Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1615

บทที่ 1615 : ข้ามีเรื่องขอร้อง
  “หลิงหยุน!!ข้าจะฆ่าเจ้า! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
  ทันทีที่เห็นหลิงหยุนปรากฏตัวขึ้นเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ทั้งโมโหและประหลาดใจ นางจัดการใช้วิชาพฤกษาขจีควบคุมเถาวัลย์ที่ปกคลุมอยู่ทั่วแผ่นฟ้า ให้เคลื่อนเข้ามารวมกัน ก่อนจะกลายเป็นเถาวัลย์ขนาดใหญ่ ที่กำลังพุ่งเจ้าจู่โจมใส่ร่างของหลิงหยุนประหนึ่งงูเขียวยักษ์
  ถึงแม้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะเอาจริงและใช้เถาวัลย์สีเขียวขนาดใหญ่ฟาดใส่ร่างของหลิงหยุนอย่างไม่ปราณี แต่นั่นก็เป็นเพียงเถาวัลย์เส้นหนึ่งเท่านั้น หาใช่อาวุธวิเศษใดๆ หลิงหยุนจึงเพียงแค่รู้สึกจั๊กจี้ตามร่างกายเท่านั้น
  “นี่!เจ้าฟาดข้าจริงๆงั้นรึ”
  หลิงหยุนที่เวลานี้ถูกเถาวัลย์รัดร่างไว้ได้แต่ร้องตะโกนถามออกไปพร้อมกับยิ้มกว้าง ก่อนจะค่อยๆหมุนม้วนตัวไปตามเถาวัลย์ เคลื่อนเข้าใกล้ร่างของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาไปทีละก้าว
  “นี่เจ้าคิดที่จะทำอะไร!”
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมารีบสะบัดเถาวัลย์ในมือออกทันทีพร้อมกับกระโดดถอยหลังหนีอย่างรวดเร็ว เพื่อมิให้หลิงหยุนเข้าใกล้ตัวนางได้มากกว่านี้
  หลิงหยุนจึงได้ตอบโต้กลับไปว่า“เจ้าคิดว่าเถาวัลย์นี้จะทำอะไรข้าได้งั้นรึ”
  สิ้นคำพูดของหลิงหยุนเถาวัลย์ที่รัดรึงร่างของเขาไว้แน่น พลันขาดสะบั้นออกจากกันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้อย่างง่ายดาย เหมี่ยวเสี่ยวเหมาถึงกับยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง
  แต่ในระหว่างนั้นร่างของหลิงหยุนก็ได้ไปปรากฏอยู่ข้างกายนาง เถาวัลย์ที่ขาดกระจุยเมื่อครู่ พลันกลับมารวมตัวเป็นเส้นยาวอีกครั้ง พร้อมกับพุ่งเข้ารัดร่างของคนทั้งคู่เข้าไว้ด้วยกัน
  “พวกเราถูกผูกไว้ราวกับเนื้อคู่เช่นนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่มีผู้ใดหนีไปได้อีก!”
  หลิงหยุนจ้องมองใบหน้าตื่นตระหนกของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาอย่างนึกขันพร้อมกับเอ่ยหยอกเย้า
  “นี่เจ้า!”
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมาไม่ทันได้ระมัดระวังตัวจึงได้ถูกเถาวัลย์รัดร่างของตนไว้แนบชิดกับหลิงหยุน นางดิ้นรนไปมาเพื่อที่จะพาตนเองให้หลุดออกจากพันธะการครั้งนี้
  “เนื้อคู่อะไรกัน!เจ้าหยุดพล่ามไร้สาระได้แล้ว! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
  แววตาของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเป็นประกายระยิบระยับนางอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ เพราะหลิงหยุนสามารถทำลายเถาวัลย์สีเขียวจนขาดสะบั้นได้ โดยไม่ส่งผลร้ายต่อตัวนางเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังสามารถเข้าควบคุมเถาวัลย์สีเขียวได้รวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ!
  สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายความสามารถของหลิงหยุนในเรื่องนี้ได้ก็คือเขาน่าจะสำเร็จวิชาพฤกษาขจีถึงขั้นที่เจ็ด ซึ่งเพียงแค่คิดมวลไม้ก็พลันเบ่งบานแล้วนั่นเอง..
  “นี่เจ้า..เข้าสู่ขั้นมวลไม้เบ่งบานเพียงแค่คิดแล้วรึ”
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมาไม่ได้พบเจอหลิงหยุนมาระยะเวลาหนึ่งระหว่างที่ดิ้นรนอยู่นั้น ก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยปากถามหลิงหยุนเช่นกัน
  “ถูกต้อง!ข้าสำเร็จวิชาพฤกษาขจีถึงขั้นที่เจ็ดแล้ว!”
  หลิงหยุนยังคงยิ้มกว้างขณะเอ่ยตอบเหมี่ยวเสี่ยวเหมาได้แต่ตาโตด้วยความตกตะลึง พร้อมกับร้องอุทานออกมาทันที
  “ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ!”
  “หากข้าเข้าสู่ขั้นนี้บ้างข้าจะสามารถทำได้เช่นเดียวกับเจ้าหรือไม่”
  หลิงหยุนพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมตอบกลับไปว่า “อาจจะได้ แต่คงไม่ทั้งหมด! นี่เจ้าใกล้จะทะลวงเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่แล้วหรือนี่”   แน่นอนว่าหลิงหยุนย่อมมองเห็นว่า เหมี่ยวเสี่ยวเหมาใกล้ที่จะทะลวงขั้นเต็มทีแล้ว และยากที่จะระงับไว้ได้อีกต่อไป และด้วยประสบการณ์ที่ยังอ่อนด้อยในการฝึกฝนบ่มเพาะพลัง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะสามารถยับยั้งขั้นพลังไว้ได้ จำเป็นที่จะต้องใช้ความพยายามอย่างที่สุด แต่นางก็สามารถทำได้สำเร็จ ซึ่งนั่นทำให้หลิงหยุนรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก
  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับหนิงหลิงยู่ที่ไม่เชื่อฟังคำพูดของตนอีกแล้ว แต่นับว่ายังโชคดี ที่หญิงสาวอีกคนยังคงเชื่อฟัง และทำตามคำแนะนำของเขาอย่างเคร่งครัด
  “ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่แล้วข้า.. ข้าจะสามารถทะลวงขั้น และรอรับทัณฑ์สวรรค์ได้เลยหรือไม่”
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมาอดทนยับยั้งขั้นพลังไว้นานมากในเมื่อหลิงหยุนอยู่ตรงหน้าแล้ว นางจึงอดที่จะถามถึงเรื่องนี้ไม่ได้  “ย่อมได้แน่นอน!เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะพาเจ้าเข้ารับทัณฑ์สวรรค์เอง!”
  บูม!
  หลังจากที่เอ่ยตอบไปแล้วหลิงหยุนก็ได้ทำการปลดเถาวัลย์ที่รัดร่างของตน และเหมี่ยวเสี่ยวเหมาไว้ด้วยกันออก
  ทันทีที่ได้รับอิสระหญิงสาวก็ถึงกับเม้มริมฝีปากแน่น และไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนอีกเลย นางได้แต่ก้มหน้าก้มตาเก็บเถาวัลย์สีเขียวกลับเข้าไปในแหวนพื้นที่อย่างรวดเร็ว
  “เมื่อครู่ที่ถูกรัดร่างติดกับข้าเจ้ารู้สึกเช่นใดบ้าง” หลิงหยุนไม่วายที่หยอกล้อหญิงสาว
  “ข้าคร้านที่จะเสียเวลาคิด”
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมาตอบกลับโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนและเวลานี้ใบหน้าขาวนวลของนางก็ได้เปลี่ยนเป็นแดงก่ำยิ่งขึ้น
  “นี่เจ้ามิได้เดินทางไปหนานหยางหรอกรึเหตุใดจู่ๆจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้?”   นับตั้งแต่ที่หลิงหยุนจากไปเหมี่ยวเสี่ยวเหมายังคงติดต่อกับจินเหยียวอยู่ตลอด นางจึงได้รับรู้เรื่องราวของหลิงหยุนจากจินเหยียวอยู่เนืองๆ
  หลิงหยุนยกมือทั้งสองข้างขึ้นจับบ่าบอบบางของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาพร้อมกับผลักร่างของนางให้หันไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ แล้วจึงตอบกลับไปว่า
  “เจ้ามองไปทางโน้นสิ!หลังจากที่ข้าสะสางปัญหาของตระกูลเหอเสร็จสิ้นแล้ว ก็ได้เดินทางไปจัดการกับชาวยุทธหนานหยางต่อ และที่ข้ารีบออกจากประเทศพม่ามาที่นี่ ก็เพื่อมาช่วยปกป้องเจ้าระหว่างรับทัณฑ์สวรรค์อย่างไรเล่า!”
  หลิงหยุนช่างโกหกหน้าตายเขามาที่นี่ได้ เพราะจิตวิญญาณในของวิเศษระดับเต๋าสองชิ้นพามาต่างหากเล่า!
  แต่ถึงแม้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะรู้ว่าคำพูดของหลิงหยุนนั้นน่าจะมีความจริงเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่นางก็อดรู้สึกที่จะดีใจ และปลื้มปิติไม่ได้ที่ได้ฟังเขากล่าวเช่นนั้น
  “ส่วนเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นค่อนข้างยาวไว้ข้าจะค่อยๆเล่าให้เจ้าฟังหากมีเวลา..”
  หลังจากเอ่ยบอกเหมี่ยวเสี่ยวเหมาแล้วหลิงหยุนก็เหาะทะยานสูงขึ้นไป พร้อมกับร้องตะโกนบอกหญิงสาวว่า
  “เอาล่ะ!เวลานี้เหมาะกับการฝึกดาราคุ้มกายยิ่งนัก พวกเราอย่าปล่อยให้โอกาสดีๆเช่นนี้ เสียไปโดยเปล่าประโยชน์จะดีกว่า!”
  หลิงหยุนไม่เคยละเลยต่อการฝึกฝนวิชาแต่เพราะรู้ว่า หากตนเองยังฝึกอยู่ใกล้กับเหมี่ยวเสี่ยวเหมา เขาจะดูดซับเอาพลังสุริยะเข้าไปจนหมดแต่ผู้เดียว จึงได้เลี่ยงไปฝึกอยู่ไกลๆ
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมานั่งลงขัดสมาธิและเริ่มฝึกวิชาดาราคุ้มกายทันที และเวลานี้ ทั้งคู่ก็อยู่เหนือพื้นดินไปราวสองกิโลเมตร คนหนึ่งเหาะไปทางด้านใต้ ส่วนอีกคนเหาะไปทางด้านเหนือ แยกย้ายกันฝึกอยู่คนละทิศ  จนกระทั่งผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง..
  หลิงหยุนจึงได้เหาะเข้ามาหาเหมี่ยวเสี่ยวเหมาพร้อมกับร้องบอกว่า “เอาล่ะ พวกเราไปกันได้แล้ว!”
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมาพยักหน้าจากนั้นทั้งคู่ต่างก็พากันเหาะไปยังบ้านของเสี่ยวเจิ้งจี๋กับเหมี่ยวเฟิงหวง หลังจากทักทายกันแล้ว หลิงหยุนก็ได้อยู่รับประทานอาหารร่วมกับทุกคนต่อ เสร็จจากรับประทานอาหารเช้า เหมี่ยวเฟิงหวงก็ได้ชงชาพลังชีวิตมาให้ทุกคนดื่ม ระหว่างที่นั่งสนทนากัน
  “อะไรนะ!ขั้นจิ่วเฉิงชี่งั้นรึ?!”
  หลิงหยุนมิได้ปิดบังขั้นพลังบ่มเพาะของตนต่อหน้าคนทั้งสามเขาบอกเล่าไปตามความจริง ทำให้ทั้งสามคนถึงกับนิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึง ทั้งสามคนยังห่างไกลขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) มาก จึงไม่สามารถนึกภาพความแข็งแกร่งของหลิงหยุนในเวลานี้ได้ออก แต่ก็นึกอัศจรรย์ไม่น้อยกับความก้าวหน้าที่รวดเร็วยิ่งของหลิงหยุน!   นั่นเพราะในวันที่หลิงหยุนจากหมู่บ้านเหมี่ยวไปนั้นเขาเพิ่งจะอยู่ในขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) แต่กลับมาครั้งนี้ เขาได้เข้าสู่ขั้นจิ่วเฉิงชี่ไปแล้ว มีหรือที่ทั้งสามคนจะไม่ตกใจ
  ในขณะที่ช่วงระยะเวลาเท่ากันนั้นทั้งเสี่ยวเจิ้งจี๋กับเหมี่ยวเฟิงหวง กลับสามารถพัฒนาขั้นได้เพียงแค่ระดับเล็กๆเท่านั้น หากเปรียบเทียบกับหลิงหยุนแล้ว จึงต่างกันราวฟ้ากับดินทีเดียว
  หลังจากดื่มชาในถ้วยหมดแล้วหลิงหยุนก็ได้เล่าเรื่องในการเดินทางครั้งนี้ให้คนทั้งสามฟังคร่าวๆ แต่แน่นอนว่า เขาย่อมข้ามเรื่องที่เกี่ยวกับมู่หลงเฟยจื่อและเซิ่งหยิงหยิงไป รวมถึงเรื่องที่ได้รับพลังพุทธะจากรูปปั้นโพธิสัตว์กวนอิมด้วย
  “ยอดเยี่ยม!ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! เพียงแค่คืนเดียว เจ้าไม่เพียงสามารถถล่มสำนักหลักๆของชาวยุทธหนานหยางได้ แต่กลับสามารถพัฒนาขั้นพลังได้รวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อด้วย!” เสี่ยวเจิ้งจี๋ได้แต่เอ่ยชมหลิงหยุนไม่หยุด
  “ท่านปู่ข้าเองก็ต้องฝึกฝนหนักทั้งกลางวันกลางคืนเช่นกัน แม้จะอยู่ท่ามกลางสนามรบ ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้การฝึกฝนล่าช้าได้!”
  แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่หลิงหยุนทำได้เช่นนี้ก็เพราะมีกระแสวนหยิน–หยาง และเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางนั่นเอง หาไม่แล้วเขาคงจะไม่สามารถต่อสู้ไปด้วย พัฒนาขั้นพลังไปด้วยได้แน่!
  อย่างเช่นที่สำนักหมื่นพุทธรูปหากไม่มีสองสิ่งที่กล่าวมานี้ เขาก็คงไม่สามารถดูดซับเอาพลังพุทธะเหล่านั้นเข้าไปในร่าง จนสามารถพัฒนาขั้นพลังได้แน่
  อีกทั้งหลิงหยุนยังมีจุดตันเถียนอันมหัศจรรย์หาไม่แล้วการที่หลิงหยุนซึ่งในเวลานั้นอยู่ในขั้นปาเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-8) จะสามารถดูดซับเอาพลังพุทธะของภิกษุที่มีพลังแข็งแกร่งเช่นนั้นเข้าไปได้อย่างไร
  เรียกได้ว่ายิ่งเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง กลับยิ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับหลิงหยุนมากยิ่งขึ้น!
  ขณะที่ฟังหลิงหยุนเล่าวิธีการพัฒนาขั้นของตนนั้นเสี่ยวเจิ้งจี๋ถึงกับต้องกระแอมขัดขึ้นเบาๆ ก่อนจะเอ่ยบอกว่า
  “วิธีการฝึกฝนของเจ้าช่างพิศดารล้ำลึกนักหากผู้ใดริอาจฝึกตาม คงต้องเสียชีวิต หรือไม่ก็ธาตุไฟแตกเสียก่อน!”
  ชายชราหาใช่คนโง่ไม่เขาพอเข้าใจได้แล้วว่า เหตุใดหลิงหยุนจึงสามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วเช่นนี้ จึงได้ขัดขึ้นก่อน และชวนหลิงหยุนเปลี่ยนเรื่องสนทนาในทันที
  “ท่านปู่เสี่ยวท่านย่าเหมี่ยว.. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน ข้าได้ล่วงรู้หมดแล้ว พวกท่านทั้งสองมิจำเป็นต้องเล่าให้ข้าฟังอีก แล้วท่านสองก็มิต้องกังวลใจด้วย!”
  “ข้ายังมีเรื่องด่วนที่จะต้องจัดการจึงไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานนัก และคืนนี้ก็คงจะต้องพาเสี่ยวเหมาไปรับทัณฑ์สวรรค์..”   หลิงหยุนก้มหน้าลงเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า “มิทราบว่า นอกเหนือจากเรื่องเหล่านี้แล้ว อาวุโสยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”
  เสี่ยวเจิ้งจี๋ได้แต่ยิ้มและตอบกลับไปว่า“เพียงแค่เจ้ากลับมาดูแลเสี่ยวเหมา ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว! เรื่องอื่นๆพวกเราสองคนสามารถจัดการกันเองได้”
  แต่แล้วจู่ๆเหมี่ยวเฟิงหวงก็ลุกขึ้นยืนดวงตาของนางจับจ้องอยู่ที่ร่างของหลิงหยุน ก่อนจะคุกเข่าลงต่อหน้าเขาทันที
  “ท่านหัวหน้าเผ่า!ข้าเหมี่ยวเฟิงหวงมีเรื่องที่จะขอร้องท่านหัวหน้า!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร