บทที่ 1619 เหมี่ยวเสี่ยวเหมาพัฒนาขั้นพลัง
หลิงหยุนสังเกตเห็นอยู่ก่อนแล้วว่าบริเวณหุบเขาแห่งนี้เปรียบเสมือนดวงตามังกร และที่นี่ก็เป็นจุดที่มีพลังหยางอยู่หนาแน่น ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีสมุนไพรชีฉียู่เติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์
แน่นอนว่าหลิงหยุนย่อมไม่เขลาพอที่จะทำลายดินแดนที่มีค่าดั่งทองคำนี้ได้ เขาได้เก็บต้นอ่อนของสมุนไพรชีฉียู่นี้ไว้ และในอีกครึ่งปีข้างหน้า พวกมันก็จะเติบใหญ่ และขยายเต็มทุ่งแห่งนี้ให้เขาได้กลับมาเก็บเกี่ยวอีกครั้ง
จำนวนสมุนไพรชีฉียู่ที่เก็บเกี่ยวได้ในคราวนี้หากคำนวณคร่าวๆ อย่างน้อยก็ต้องมีห้าร้อยถึงหกร้อยต้น ซึ่งนับว่าเพียงพอสำหรับที่เขาจะนำไปหลอมกลั่นเป็นโอสถชีฉียู่ได้หลายหมื่นเม็ดเลยทีเดียว
แม้โอสถชีฉียู่จะมิได้เป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเองนักแต่ก็นับว่าเป็นมีประโยชน์ต่อคนในตระกูลหลิงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกศิษย์ทั้งเจ็ดสิบสองคนของเขา เพราะมันคือโอสถที่ช่วยส่งเสริมการฝึกฝนในขั้นพลังชี่ได้ดีที่สุด
หลิงหยุนยืนคิดอะไรบางอย่างอยู่ริมฝั่งแม่น้ำครู่หนึ่งและในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง..
บูม!
หลิงหยุนใช้พลังเหนือธรรมชาติของตนเองทำการเคลื่อนย้ายหินขนาดเท่าลูกบาสเกตบอลนับพันก้อน จากเนินเขาสองลูกตรงหน้าพร้อมกันในคราเดียว และเวลานี้ ก้อนหินเหล่านั้นก็กำลังลอยอยู่บริเวณรอบๆดวงตามังกรแห่งนี้
หลิงหยุนทำการสร้างค่ายกลหลุมพลังและค่ายกลวราหกปิดล้อมหุบเขาแห่งนี้ไว้ เพื่อป้องกันมิให้พลังชีวิตภายในบริเวณนี้แพร่กระจายออกไปด้านนอกได้ ส่วนค่ายกลวราหกนั้นก็จะช่วยปกปิดหุบเขาแห่งนี้มิให้ถูกผู้ใดพบเห็นได้ ซึ่งแน่นอนว่าคนธรรมดาทั่วไปจะไม่อาจย่างกรายเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้เลย
หากพิจารณาจากค่ายกลหลุมพลังประกอบกับระยะเวลาที่สมุนไพรชีฉียู่จะเติบโตเต็มวัยอีกครั้งแน่นอนว่าเมื่อถึงเวลานั้น หุบเขาแห่งนี้คงต้องเต็มไปด้วยพลังชีวิตที่เข้มข้นจนเป็นของเหลวแล้วเป็นแน่
หลิงหยุนตัดสินใจที่จะกระทำการบางอย่างเขาโบกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น แล้วหินขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่าสามเมตรก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นดิน จากนั้นหลิงหยุนจึงได้เรียกกระบี่เหินเงาธนูออกมา และเริ่มทำการแกะสลักหินก้อนใหญ่นั้นให้กลายเป็นแจกันหินขนาดใหญ่แทน
จากนั้นหลิงหยุนจึงได้กระโดดเข้าไปถือแจกันหินขนาดใหญ่นั้นไว้ในฝ่ามือ ก่อนจะใช้วิชาใต้พิภพดำลงไปยังผืนดินเบื้องล่าง และนำแจกันหินใบใหญ่นั้นฝังลงไปใต้ดิน โดยให้ปากแจกันอยู่เสมอกับพื้น เพื่อให้หยดของเหลวพลังชีวิตสามารถไหลลงไปได้
“แต่ว่า..แค่นี้คงจะยังไม่เพียงพอ!” หลิงหยุนยืนยกมือขึ้นเกาปลายคางเบาๆพร้อมกับทำสีหน้าครุ่นคิด “แล้วถ้าฝนตกลงมาเล่า”
หลังจากที่คิดถึงปัญหาข้อนี้ได้หลิงหยุนก็ได้แต่ยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วจึงควบคุมกระบี่เหินเงาธนูให้พุ่งเข้าไปด้านในแจหินใบใหญ่อีกครั้ง กระบี่เหินเงาธนูเหาะเข้าเหาะออกอยู่หลายรอบก่อนจะหยุดนิ่งไปในที่สุด
หลิงหยุนได้ทำการสลักค่ายกลหลุมพลังไว้ด้านในผนังแจกันหินส่วนด้านนอกสลักเป็นค่ายกลสกัดธารา ซึ่งจะทำให้แจกันนี้สามารถดูดเอาของเหลวพลังชีวิตเข้าไปกักเก็บไว้ภายในได้ แต่ในยามที่ฝนฟ้าเทลงมา น้ำฝนจะไม่สามารถไหลเข้าไปในแจกันได้นั่นเอง
หลิงหยุนยืนยิ้มให้กับความสำเร็จในครั้งนี้..
หลังจากจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยเสร็จสิ้นดีแล้วหลิงหยุนก็ได้เหาะออกจากหุบเขา ข้นไปยังยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก เขามองหาพื้นที่โล่งกว้าง ก่อนจะเรียกหม้อเสินหนงออกมาพร้อมกับหงส์ไฟ เพื่อเตรียมการหลอมกลั่นโอสถต่อไป
หลังจากที่ฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นจิ่วเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-9) แล้ว การหลอมกลั่นโอสถจึงมิใช่เรื่องลำบากยากเย็นสำหรับหลิงหยุนอีกต่อไป แต่ถึงกระนั้น การที่จะหลอมกลั่นให้ได้โอสถที่มีคุณภาพล้ำเลิศนั้น ก็ย่อมต้องมีข้อจำกัดอยู่บ้าง
หลิงหยุนใช้เวลาในช่วงบ่ายร่วมสามชั่วโมงไปกับการหลอมกลั่นโอสถหลังจากนั้น สมุนไพรชีฉียู่ที่หลิงหยุนเพิ่งจะเก็บเกี่ยวมา ก็ได้ถูกนำไปหลอมกลั่นเป็นโอสถชีฉียู่คุณภาพล้ำเลิศ ได้มากถึงสี่หมื่นเก้าพันเม็ด!
“ฮ่าๆๆสามารถกลั่นโอสถชีฉียู่ล้ำเลิศได้มากมายถึงเพียงนี้ ครานี้นับว่าเพียงพอแก่ทุกคนเป็นแน่!”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับร้องตะโกนออกมาอย่างมีความสุขในระหว่างที่เก็บหม้อเสินหนาง และโอสถทั้งหมดที่หลอมได้กลับเข้าไปไว้ในแหวนจักรวาล จากนั้น จึงได้เหาะลงจากยอดเขาไป
เหมี่ยวเสี่ยวเหมายังคงนั่งสงบนิ่งอยู่ที่เดิมแม้ว่าหลิงหยุนจะทำการหลอมกลั่นโอสถอยู่บนยอดเขา แต่เขาก็หาได้เพิกเฉยต่อการปกป้องอันตรายให้กับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาไม่ นางยังคงอยู่ภายใต้รัศมีจิตหยั่งรู้ของเขาตลอดเวลา
และเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ทำให้เขาต้องตกใจอย่างมากทีเดียว!
นั่นเพราะก่อนที่จะมาถึงวันนี้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาสามารถที่จะพัฒนาขั้นพลังบ่มเพาะได้ตลอดเวลา แต่นางกลับสามารถยับยั้งได้มาจนถึงตอนนี้ และยังคงยับยั้งได้ตลอดเวลาสามชั่วโมงที่เขาวุ่นอยู่กับการเก็บเกี่ยวสมุนไพรชีฉียู่ และหลอมโอสถอยู่
แน่นอนว่าหากเป็นหลงฮ่าวหลาน เย่ชิงเฟิง และโจวเหวินอี้ การยับยั้งขั้นพลังดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ หรือน่าตกใจอะไร เพราะทั้งสามคนต่างก็ผ่านการยับยั้งขั้นพลังมานานหลายปีแล้ว ย่อมมีวิธีในการรับมือได้หลากหลาย มิหนำซ้ำทั้งสามคนต่างก็เคยผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์มาก่อนแล้ว แต่เหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นยังไม่เคย..
ความจริงแล้วการพยายามขัดเกลาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้แต่ละขั้นพลังพลังมีความเสถียรมั่นคงนั้นเป็นเรื่องที่ดี และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการฝึกฝนในขั้นต่อๆไป แต่การจงใจยับยั้งขั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลาหลายปี ก็ใช่ว่าจะดีเช่นกัน..
ในความเห็นของหลิงหยุนหนิงหลิงยู่ก็เอาแต่พัฒนาขั้นพลังสุ่มสี่สุ่มห้า ส่วนหลงฮ่าวหลานก็ยังคงยับยั้งขั้นพลังของตนเอง ไม่ยอมพัฒนาขั้นมาหลายปี ซึ่งทั้งสองวิธีนี้ล้วนแล้วแต่เป็นการฝึกฝนที่หลงทิศหลงทางทั้งสิ้น!
การฝึกวรยุทธบ่มเพาะที่แท้จริงนั้นคือการท้าทายสวรรค์เพื่อโชคชะตาของตนเอง แน่นอนว่าการท้าทายสวรรค์หาใช่เรื่องที่จะสามารถรับมือได้ง่ายๆ ฉะนั้นแล้ว จะช้าหรือเร็ว ก็ควรปล่อยไปตามธรรมชาติ
“เสี่ยวเหมาในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ามิต้องยับยั้งขั้นพลังอีกแล้ว ทำการทะลวงเข้าสู่ด่านต่อไปได้เลย!”
เวลานี้ท้องนภาเริ่มมืดครึ้มลงแล้ว หลิงหยุนคร้านที่จะรอคอยอีก จึงได้สั่งให้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาทะลวงเข้าสู่ด่านต่อไปทันที..
“ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเฝ้ารอคำพูดประโยคนี้ของหลิงหยุนมานานแล้วทันทีที่ได้ยิน มันจึงเปรียบประหนึ่งเสียงสวรรค์ หญิงสาวไม่รอช้า รีบระดมพลังปราณในร่างทั้งหมด เพื่อทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไปทันที!
บูม!
เพียงแค่อึดใจเดียวในที่สุดเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ใกล้จะทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไปได้แล้ว หลิงหยุนไม่รอช้า เขารีบเรียกหลิวเทวะวิญญาณออกมารอไว้ทันที
หลิงหยุนใช้พลังเหนือธรรมชาติของตนนำหลิวเทวะวิญญาณไปปลูกไว้ข้างกายเหมี่ยวเสี่ยวเหมา กิ่งก้านของหลิวเทวะวิญญาณขยายใหญ่ปกคลุมร่างของหญิงสาวไว้ พร้อมกับปล่อยพลังชีวิตเข้นข้นออกมา เพื่อเป็นพลังกระตุ้นให้หญิงสาวสามารถทะลวงขั้นพลังได้ง่ายขึ้น
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาสามารถเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-4) ได้อย่างไร้อุปสรรคใดๆ และภายใต้คำชี้แนะของหลิงหยุนที่อยู่ข้างๆ นางสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซื่อเฉิงชี่ได้อย่างง่ายดาย!
ทุกขั้นตอนยังคงดำเนินไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อนและในที่สุดหญิงสาวก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) ได้อีก..
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปกว่าหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่รอคอยให้ขั้นพลังเสถียรมั่นคงแล้ว เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจึงได้ทะลวงขั้นต่อไปอีกเรื่อยๆ จนสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงลี่ (ขั้นพลังชี่-6) ได้ในที่สุด!
และครั้งนี้ก็นับว่าประสบความสำเร็จไม่น้อยไปกว่าเมื่อครั้งที่หลิงหยุนได้นำหลิงลี่ หลิงเสี่ยว และจินเหยียวไปรับทัณฑ์สวรรค์พร้อมกันในคราเดียว
“นับว่าพรสวรรค์ของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว!”
หลิงหยุนได้แต่เอ่ยชมออกมาด้วยความพอใจหลังจากที่ทำการฝึกฝนต่อเพื่อให้ขั้นพลังเสถียรมั่นคงแล้ว เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ หลิงหยุนที่ยืนอยู่ข้างกาย จึงได้แต่หันไปบอกกับนางว่า
“เสี่ยวเหมาเจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยแม้แต่น้อย!”
“หลิงหยุนขอบคุณเจ้ามาก!”
ครั้งนี้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเอ่ยปากขอบคุณหลิงหยุนจากใจจริง และไม่มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับเขาเหมือนเช่นเคย เพราะไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าตัวนางว่า ในระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงนี้ การที่นางสามารถทะลวงขั้นพลังได้ถึงสามขั้นในคราเดียวนี้ เป็นเพราะหลิงหยุนแอบช่วยเหลืออยู่อย่างเงียบๆ
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเรียกเมล็ดพันธุ์พืชออกมาวางไว้บนฝ่ามือพร้อมกับใช้วิชาพฤกษาขจีเร่งการเจริญเติบโตของมัน
“หนึ่งสอง สาม..”
เพียงแค่นับถึงสามเมล็ดพันธุ์บนฝ่ามือของหญิงสาว ก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนกระทั่งออกดอกบานสะพรั่ง!
เวลานี้วิชาพฤกษาขจีของเหมี่ยวเสี่ยวเหมา เข้าสู่ขั้นพฤกษาเบ่งบานแล้ว!
เหมี่ยวเสี่ยวเหมายิ้มออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับเอ่ยบอกหลิงหยุนว่า “หลิงหยุน ข้าพร้อมที่จะเข้ารับทัณฑ์สวรรค์แล้ว!”
หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมตอบกลับไปว่า“ข้าจะคอยคุ้มครองเจ้าเอง เจ้าไม่ต้องกังวลใจ หรือหวาดกลัวอันตรายใดๆ!”
“อืมม..”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาตอบรับกลับไปพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องนภา ซึ่งเวลานี้ได้มีทัณฑ์เมฆาสีฟ้าครามก่อตัวอยู่เหนือศรีษะของนางแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร