บทที่ 1621 ทางเลือกของหลิงหยุน
ในเมื่ออาวุโสทั้งสองต่างก็พูดตรงกันอีกทั้งหลิงหยุนเองก็ไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในลำต้นของไม้ยักษ์นั้นได้ เขาจึงได้แต่ต้องรอคอยด้วยความอดทน
แต่หลิงหยุนก็มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าตราบใดที่อสุนีบาตยังคงผ่าลงมาไม่หยุดเช่นนี้ ย่อมหมายความว่า เหมี่ยวเสี่ยวเหมายังคงมีชีวิตอยู่
ในเมื่ออาวุโสทั้งสองยอมปรากฏตัวเช่นนี้หลิงหยุนก็ไม่ปล่อยโอกาสให้เสียเปล่าไปเช่นกัน เขาจึงรีบหันไปถามคำถามที่ยังคงเป็นคลางแคลงใจต่อ
“อาวุโสทั้งสองที่พวกท่านบอกว่า สายเลือดจิ่วหลีในกายของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาถูกปลุกให้ตื่น และนั่นดึงดูดให้เทพแห่งไม้สนใจในตัวนาง มันหมายความเช่นใดกัน”
โฉวเปิ่นสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพเอ่ยตอบยิ้มๆ“แม้ว่าธาตุไม้ในตัวแม่นางผู้นั้นจะแข็งแกร่ง แต่หากสายเลือดจิ่วหลีในร่างของนางไม่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น และเทพแห่งธาตุไม้คงจะไม่เลือกนางเป็นผู้สืบทอดเช่นนี้แน่ หรือต่อให้เลือกก็คงไร้ประโยชน์..”
“นี่ท่านพูดจริงรึ!”
หลิงหยุนถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจแต่แล้วก็เอ่ยถามต่อทันที “แล้วเหตุใดรูปปั้นของเทพเจ้าซือโหยว จึงสามารถปลุกสายเลือดโบราณในตัวของชนเผ่าเหมี่ยวให้ตื่นขึ้นได้ด้วยเล่า”
นี่คือข้อสงสัยหลักในใจของหลิงหยุนและเขาก็อยากจะถามมาตั้งนานแล้ว และเมื่อชายชราทั้งสองได้ยินคำถามของหลิงหยุน ทั้งสมุดจักรพรรดิและพู่กันจักรพรรดิ ต่างก็หันไปมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร
หลิงหยุนสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางที่ผิดปกติของอาวุโสทั้งสองและรับรู้ได้ถึงความหมายบางอย่างในสายตาที่สื่อออกมา จึงได้แต่เอ่ยถามออกไปว่า “มีอะไรผิดปกติงั้นรึ!อาวุโสทั้งสองได้โปรดบอกให้ข้ารู้บ้างจะได้หรือไม่?”
โฉวเปิ่นสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพส่ายหน้าไปมาพร้อมกับเอ่ยออกไปว่า “ไม่มีอะไร! เพียงแต่ข้าคิดว่าเจ้าเองก็น่าจะรู้คำตอบดี!”
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มขื่นและตอบกลับไปว่า “อาวุโส หากข้ารู้ ข้ายังจะต้องเอ่ยถามท่านทำไมกันเล่า”
ฉางเฟิงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ถูเถิง.. เป็นเพราะพลังอำนาจของถูเถิงอย่างไรเล่า เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“เอ่อ..”
หลิงหยุนนับเป็นคนหัวไวไม่น้อยทันทีที่ฉางเฟิงเอ่ยถึงถูเถิงขึ้นมา เขาก็ดูเหมือนว่าจะสามารถเข้าใจพลังอำนาจของถูเถิงขึ้นมาได้ในทันที
“นี่อาวุโสกำลังจะบอกข้าว่ารัศมีดุร้ายที่ปกคลุมป่าแห่งนี้อยู่ แท้ที่จริงก็คือพลังจากถูเถิงของชนเผ่าจิ่วหลีโบราณงั้นรึ ท่านกำลังบอกข้าว่า พลังจากถูเถิงช่วยปลุกเร้าสายเลือดโบราณในกายของชนเผ่าเหมี่ยว ให้ตื่นขึ้นทีละเล็กทีละน้อยอย่างนั้นรึ?”
“ถูกต้อง!”
ฉางเฟิงและโฉวเปิ่นต่างก็พยักหน้าพร้อมกันจากนั้นโฉวเปิ่นก็กล่าวเสริมขึ้นว่า “แต่เนื่องจากเวลาผ่านมาเนิ่นนานกว่าห้าพันปีแล้ว พลังแห่งถูเถิงที่อยู่ในสายเลือดของชนเผ่าเหมี่ยวเวลานี้ จึงได้อ่อนแอลงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าสู่ยุคที่มีเทคโนโลยีเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้..”
“ในยุคที่ความป่าเถื่อนล่มสลายผู้คนก็ได้บอกลาประเพณีโบราณอย่างการดื่มเลือดสัตว์สดๆ และกาลเวลาก็ได้ควบคุมพลังพลังโบราณเหล่านี้ไว้ แน่นอนว่ายังมีเหตุผลอื่นอีกมากมาย ที่ทำให้สายเลือดจิ่วหลีเกือบเลือนหายไปในที่สุด..”
“แต่ถึงกระนั้นชนเผ่าเหมี่ยวในที่นี้ก็ยังคงไม่ลืมบรรพชนของตนเอง พวกเขาเลือกที่จะอาศัยอยู่ในขุนเขาแห่งนี้มานานหลายชั่วอายุคน อีกทั้งส่วนใหญ่ยังปฏิเสธที่จะแต่งงานกับคนภายนอก ทำให้ยังสามารถรักษาสายเลือดโบราณของบรรพชนจิ่วหลีที่มีพลังถูเถิงไว้ได้..”
“ไม่เพียงเท่านั้นลูกหลานชาวเหมี่ยวยังคงกราบไหว้ และสักการะบรรพชนตามแบบประเพณีโบราณเสมอมา แม้ชนเผ่าเหมียวหลายคนอาจเห็นเป็นเพียงแค่พิธีกรรมเล็กๆน้อยๆ แต่บางคนกลับเห็นว่า มันเป็นสิ่งสำคัญและมีความหมายยิ่งใหญ่นัก อย่างเช่นเหมี่ยวเฟิงหวงอย่างไรเล่า..”
“เปลวเพลิงแห่งถูเถิงจึงมิเคยดับและนี่คือเพลิงแห่งตำนาน!”
“ฉะนั้นหลังจากที่เจ้านำกระบี่โลหิตเทวะออกมา จนทำให้ซือโหยวสามารถสร้างภาพจำลองของตนได้สำเร็จนั้น สิ่งแรกที่เขาทำก็คือปลดปล่อยพลังถูเถิง ที่ยังคงไม่ดับไปนี้ขึ้นมาอีกครั้งอย่างไรเล่า..”
“มนุษย์เราสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมได้และสิ่งแวดล้อมก็ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงมนุษย์ได้เช่นกัน ฉะนั้นแล้ว พลังถูเถิงที่ยังมิได้ดับไปนั้น จึงได้ทำการปลุกเร้าพลังถูเถิงซึ่งแฝงอยู่ในเลือดของชนเผ่าเหมี่ยวสายเลือดจิ่วหลี ไฟถูเถิงในกายของเขาถูกจุดขึ้นมาอีกครา ยิ่งสามารถทำให้ลูกหลานชาวเหมี่ยวรู้สึกซาบซึ้งต่อบรรพชนได้มากเพียงใด พลังแห่งศรัทธา และพลังแห่งการสักการะบูชาของชนเผ่าเหมี่ยวซึ่งมีสายเลือดจิ่วหลีโบราณนั้น ก็จะยิ่งทำให้เทพปีศาจซือโหยวสามารถฟื้นคืนชีพได้เร็วขึ้น และเมื่อใดที่เขาสามารถสร้างจิตวิญญาณแท้จริงขึ้นมาได้ ก็ย่อมสามารถทำลายผนึกที่กักขังไว้ได้ แล้วหลังจากนั้น..”
โฉวเปิ่นไม่ได้เล่าต่อแต่หลิงหยุนก็เข้าใจได้ดีว่า หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง..
หากเป็นเช่นนั้นจริงต่อให้เทพปีศาจซือโยวจะยังไม่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริงๆ ก็คงไม่ต่างอะไรจากการฟื้นคืนชีพนัก
“เป็นเช่นนี้เองหรอกรึ..”
แต่แล้วจู่ๆความคิดหนึ่งก็ได้ผุดขึ้นมาในหัวของหลิงหยุน เขาจึงรีบเอ่ยถามขึ้นทันที “ต่อให้เป็นดังที่อาวุโสกล่าวมาก็ตาม แม้ว่าซือโยวจะเป็นเทพปีศาจที่ทรงพลัง แต่การจะสร้างจิตวิญญาณแท้จริงขึ้นมาได้ ย่อมต้องอาศัยเวลาที่เนิ่นนานมิใช่รึ”
“ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด..”
ฉางเฟิงพยักหน้ายอมรับและตอบกลับไปว่า “แต่อย่าลืมว่าซือโหยวนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด! ไม่จำเป็นต้องรอให้สร้างจิตวิญญาณแท้จริงขึ้นมาได้ ขอเพียงแค่มีวิญญาณธาตุปรากฏขึ้น ซือโหยวก็สามารถกระทำการได้หลายสิ่งหลายอย่าง ดูอย่างเวลานี้สิ เขายังสามารถปลุกพลังถูเถิงในกายของชนเผ่าเหมี่ยวได้สำเร็จ แล้วหากวันหนึ่งที่เขาแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้เล่า..”
โฉวเปิ่นกล่าวเสริมขึ้นอีกเล็กน้อย“หลิงหยุน เจ้าลองใคร่ครวญดูเอาเองว่า หากเวลานี้เจ้าคือซือโหยว เจ้าคิดจะกระทำการเช่นใดต่อไป”
“…” หลิงหยุนได้แต่นิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึงและเวลานี้ เขาก็กำลังคิดว่า หากเขาเป็นเทพสงครามซือโหยวจริง สิ่งแรกที่จะเขาจะทำเมื่อสามารถสร้างจิตวิญญาณแท้จริงขึ้นมาได้สำเร็จ ก็คือการปลุกเหล่าพันธมิตร และลูกหลานให้ลุกขึ้นมาปกป้องตนเอง จนกว่าจะสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้!
“จากที่ฟังอาวุโสทั้งสองกล่าวมาดูเหมือนการฟื้นคืนชีพของซือโหยวคงจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จะมิมีผู้ใดยับยั้งเขาได้เลยงั้นรึ”
พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ที่นิ่งเงียบมาตั้งแต่ต้นก็ยังคงนิ่งเงียบต่อไป ในขณะที่โฉวเปิ่นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเอ่ยบอกหลิงหยุนไปว่า
“ข้าบอกเจ้าได้เพียงแค่ว่าจากการคาดการของสามจักรพรรดิ ซือโหยวจะต้องฟื้นคืนชีพเป็นแน่ เพียงแต่มิใช่ในเวลานี้ และมิใช่บนโลกใบนี้!”
หลิงหยุนฟังแล้วจึงรีบเอ่ยถามขึ้นทันที“ที่ใดงั้นรึ”
“คำถามนี้เจ้าคงต้องถามตัวเจ้าเอง..”
และครั้งนี้ฉางเฟิงพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ก็ได้เอ่ยปากออกมาในที่สุด “คำถามนี้คงจะมิมีผู้ใดที่ตอบได้ดีไปกว่า.. บุรุษผู้ถูกลิขิตมา!”
“เฮ้อ..ข้าไม่ควรถามเรื่องนี้ขึ้นมาเลยจริงๆ”
หลังจากที่หลิงหยุนตั้งคำถามมากมายในที่สุดคำถามนั้นก็ย้อนกลับมาหาตัวเขาเองจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นหลิงหยุนก็ยังคงถามเรื่องอื่นต่อไป เขาหันมองสำรวจไปรอบกาย ก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า
“แต่ว่า..ในเมื่อตั้งแต่อดีตมา ซือโหยวก็มีผู้ติดตามมากมาย ย่อมหมายความว่าเขาเองก็แข็งแกร่งมิใช่น้อย แล้วเหตุใดพวกเราจึงต้องหยุดยั้งมิให้เขาฟื้นคืนชีพด้วยเล่า”
หลังจากที่หลิงหยุนเอ่ยถามออกมาเช่นนี้ชายชราทั้งสองก็ได้แต่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่เห็นได้ชัดว่าทั้งสองนั้นก็ยังไม่สามารถคิดหาคำตอบได้
ครืน..
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่าดังออกมาจากยอดเขาด้านหน้า อสุนีบาตฟ้าครามยังคงผ่าลงมา และฟาดใส่ลำต้นของไม้ยักษ์นั้นอย่างต่อเนื่อง
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่กำหมัดแน่นในขณะเดียวกันก็ต้องสื่อสารกับอาวุโสทั้งสองไปด้วย เวลานี้ความสนใจของเขากลับไปอยู่ที่การรักทัณฑ์อสุนีบาตของเหมี่ยวเสี่ยวเหมา หลิงหยุนสังเกตเห็นว่า ลำต้นของไม้ยักษ์นั้นค่อยๆหดตัวลงขึ้นเรื่อยๆ และนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า การรับทัณฑ์สวรรค์ของเหมี่ยวเสี่ยวเหมา ได้เข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญแล้ว..
ในระหว่างนั้นหูของหลิงหยุนก็ได้ยินสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆว่า “คำถามของเจ้าเมื่อครู่นี้ พวกเราทั้งสองก็มิอาจตอบได้เช่นกัน..”
“แต่เจ้าอย่าลืมว่า..ซือโหยวถูกขนานนามให้เป็นเทพแห่งสงครามมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล เมื่อใดที่ซือโหยวทำสงคราม ขุนเขาต่างพังทลาย สายน้ำพลันเหือดแห้ง เหล่าดวงดารา และจันทราก็มิอาจเปล่งแสงได้อีก..”
“สมบัติเดียวที่ซือโหยวทิ้งไว้จึงมีเพียงแค่กระบี่โลหิตเทวะ และเสื้อเกราะเทวะ..”
“หากเจ้าต้องการแข็งแกร่งขึ้นมากกว่านี้ก็ต้องเสาะหาสมบัติอีกชิ้นที่ซือโหยวทิ้งไว้ให้พบ สมบัติทั้งสองชิ้นนั้น ล้วนมีประโยชน์มากกว่าพู่กัน และสมุดอย่างพวกเราสองคนนัก แต่หากเจ้ามิต้องการเห็นสิ่งมีชีวิตต้องสูญสลาย อารยธรรมต้องถูกทำลายลง โลกต้องกลับคืนสู่ความป่าเถื่อนอีกครา..”
“เอาล่ะหยุดๆๆ”
หลิงหยุนรีบร้องห้ามขึ้นทันทีเพราะไม่ต้องการให้สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพกล่าวอันใดต่ออีก.. พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ และหม้อหลอมโอสถเสินหนง ทั้งสามสิ่งล้วนเป็นมรดกตกทอดที่นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่มวลมนุษย์
ในขณะที่กระบี่โลหิตเทวะและเสื้อเกราะเทวะของซือโหยว กลับเป็นมรดกตกทอดที่นำมาซึ่งสงคราม และการเข่นฆ่า
คำตอบว่าจะต้องเลือกสิ่งใดนั้นย่อมกระจ่างชัดเจนในตัวเองแล้ว!
“จะอย่างไรก็ตามข้าจะต้องฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้เสียก่อน หากข้าแข็งแกร่งมากพอ จึงจะสามารถหยุดยั้งสิ่งแล้วร้ายที่จะเกิดขึ้นได้..”
หลิงหยุนเอ่ยตอบด้วยสีหน้าแววตามุ่งมั่นและคำตอบของเขานั้นก็บ่งบอกชัดเจนว่า เขาตัดสินใจที่เลือกสิ่งใด!
หลังจากที่พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์และสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพได้ฟังคำตอบของหลิงหยุน ทั้งคู่ก็ถึงกับยิ้มออกมาด้วยความสบายอกสบายใจ ส่วนหลิงหยุนนั้นหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดมา เขาก็ไม่ต้องการที่จะถามอะไรอีก และสิ่งเดียวที่เขาต้องทำในเวลานี้ก็คือ ตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้โดยเร็วที่สุด เพราะวันเวลาย่อมเคลื่อนไปไม่หยุดแม้แต่วินาทีเดียว..
………..
หลังจากที่คลื่นอสุนีบาตชุดที่สี่จบลงทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง..
ต้นไม้ยักษ์ค่อยๆหดตัวลงเหลือขนาดเพียงหนึ่งในสามเมื่อเทียบกับก่อนหน้า กิ่งและใบก็อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น และนั่นเป็นสัญญาณว่า การรับทัณฑ์สวรรค์ของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาได้สิ้นสุดลงแล้ว เพียงแต่ว่า จะเป็นหรือตายนั้น หลิงหยุนเองก็ไม่อาจรู้ได้..
หลิงหยุนเฝ้าดูด้วยความกระวนกระวายใจแต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาอดรนทนไม่ได้จนต้องหันไปถามชายชราทั้งสอง
“อาวุโสทั้งสองท่านมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในลำต้นไม้นั่นหรือไม่” แต่ชายชราทั้งสองได้แต่ส่ายหน้าไปมาพร้อมกันหลิงหยุนจึงทำได้เพียงแค่รอคอยเท่านั้น..
หลังจากรอคอยอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมงในที่สุดต้นไม้ใหญ่บนยอดเขาตรงหน้าหลิงหยุน ก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเหลือเพียงแสงสว่างสีฟ้าคราม และอันตรธานหายไปในที่สุด!
และบนท้องนภาเวลานี้ร่างของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ได้ปรากฏขึ้น..
“ในที่สุดเจ้าก็รับทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ!”
หลิงหยุนพึมพำออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมกับถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร