บทที่ 1614 : ความก้าวหน้าของเหมี่ยวเสี่ยวเหมา
เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-3) ได้
หลังจากที่ได้ใช้หลิวเทวะวิญญาณช่วยเหมี่ยวเสี่ยวเหมาให้พัฒนาขั้นพลังบ่มเพาะแล้วหลิงหยุนก็ได้ย้ำและกำชับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาหลายต่อหลายครั้งว่า เมื่อได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะพลังแล้ว ไม่จำเป็นที่นางจะต้องกังวลใจ หรือหวาดกลัวอันตรายใดๆ และย้ำว่าต้องให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานที่มั่นคงของแต่ละขั้นพลัง
ด้วยเหตุนี้กว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจึงได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลิงหยุนอย่างเคร่งครัด นางใช้เวลาไปกับการพยายามปรับตัวเรียนรู้กับขั้นพลังบ่มเพาะใหม่ของตนเอง แม้หลายครั้งจะรู้สึกว่า ตนเองจะสามารถพัฒนาเข้าสู่ขั้นต่อไปได้ไม่ยาก แต่นางก็เลือกที่จะยังไม่ทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไป
นั่นเพราะหญิงสาวรู้ดีว่า เมื่อใดก็ตามที่ทะลวงเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่แล้ว นางจะต้องเผชิญกับการรับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่ว
แม้ว่าหลิงหยุนจะเดินทางกลับออกจากหมู่บ้านไปแล้วแต่เขาก็ได้สร้างทุ่งพลังชีวิตที่กว้างใหญ่ไว้ให้ อีกทั้งยังได้สร้างค่ายกลหลุมพลัง สำหรับกักเก็บพลังชีวิตไว้ให้ด้วย ทำให้ภายในหมู่บ้านเหมี่ยวเต็มไปด้วยพลังชีวิตที่เข้มข้น
หลังจากที่หลิงหยุนจากไปแล้วเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ได้ตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนวิชาพฤกษาขจี ที่หลิงหยุนได้ถ่ายทอดไว้ให้ก่อนไปอย่างมุ่งมั่น จุดประสงค์ของนางหาใช่เพื่อทะลวงขั้นพลังบ่มเพาะไม่ แต่เพื่อให้เกิดความชำนาญจนสามารถนำวิชาพฤกษาขจีไปใช้ในการต่อสู้ได้
วิชาพฤกษาขจีแตกต่างจากวิชาบ่มเพาะอื่นๆเพราะในหกขั้นแรกนั้น ในเคล็ดวิชามิได้แนะนำเรื่องการนำวิชานี้ไปใช้ในการต่อสู้เลยเว้นแต่ว่า ผู้ฝึกจะฝึกฝนจนชำนิชำนาญ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อง
นอกเหนือจากใช้เวลาไปกับการฝึกวิชาพฤกษาขจีเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ได้ใช้เวลาที่เหลือไปกับการฝึกควบคุมกระบี่เหิน การปลุกเสกยันต์ และการหลอมกลั่นโอสถ รวมทั้งการฝึกวิชาดาราคุ้มกายด้วย
เหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นแตกต่างจากเกาเฉินเฉินและเฉิงเม่ยเฟิง ก่อนที่จะเดินทางไปเมืองจิงฉูเพื่อจัดการกับหลิงหยุนตามคำสั่งของเหมี่ยวเฟิงหวงนั้น นางเองก็เป็นผู้ที่มีพื้นฐานวรยุทธอยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งพรสวรรค์ในด้านนี้ก็ยังเป็นรองเพียงแค่หนิงหลิงยู่กับเย่ซิงเฉินเท่านั้น
และด้วยการสอนที่พิศดารของหลิงหยุนในครั้งนั้นด้วยการผลักเหมี่ยวเสี่ยวเหมาให้ตกลงกลางอากาศ ทำให้นางสาบานว่า หากได้พบกับหลิงหยุนอีกครั้ง นางจะต้องเป็นผู้ที่สามารถควบคุมกระบี่เหินได้อย่างชำนาญ จนเขาไม่กล้าที่จะข่มเหงรังแกนางเช่นนั้นได้อีกแน่!
และความพยายามของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็เป็นผลหลังจากที่หลิงหยุนเดินทางออกจากหมู่บ้านเหมี่ยวเจียงไปได้ไม่กี่วัน เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็สามารถควบคุมกระบี่เหินได้อย่างคล่องแคล่ว นางสามารถบังคับกระบี่เหิน ให้เคลื่อนที่ไปมาได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวดังใจต้องการ เรียกได้ว่า ภายในผืนป่าที่หน้าแน่นไปด้วยต้นไม้ นางยังสามารถหลับตาควบคุมกระบี่เหินได้อย่างง่ายดาย
นอกเหนือจากนั้นเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ได้ใช้เวลาที่เหลือจากการฝึกฝนวิชาต่างๆ มาทำการดูแลทุ่งพลังชีวิต จนสามารถนำชาวบ้านเก็บเกี่ยวพืชผลต่างๆได้บ้างแล้ว อีกทั้งยังได้ช่วยกันขยายการปลูกผลไม้พลังชีวิตไปยังดินแดนทางด้านตะวันออกเพิ่มขึ้นด้วย
ความสำเร็จอีกหนึ่งอย่างที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คือเมื่อสามวันก่อนหน้านี้ เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเพิ่งจะสามารถฝึกวิชาดาราคุ้มกายเข้าสู่ด่านที่สองได้ ทำให้เวลานี้นางไม่จำเป็นต้องหวาดหวั่นต่อความหนาวเย็น หรือเปลวไฟที่เร่าร้อนอีก
ด้วยเหตุนี้ช่วงชีวิตของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่ผ่านมา แม้ว่าจะแทบไม่เคยมีเวลาว่างเลย แต่ใบหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มในทุกๆวัน บางคราก็ได้แต่ยืนมองเสี่ยวเจิ้งจี๋กับเหมี่ยวเฟิงหวงทะเลาะเบาะแว้งกัน ด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
แต่สองวันที่ผ่านมานี้รอยยิ้มบนใบหน้าของเหมี่ยวเสี่ยวเหมากลับจางคลายลง ความหนักใจค่อยๆแทรกเข้ามาภายในจิตใจ
ประการแรกหญิงสาวเริ่มรู้สึกหนักใจ ที่ดูเหมือนตนเองจะไม่อาจยับยั้งขั้นพลังบ่มเพาะไว้ได้อีก เหมี่ยวเสี่ยวเหมาสัมผัสได้ว่า ทุกคราที่นางใช้วิชาพฤกษาขจีเร่งรัดต้นชาพลังชีวิตให้เติบใหญ่ หลายครั้งที่ขั้นพลังบ่มเพาะของนางเกือบจะพัฒนา ทำให้นางเริ่มกังวลใจว่าจะไม่สามารถยับยั้งไว้ได้อีก
อีกหนึ่งเรื่องที่พรากรอยยิ้มไปจากใบหน้างดงามของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็คือนางเริ่มสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ที่ค่อยๆเกิดขึ้นภายในหมู่บ้านอย่างเงียบๆ นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอึมครึมที่ค่อยๆแผ่ขยายปกคลุมมากขึ้นเรื่อยๆ
พลังที่ว่านี้ไม่ได้ปกคลุมเฉพาะพื้นที่ภายในค่ายกลหลุมพลังเท่านั้นแต่ยังแผ่ขยายออกไปตามขุนเขาหลายลูก ป่าไม้นานาพันธุ์ที่อยู่นอกเหนือบริเวณค่ายกลด้วย และบรรยากาศที่เกิดขึ้นนี้ ก็เป็นบรรยากาศที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาไม่รู้สึกคุ้นชินเลยแม้แต่น้อย
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาฝึกวิชาพฤกษาขจีมาถึงขั้นนี้นางย่อมสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นได้เป็นอย่างดี และพบว่าไม่เพียงต้นหญ้าทุกต้นจะเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์!
แต่ใบไม้ทุกใบที่อยู่ในป่าก็ขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆจนน่าตกใจ ต้นหญ้าทั้งหมดล้วนสูงขึ้นวันละหนึ่งนิ้วในทุกๆวัน!
ไม่เพียงแค่เรื่องของพืชพรรณที่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่อุปนิสัยและอารมณ์ของชาวบ้านในหมู่บ้าน ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากด้วย จากคนที่เคยสงบเยือกเย็น กลับเปลี่ยนเป็นดุดัน โมโหร้าย และชอบใช้กำลังรุนแรง หลังจากเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทผ่านพ้นไป บางคนยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดตนเองจึงทำเช่นนั้นลงไปได้
และนั่นทำให้เหมี่ยวเสี่ยวเหมารู้สึกเป็นกังวลใจอย่างมากนางเฝ้าสังเกตการ และเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้มาสองวันแล้ว หากทุกอย่างยังไม่กลับไปสู่สภาวะปกติ และดูเหมือนจะยิ่งเลวร้ายมากขึ้น นางเองก็ตั้งใจว่าคงจะต้องขอให้หลิงหยุนมาช่วยโดยเร็วที่สุด!
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาคาดเดาว่าเหตุการณ์ที่ไม่อาจอธิบายได้นี้ อาจเกิดจาการที่หลิงหยุนสร้างทุ่งพลังชีวิต และสร้างค่ายกลหลุมพลังขึ้นมา..
แต่ถึงแม้จะมีเรื่องหนักอกหนักใจมากเพียงใดเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ไม่เคยใช้เป็นข้ออ้างในการชะลอการฝึกวิชาของตนเอง ฉะนั้น เวลาตีห้าของวันนี้ เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจึงได้ขี่กระบี่เหินขึ้นไปบนท้องนภาเพื่อฝึกวิชาดาราคุ้มกายตามปกติเช่นเคย
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาใช้กระบี่เหินเหาะขึ้นบนท้องนภาและอยู่ห่างจากหลิงหยุนไปเพียงแค่หนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น แต่ที่นางไม่พบเห็นหลิงหยุนก็เพราะว่า เวลานั้น หลิงหยุนยังคงอยู่ในห้วงมิติที่สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพสร้างขึ้น..
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเหาะขึ้นไปบนท้องนภาสูงกว่าสองกิโลเมตรด้วยกระบี่เหินก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงบนตัวกระบี่ หันหน้าเข้าหาดวงตะวัน และเริ่มบ่มเพาะกายาด้วยธาตุไฟจากพลังสุริยะ
แต่ผ่านไปเพียงแค่หนึ่งนาทีเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง นั่นเพราะ.. อย่าว่าแต่ธาตุไฟจากพลังสุริยะเลย แม้แต่พลังชีวิตสักหยดนางยังไม่สามารถสัมผัสได้
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมานึกประหลาดใจไม่น้อยคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันพร้อมกับเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะหันไปจ้องมองทางทิศตะวันออก ซึ่งดวงตะวันกำลังทอแสงเจิดจ้า
“อากาศวันนี้ก็ปลอดโปร่งดีนี่!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาลุกขึ้นยืนอยู่ครู่ใหญ่เพื่อสำรวจหาความผิดปกติอีกครั้งแต่ก็เปล่าประโยชน์ นางจึงได้เหาะออกห่างจากจุดเดิมไปราวหนึ่งร้อยเมตร
แต่ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเช่นเดิมนางไม่สามารถดูดซับธาตุไฟจากแสงอาทิตย์ได้เลย ทั้งที่เวลานี้ ดวงตะวันที่เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า กำลังเปล่งแสงสว่างสีแดงเจิดจ้า
“น่าแปลก!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาแทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและนางเองก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ เพราะไม่ว่านางจะพยายามโคจรดาราคุ้มกาย เพื่อดูดซับเอาพลังสุริยะเข้าไปมากมายหลายครั้งเพียงใด แต่กลับก็ล้มเหลวทุกครั้งไป เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจึงได้แต่ยืนเท้าสะเอวอยู่บนกระบี่เหินพร้อมกับบ่นพึมพำ “ผู้ใดกัน.. บังอาจเข้ามาสร้างความวุ่นวายภายในหมู่บ้านเหมี่ยวเจียงของเข้า ยังไม่รีบปรากฏตัวออกมาอีกรึ?”
หลิงหยุนได้ใช้วิชาลวงตาปิดบังกายไว้และยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ พร้อมกับดูดซับเอาพลังสุริยะเข้าไปในร่างอย่างต่อเนื่อง
“นี่!อย่าให้ข้าหาเจ้าพบเชียวนะ ข้าจะต้อนรับให้หนักทีเดียว!” เหมี่ยวเสี่ยวเหมายังคงร้องตะโกนข่มขู่เสียงดัง
หลิงหยุนยังคงนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวเขาเองก็ต้องการจะพิสูจน์ความก้าวหน้าของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเช่นกัน
ฟิ้ว..
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาใช้พลังจิตเรียกเมล็ดพันธุ์พืชออกมาจากแหวนพื้นที่จากนั้นจึงเริ่มใช้วิชาพฤกษาขจีกระตุ้นเมล็ดพืชเหล่านั้นให้เติบโต เพียงแค่พริบตาเดียวเมล็ดพืชทั้งหมดก็เติบโตขึ้นพร้อมกันในคราเดียว ก่อนจะกลายเป็นเถาวัลย์สีเขียวล้อมรอบร่างของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาไว้อย่างรวดเร็ว!
เถาวัลย์สีเขียวทั้งหมดแผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้างแต่เมื่อไปถึงบริเวณที่หลิงหยุนอยู่ เถาวัลย์เหล่านั้นก็ไม่สามารถพุ่งทะลุผ่านไปได้ จึงได้เลื้อยลดเลี้ยวไปทางอื่นแทน ทำให้บริเวณที่หลิงหยุนนั่งอยู่นั้น เกิดเป็นพื้นที่โล่งที่ไม่มีเถาวัลย์ปกคลุม และมีลักษณะคล้ายกับลูกโป่งใบใหญ่
“ไม่เลวเลยทีเดียว!”
หลิงหยุนร้องตะโกนออกมาด้วยความชื่นชมพร้อมกับปรบมือให้ “เสี่ยวเหมา คิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจะสามารถใช้วิชาพฤกษาขจีได้ชำนาญถึงเพียงนี้!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร