินทางมามากวาดล้างเหล่าพันธมิตรหนานหยางต่อ ระหว่างทางได้รับพลังพุทธะจากรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิม จนสามารถเข้าสู่ขั้นปาเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-8) ได้ และเมื่อบุกไปสำนักเทียนหลิงนั้น เขาก็ได้ดูดซับเอาพลังบ่มเพาะจากยอดฝีมือขั้นก่อสร้างรากฐานสองสามคนเข้าไป ในที่สุดก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) ได้
  แม้หลิงหยุนจะให้ความสำคัญในเรื่องของความมั่นคงในแต่ละขั้นพลังแต่เขาก็มั่นใจว่า ความเร็วในการพัฒนาขั้นของตนนั้นรวดเร็วกว่าใครๆทั้งหมด และยากที่จะหาผู้ใดทำเช่นเขาได้ แม้แต่ผู้บ่มเพาะพลังในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ก็ตาม..
  แม้แต่หวังชงเซียวโจวเหวินอี้ หลงฮ่าวหลาน หรือแม้แต่ภิกษุทั้งสามแห่งสำนักหมื่นพุทธรูป ยังถึงกับอัศจรรย์ใจกับความก้าวหน้าที่รวดเร็วยิ่งของเขา!
  อย่าว่าแต่ผู้บ่มเพาะพลังในโลกเลยแม้แต่อาวุโสทั้งสองอย่างท่านฉางเฟิง และท่านโฉวเปิ่น ซึ่งเป็นจิตวิญญาณของวัตถุศักดิ์สิทธิ์โบราณ ยังยอมรับในวิถีการฝึกบ่มเพาะพลังของเขา
  หากจะเปรียบเทียบระหว่างหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่..
  ในเรื่องของร่างกายหนิงหลิงยู่มีกายอัปสรก็จริง แต่หลิงหยุนก็มีกายาที่ล้ำเลิศสามารถดูดพลังชีวิตได้เช่นกัน
  หากจะเปรียบเทียบด้านพรสวรรค์แม้หนิงหลิงยู่จะจัดว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ แต่ก็ยังนับว่าด้อยกว่าหลิงหยุนอยู่เล็กน้อย
  หนิงหลิงยู่ได้รับของกำนัลจากสวรรค์แต่หลิงหยุนเองก็ผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์มาไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่าประโยชน์ที่ได้รับย่อมไม่น้อยไปกว่าหนิงหลิงยู่
  และนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นก็ไม่มีสิ่งใดที่หลิงหยุนด้อยไปกว่าหนิงหลิงยู่เลย แต่ดูเหมือนจะเหนือกว่าด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะเป็นวิชาพลังลับหยิน–หยาง จุดตันเถียนอัศจรรย์ที่สามารถก่อกำเนิดพลังหยินและหยางได้ราวกับภูเขาไฟ ยังมีกระแสวนหยิน–หยาง ที่สามารถดูดเอาพลังของผู้อื่นเข้าไปในร่างได้ด้วย
  นอกจากนี้เขายังมีเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยาง ที่ไม่เพียงสามารถบ่มกายเนื้อ และเส้นลมปราณทั่วร่างได้ แต่ยังสามารถกลั่นพลังปราณที่ดูดซับเข้าไปในร่างให้บริสุทธิ์ได้อีกด้วย
  และที่สำคัญเขาคือผู้ที่กลับมาจุติใหม่ด้วยดวงจิตเดิม ฉะนั้นแล้ว เขาย่อมมีความรู้ความเข้าใจในการฝึกบ่มเพาะพลัง เหนือกว่าผู้ที่เริ่มฝึกใหม่อย่างหนิงหลิงยู่แน่นอน
  ไม่มีทางที่หนิงหลิงยู่จะเหนือกว่าเขาไปได้!
  อีกอย่างที่ผ่านมาหลิงหยุนก็สอนเพียงแค่วิชาคลื่นคงคา วิชาพฤกษาขจี และวิชาดาราคุ้มกายให้กับนางเท่านั้น
  แม้กระทั่งเมื่อครั้งที่ได้พบกันที่สำนักกระบี่หลิงหยุนนั้นเขาเองก็มิเคยได้แนะนำหนิงหลิงยู่เกี่ยวกับการพัฒนาเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ด้วย และหนิงหลิงยู่เองก็ไม่เคยเอ่ยปากถามเขาด้วยเช่นกัน
  ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าหนิงหลิงยู่จะสามารถทะลวงเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ได้อย่างไร หรือไม่ว่าหลังจากนั้นนางจะเป็นเช่นใดบ้าง? ทั้งหมดนี้ยังคงเป็นปริศนาสำหรับหลิงหยุน!   แต่มีมีสองเรื่องที่หลิงหยุนรู้ว่าจะต้องเกิดขึ้นหลังจากนี้นั่นก็คือ..
  เรื่องแรก..นับจากนี้ไป หนิงหลิงยู่จะไม่เชื่อฟังคำพูดของเขาอีกแล้ว! เพราะแม้แต่ไม่มีเขาคอยคุ้มครองปกป้องให้ นางยังสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไปด้วยตนเองได้
  ประการที่สองเวลานี้หนิงหลิงยู่ดูเหมือนจะรีบเร่งพัฒนาขั้นพลังอย่างมาก แสดงให้เห็นว่า นางมิได้ต้องการบ่มเพาะพลังอย่างแท้จริง จึงมิได้ใส่ใจกับพื้นฐานที่มั่นคงของพลังบ่มเพาะในแต่ละขั้น ที่เขาเฝ้ากำชับ และย้ำนักย้ำหนา!
  เวลานี้หนิงหลิงยู่กำลังถลำไปสู่เส้นทางที่ผิดพลาดมากขึ้นเรื่อยๆ!
  หากหลิงหยุนฝึกบ่มเพาะพลังดังเช่นหนิงหลิงยู่คือต้องการเพียงแค่พัฒนาขั้นพลังให้สูงขึ้น โดยมิได้ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของแต่ละขั้นแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่ขั้นก่อสร้างรากฐานเลย ป่านนี้เขาคงเข้าสู่ระดับสูงกว่านั้นแล้วเป็นแน่!   และทั้งหมดนี้ก็เป็นเครื่องบ่งบอกและยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า เวลานี้หนิงหลิงยู่ได้ห่างเหินจากหลิงหยุนออกไป จนเกินกว่าที่จะเรียกลับคืนได้แล้ว..
  หลิงหยุนยังคงไม่สามารถหาคำอธิบายได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น..
  ต่อให้หนิงหลิงยู่เข้าสู่ขั้นจิ่วเฉิงชี่ได้แต่พลังของสมุดจักรพรรดินั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด ลำพังเพียงแค่หนิงหลิงยู่ผู้เดียว จะสามารถทำลายผนึกได้อย่างนั้นหรือ?
  ไม่มีทางเป็นไปได้เลย..!
  พู่กันจักรพรรดิเป็นผู้บอกกับหลิงหยุนเมื่อครู่เองว่าอย่าว่าแต่หนิงหลิงยู่เลย แม้แต่หลิงหยุนในเวลานี้ ก็ยังไม่สามารถทำลายผนึกนั่นได้!
  พลังบ่มเพาะของหลิงหยุนในเวลานี้แข็งแกร่งเพียงใดนั้นแทบไม่ต้องเอ่ยถึง และเขาก็มั่นใจอย่างยิ่งว่า ถึงแม้พู่กันจักรพรรดิจะมีอารมณ์ร้อน และมีอุปนิสัยเหมือนเด็ก แต่ฉางเฟิงก็ไม่เคยหลอกเลวงเขา  เช่นนั้นแล้วหนิงหลิงหยู่ทำลายผนึกนั่นได้อย่างไรกัน
  เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิงหยุนก็ยิ่งตกใจและงุนงงสงสัยมากขึ้น ดวงตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่ร่างของพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ ก่อนจะเลื่อนไปที่ร่างของสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ แล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด..
  “อาวุโสทั้งสอง!ฟังจากน้ำเสียงของพวกท่าน ดูเหมือนว่าน้องสาวที่เข้าเฝ้าทะนุถนอมดูแลมาอย่างดี จะกลับกลายเป็นศัตรูงั้นรึ”
  เรื่องอื่นหลิงหยุนอาจแกล้งทำเป็นโง่ได้แต่เรื่องนี้ เขาจำเป็นต้องต้องไตร่ถามให้กระจ่าง!
  ฉางเฟิงกระแอมอยู่ในลำคอแล้วจึงเอ่ยตอบกลับไปว่า “พ่อหนุ่ม เจ้ามาถามอะไรในตอนนี้..”
  หลิงหยุนได้แต่นิ่งเงียบและแอบถอนหายใจอยู่ภายใน.. นี่คือเหตุการณ์ที่เขากังวล และไม่ต้องการเผชิญมากที่สุด!   “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกเราสองคนจึงร่วมมือกัน ขโมยของกำนัลจากสวรรค์ในครั้งนั้น..”
  หลังจากเอ่ยออกมาได้เพียงเท่านั้นจู่ๆพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ก็ถอนหายใจเสียดัง พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า..
  “ช่างเถิด..”
  หลิงหยุนไม่ปล่อยโอกาสให้ผ่านไปง่ายๆแน่เขารีบร้องบอกอาวุโสทั้งสองทันที “อาวุโสทั้งสองพบเห็นสิ่งใดกันแน่ ได้โปรดบอกข้ามาเถิด ข้าสามารถรับฟังได้..”
  สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพตัดสินใจเอ่ยตอบไปว่า“หลิงหยุน สิ่งที่เจ้าคิดอยู่ภายในใจ หาได้เกินความจริงไปไม่ เพียงแต่.. หากเจ้ายังไม่เข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐาน พวกเราสองคนคงมิอาจบอกเล่าสิ่งใดมากไปกว่านี้ได้!”
  หลิงหยุนใคร่ครวญอยู่เนิ่นนานในที่สุดจึงตัดสินใจเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “อาวุโสทั้งสอง เรื่องของน้องสาวข้า ขออาวุโสอย่าได้ยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยว ข้าขอเป็นผู้จัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง!”
  ทั้งฉางเฟิงและโฉวเปิ่นต่างก็หันไปมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าและตอบกลับไปว่า “ตกลง!”
  ฟิ้ว..ฟิ้ว..
  จากนั้นทั้งคู่ก็เปลี่ยนเป็นแสงสว่างสีทอง พุ่งกลับเข้าไปในร่างของหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว!
  ฟิ้ว..
  เรือนร่างงดงามร่างหนึ่งทะยานขึ้นจากผืนดินของหมู่บ้านเหมี่ยวเจียงสู่ท้องนภาเบื้องบน!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร