บทที่ 1622 ปณิธานที่ให้ไว้กับหลิวเทวะวิญญาณ
เมื่อเห็นว่าเหมี่ยวเสี่ยวเหมาปลอดภัยดีหลิงหยุนจึงได้เหาะเข้าไปหาหญิงสาวในทันที ปากก็ร้องตะโกนออกไปด้วยความยินดี
“เสี่ยวเหมายินดีกับเจ้าด้วย! นับว่าครั้งนี้เจ้าได้ประโยชน์กลับมาไม่น้อยทีเดียวสินะ!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่ยังคงดื่มด่ำกับความสุขหลังรับทัณฑ์สวรรค์สำเร็จเมื่อเห็นหลิงหยุนเหาะตรงเข้ามาหาเช่นนี้ นางก็ได้แต่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มกว้าง หลังจากจ้องมองหลิงหยุนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มครู่ใหญ่ ในที่สุดก็เอ่ยถามออกไปว่า
“หลิงหยุนเวลาล่วงเลยไปนานเพียงใดแล้วรึ นี่เจ้ารอข้าอยู่นานมากหรือไม่?”
หลิงหยุนคำนวณเวลาอยู่ในใจเงียบๆเขาเงยหน้าขึ้นมองผืนนภา และดวงจันทราเบื้องบน แล้วจึงตอบหญิงสาวกลับไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข “ก็ไม่นับว่าเร็วนักแต่ก็ไม่นับว่าช้าเช่นกัน รวมแล้วเจ้าใช้เวลาไปกับการรับทัณฑ์สวรรค์ร่วมสามชั่วโมง..”
“หลิงหยุนขอบใจเจ้ามากที่คอยช่วยเหลือข้า!” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเอ่ยขอบคุณหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เสี่ยวเหมาเจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความสามารถของเจ้าเองทั้งสิ้น!” หลิงหยุนเอ่ยตอบ พร้อมกับแอบสำรวจเหมี่ยวเสี่ยวเหมาอย่างเงียบๆ
“เจ้ากล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูกนัก..”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมารีบเอ่ยค้านขึ้นมาทันทีนางจ้องมองหลิงหยุนด้วยสีหน้าแววตาหนักแน่น พร้อมกับเอ่ยต่อว่า
“หากไม่เพราะเจ้าแนะนำให้ข้าเดินวิชาพฤกษาขจีไปด้วยแล้วล่ะก็ข้าเองก็คงไม่ประสบความสำเร็จในการรับทัณฑ์สวรรค์เช่นนี้แน่..”
“เป็นเพราะเจ้าอีกเช่นกันที่บอกกับข้าไว้เมื่อครั้งที่ถ่ายทอดวิชาพฤกษาขจีให้กับข้า เจ้าบอกให้ข้าโยนฐานะสูงส่งของตนเองทิ้งไป แล้วน้อมกายน้อมใจเป็นหนึ่งเดียวกับพืชพรรณ เคารพพวกมันจากก้นบึ้งของจิตใจ สื่อสารกับพวกมันด้วยความเท่าเทียม และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วพวกมันจะยอมรับและเชื่อฟังข้า..”
“หลิงหยุนเจ้ากล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก! ทุกสรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณ และรากเหง้า.. และเพราะสองสิ่งนี้ ข้าจึงผ่านการทดสอบ และได้รับการยอมรับจากจิตวิญญาณแห่งพืชพรรณอย่างไรเล่า!”
ในขณะที่เอ่ยตอบหลิงหยุนนั้นเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ได้ยกมือขึ้นตรงหน้า พร้อมโบกสะบัดไปมา ห้วงอากาศในรัศมีกว่าหนึ่งร้อยเมตร พลันเปลี่ยนเป็นป่าไม้หนาทึบในทันที ต้นไม้ทั้งหมดในห้วงอากาศ พากันแผ่กิ่งก้าน สาขา ออกหน่อแตกใบเป็นไม้พรรณเขียวขจี ที่อุดมสมบูรณ์ มีชีวิตชีวา และอัดแน่นไปด้วยพลังชีวิต! “ว้าว!!เยี่ยมยอดยิ่งนัก!”
หลิงหยุนได้เห็นเช่นนั้นถึงกับต้องร้องอุทานออกมาด้วยความอัศจรรย์ใจเขาสัมผัสได้ว่า ป่าไม้ที่รายล้อมร่างของตนเองอยู่ในเวลานี้ ดูราวกับป่าไม้จริงๆจนน่าตกใจ
“นี่หาใช่ความแข็งแกร่งของข้าไม่แต่เป็นพลังของจิตวิญญาณพืชพรรณต่างหาก!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมายิ้มออกมาพร้อมอธิบายต่อว่า“เวลานี้จิตวิญญาณพืชพรรณได้สถิตอยู่ภายในจุดซือไห่ของข้า ข้าจึงสามารถหยิบยืมพลังของมันมาใช้ได้ทุกเมื่อ..”
หลิงหยุนถึงกับตกตะลึงอีกครั้งและเมื่อได้สติจึงรีบเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เสี่ยวเหมา! นี่เจ้า.. เจ้ากำลังจะบอกกับข้าว่า หลังจากที่ต้นไม้ยักษ์หดตัวจนหายไปนั้น มันได้เข้าไปอยู่ในจุดซือไห่กึ่งกลางหว่างคิ้วของเจ้างั้นรึ”
“ถูกต้องแล้ว!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเอื้อมมือออกไปเด็ดใบไม้ตรงหน้าออกมาหนึ่งใบพร้อมพินิจพิจารณาดูอย่างละเอียด และทันทีที่นางปล่อยมือออกจากใบไม้นั้น มันก็ได้ล่องลอยกลับไปอยู่บนต้นไม้ดังเดิม
“ป่าไม้นี้ล้วนเกิดจากพลังชีวิตในกายข้าฉะนั้นแล้ว ต้นไม้ทุกต้น กิ่งไม้ทุกก้าน และใบไม้ทุกใบ จึงล้วนเชื่อฟังคำสั่งของข้า!”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าเขาเข้าใจความหมายในคำพูดของนางได้ดี นับแต่นี้เป็นต้นไป เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะสามารถใช้ป่าไม้ต่อสู้แทนตนเองได้!
“ด้วยความช่วยเหลือของจิตวิญญาณพืชพรรณนี้ทำให้ข้าเข้าใจวิชาพฤกษาขจีได้ลึกซึ้งขึ้นมาก..”
ขณะที่เอ่ยบอกหลิงหยุนนั้นแววตาของเหมี่ยวเสี่ยวเหมา ได้ทอประกายแห่งความกระจ่างออกมาให้เห็น
“เสี่ยวเหมาเวลานี้จิตหยั่งรู้ของเจ้าครอบคลุมรัศมีไกลเพียงใด” หลิงหยุนเอ่ยถามขึ้น เหมี่ยวเสี่ยวเหมาทดลองเปิดจิตหยั่งรู้ของตนออกขั้นสุดก่อนจะเอ่ยปากบอกหลิงหยุนไปว่า “เวลานี้จิตหยั่งรู้ของข้าสามารถครอบคลุมขุนเขารอบๆได้หลายลูก ดูเหมือนว่าน่าจะราวเก้ากิโลเมตรได้..”
ในช่วงที่หลิงหยุนเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-6) นั้น จิตหยั่งรู้ของเขาก็ครอบคลุมรัศมีไกลถึงหนึ่งหมื่นเมตร
นี่ย่อมหมายความว่าจิตหยั่งรู้ของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเวลานี้ เทียบเท่ากับผู้ที่เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) เลยทีเดียว
“เยี่ยมมาก!หากเป็นเช่นนี้ข้าเองก็ค่อยรู้สึกเบาใจขึ้นมาก..”
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มออกมาและอดที่จะนึกถึงคำพูดของอาวุโสทั้งสองเมื่อครู่นี้ไม่ได้ ทั้งคู่บอกกับหลิงหยุนว่า หลังจากเหมี่ยวเสี่ยวเหมารับทัณฑ์สวรรค์สำเร็จนั้น นางจะสามารถปกป้องดูแลขุนเขาในดินแดนแถบนี้ได้
เห็นจะเป็นจริงเช่นนั้นเพราะเพียงแค่ขั้นพลังบ่มเพาะของหญิงสาวในเวลานี้ ประกอบกับจิตวิญญาณพืชพรรณที่อยู่ภายในจุดซือไห่ของนางนั้น ก็ทำให้นางแข็งแกร่งมาพอที่จะปกปักรักษาดินแดนนี้ไว้ได้แล้ว..
“หลิงหยุนพวกเราออกไปจากที่นี่กันเถิด!”
ขณะที่เอ่ยบอกหลิงหยุนนั้นเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ได้เอื้อมมือออกไปจับฝ่ามือของเขาไว้ พร้อมกับพาเหาะลงไปยังตีนเขาทันที
หลังจากที่เหาะมาถึงบริเวณที่หลิวเทวะวิญญาณตั้งตระหง่านอยู่ทั้งคู่ก็เหาะร่อนลงบนผืนดิน เหมี่ยวเสี่ยวเหมาปล่อยมือหลิงหยุน แล้วเดินตรงเข้าไปใต้ร่มเงาของหลิวเทวะวิญญาณเพียงลำพัง
เมื่อเดินเข้าไปใกล้หลิวเทวะวิญญาณมากแล้วเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ได้คุกเข่าลงกับพื้น พร้อมกับทำการโขกศรีษะ เพื่อแสดงความเคารพต่อหลิวเทวะวิญญาณ ปากก็เอ่ยออกไปว่า
“ขอบคุณอาวุโสที่ช่วยผู้น้อยหลายครั้งหลายคราหากวันใดที่ผู้น้อยเหมี่ยวเสี่ยวเหมาฝึกสำเร็จ ผู้น้อยจะขอติดตามหลิงหยุนคุ้มกันอาวุโสกลับไปยังดินแดนบรรพชน เพื่อให้อาวุโสได้แตกกิ่งก้านสาขาตามใจปรารถนา และหากผู้น้อยผิดคำพูด มิยอมทำตามที่ได้ลั่นวาจาไว้ ขออาวุโสได้โปรดลงโทษผู้น้อยด้วย!”
สองสามประโยคแรกที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเอ่ยออกมานั้นหลิงหยุนมิได้รู้สึกใดๆนัก นั่นเพราะนางเองก็ได้รับความช่วยเหลือจากหลิวเทวะวิญญาณมาหลายต่อหลายครั้ง การที่นางจะสำนึกบุญคุณ จนต้องเอ่ยขอบคุณหลิวเทวะวิญญาณ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด
แต่ในประโยคท้ายๆนั้นทำให้หลิงหยุนถึงกับต้องนิ่งไปด้วยความตกตะลึง!
‘จะขอติดตามคุ้มกันอาวุโสกลับไปยังดินแดนบรรพชนเพื่อให้อาวุโสได้แตกกิ่งก้านสาขาตามใจปรารถนางั้นรึ!’
‘ดินแดนบรรพชน!นางหมายถึงที่ใดกัน?!’ หลังจากที่ตั้งสติได้หลิงหยุนก็นั่งทบทวน และใคร่ครวญดู จึงนึกขึ้นมาได้ว่า หลิวเทวะวิญญาณนั้นเป็นมรดกตกทอดของตระกูลหลิง และบรรพชนตระกูลหลิงก็เป็นผู้นำหลิวเทวะวิญญาณนี้มาจากวังมังกร!
แต่เรื่องนี้เป็นความลับของตระกูลหลิงหลิงหยุนเองก็มิเคยเล่าเรื่องนี้ให้กับหญิงสาวฟังแม้แต่ครั้งเดียว เหตุใดนางจึงล่วงรู้ความลับนี้ได้เล่า
‘หรือนางจะล่วงรู้เรื่องนี้จากจิตวิญญาณพืชพรรณ’
แต่ในระหว่างที่หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่นั้นหลิวเทวะวิญญาณก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทั้งลำต้น กิ่งก้าน และใบของหลิวเทวะวิญญาณ โบกสะบัดรุนแรงราวกับคลุ้มคลั่ง แสงสีเขียวสุกใสพลันสว่างขึ้นไปทั่วทั้งต้น..
ฟิ้ว..
จากนั้นกิ่งหลิวสามกิ่งก็ได้ร่วงหล่นลงมาจากต้นหลิวเทวะวิญญาณ ก่อนจะค่อยๆหล่นลงตรงหน้าเหมี่ยวเสี่ยวเหมาอย่างนุ่มนวล จากนั้นต้นหลิวเทวะวิญญาณก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นเพียงแค่กลุ่มแสงสีเขียวเล็กๆ พุ่งกลับเข้าไปในจุดตันเถียนของหลิงหยุนทันที
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
หลิงหยุนได้แต่พึมพำออกมาในขณะที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเอง ก็กำลังจ้องมองกิ่งหลิวทั้งสามตรงหน้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
หลิงหยุนกระโดดเข้าไปยืนตรงหน้าเหมี่ยวเสี่ยวเหมาพร้อมกับโน้มตัวลงกระซิบข้างหูของนาง ในขณะเดียวกันก็ช่วยพยุงร่างของนางให้ลุกขึ้น
“เสี่ยวเหมา..กิ่งหลิวทั้งสามนี้นับเป็นสมบัติที่ล้ำค่ายิ่ง กระบี่ธรรมดาทั่วไปมิอาจตัดทำลายได้ เปลวเพลิงมิอาจเผาผลาญ และจะคงอยู่เช่นนี้มิเหี่ยวเฉา หากใช้ควบคู่กับวิชาพฤกษาขจี จะยิ่งให้ผลที่น่าอัศจรรย์!”
“อืมม..”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาตอบกลับเพียงแค่สั้นๆนางรีบก้มลงเก็บกิ่งหลิวทั้งสามกลับเข้าไปไว้ในแหวนของตนเองทันที
“เวลานี้เจ้าเก็บไว้ในแหวนก่อนแต่หากเป็นไปได้ ข้าขอแนะนำให้เจ้านำเข้าไปบ่มเพาะบำรุงในร่างกาย หากจำเป็นก็นำออกมาใช้ในการต่อสู้ได้!”
หลิงหยุนไม่ลืมที่จะแนะนำหญิงสาว..
หลิงหยุนย่อมรู้ดีว่าหลิวเทวะวิญญาณนั้นเป็นมรดกตกทอดของตระกูลหลิง หากมิใช่สายเลือดตระกูลหลิงอย่างแท้จริง ก็คงมิอาจสื่อสารกับหลิวเทวะวิญญาณเช่นนี้ได
แต่สำหรับเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นแม้นางจะมิใช่สายเลือดตระกูลหลิงก็จริง แต่เพราะความพิเศษในกายของนาง จึงทำให้นางสามารถสื่อสารกับหลิวเทวะวิญญาณได้
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาพยักหน้ารับรู้โดยมิได้เอ่ยตอบอะไรจากนั้น นางก็ได้หันมองไปรอบกาย พร้อมกับโบกไม้โบกมือประหนึ่งว่ากำลังร่ายรำ นางได้หยิบใช้วิชาพฤกษาขจีอีกครา พร้อมปลดปล่อยพลังชีวิตในร่างออกไป ความอัศจรรย์พลันปรากฏขึ้นทันใด!
จากนั้นเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ได้แต่ยิ้มออกมา และเอื้อมมือไปจับแขนของหลิงหยุนไว้ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“หลิงหยุนพวกเราออกมากันนานมากแล้ว รีบกลับกันดีกว่า ก่อนที่ท่านปู่ท่านย่าจะเป็นห่วงไปมากกว่านี้!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร