บทที่ 1624 ไปบ้านตระกูลหนิง
“ข้าลาก่อน..”
คำพูดเพียงแค่ประโยคสั้นๆไม่กี่คำของหลิงหยุนไม่ต่างจากสายฟ้าที่ผ่าลงกลางใจของเหมี่ยวเสี่ยวเหมา แม้หญิงสาวจะได้เตรียมกายเตรียมใจไว้ก่อนหน้าแล้ว แต่นางก็อดที่จะจิตใจสั่นไหวมิได้
ฝ่ามือของหญิงสาวยื่นออกไปหมายคว้าแขนของหลิงหยุนไว้อย่างรวดเร็ว แต่ต่อให้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะรวดเร็วสักเพียงใด ก็ยังช้ากว่าหลิงหยุนอยู่ดี ฝ่ามือของนางจึงคว้าได้เพียงแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น..
“หลิงหยุน..ข้าจะตามไปส่งเจ้า!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมารีบกระโดดตามหลิงหยุนขึ้นไปบนท้องนภาทันทีแต่เมื่อเหาะขึ้นไปได้ราวสิบกว่าเมตร นางก็ไม่พบแม้แต่ร่องรอยของคนใจร้ายอย่างหลิงหยุนแล้ว
“ฮึ่ม!!หลิงหยุน เจ้ากล้าหนีข้าไปเช่นนี้ต่อไปข้าจะมิให้เจ้าได้กลับมาเหยียบที่นี่อีก!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโหนางได้แต่จ้องมองไปยังทิศทางที่หลิงหยุนหนีหายไป พร้อมกับกัดฟันกรอด
ไม่แปลกเลยที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะโมโหหลิงหยุนถึงเพียงนี้เพราะเมื่อนึกจะไป หลิงหยุนก็เหาะหนีจากไปอย่างไร้ร่องรอย โดยไม่แม้แต่จะกล่าวคำอำลา
ท่ามกลางความมืดมิดและเงียบสงัดเหมี่ยวเสี่ยวเหมาร้องตะโกนกึกก้องไปทั่วทั้งขุนเขา แต่ก็ดูเหมือนว่าหลิงหยุนจะไปไกลมากแล้ว จึงไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเลยแม้แต่น้อย
“เสี่ยวเหมาลงมาได้แล้วล่ะ!”
ท่านหมอเสี่ยวเงยหน้าขึ้นมองหลานสาวพร้อมกับร้องตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากหลิงหยุนตั้งใจที่จะไป ผู้ใดก็ยากจะรั้งเขาไว้ได้..”
ปัง! เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเหาะกลับลงมาพร้อมกับกระแทกเท้าลงบนพื้นดินด้วยความโกรธ ทำให้พื้นดินในบริเวณนั้นถึงกับสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที
เห็นได้ชัดว่าเวลานี้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาทั้งหงุดหงิด แล้วก็โกรธเกรี้ยวอย่างมาก เธอร้องตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจอย่างมาก
“หึ!อยากจะไปไหนก็เชิญ ผู้ใดต้องการให้เจ้าอยู่กันเล่า”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมายังไม่ทันแม้แต่จะได้ร่ำลาหลิงหยุนด้วยซ้ำและเวลานี้ ดวงตาทั้งสองข้างของนางก็เริ่มแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นระริก และพยายามเมินหน้าหนีไปทางอื่น เพราะเกรงว่าน้ำตาที่กลั้นไว้จะไหลพรากออกมา
ในขณะที่ท่านหมอเสี่ยวกำลังคิดที่จะหาหนทางแก้ตัวให้หลิงหยุนนั้นเสียงของเขาก็ดังขึ้นภายในโสตประสาทของท่านหมอเสี่ยว
–อาวุโสท่านมิจำเป็นต้องแก้ตัวแทนข้า! ท่านจะต้องกร่นด่าข้า ยิ่งรุนแรงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!-
เสี่ยวเจิ้งจี๋ได้แต่คิดในใจพร้อมกับกรอกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย ‘หลิงหยุน ข้ารู้ว่าเจ้ายังคงไปไม่ไกลจากนี้แน่!’
ในระหว่างนั้นเหมี่ยวเฟิงหวงก็เอ่ยปลอบประโลมหลานสาวว่า “เสี่ยวเหมา ที่หลิงหยุนรีบร้อนจากไปเช่นนี้ ข้าเชื่อว่าเขาคงต้องมีเรื่องเร่งด่วนที่เขาคุนหลุนจริงๆ หาไม่แล้วเขาก็คงจะไม่รีบร้อนจากไป โดยไม่ยอมให้พวกเราได้ไปส่งเช่นนี้แน่..”
ปัง!
แต่แล้วจู่ๆท่านหมอเสี่ยวก็ยกมือขึ้นตบโต้หินตรงหน้าเสียงดังพร้อมกับกร่นด่าหลิงหยุนด้วยความโมโห
“ต่อให้มีเรื่องด่วนมากเพียงใดก็ตามเขาก็ไม่ควรรีบร้อนจากไปเช่นนี้! นี่เขาคงคิดว่าตนเองเก่งกาจเสียเต็มประดาสินะ ใช่ว่ามีขั้นพลังบ่มเพาะที่เหนือกว่า ก็จะสามารถทำอะไรตามใจ จนกลายเป็นไร้มารยาทเช่นนี้ได้!” “หึ!หลิงหยุนไม่เพียงไม่เห็นแก่หน้าปู่กับย่าของเจ้า แต่ยังทำให้เจ้าโมโหมากมายถึงเพียงนี้! หากให้ปู่ได้พบเจอเขาในวันหน้า ปู่จะจัดการกับเขาอย่างสาสมเลยทีเดียว!”
หลังจากที่ได้ยินเสี่ยวเจิ้งจี๋กร่นด่าหลิงหยุนว่าไร้มารยาทความโกรธภายในใจของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็จางคลายลงไปอย่างมากแล้ว แต่เมื่อได้ยินชายชรายังคงกร่นด่าหลิงหยุนไม่หยุด และดูเหมือนว่าจะโกรธรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเช่นนี้ เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นกระวนกระวายใจขึ้นมาแทน และรีบหันไปบอกกับชายชราทันที
“ท่านปู่คะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง อย่าโมโหไปเลยนะคะ เดี๋ยวจะไม่ดีต่อสุขภาพ!”
แต่มีหรือที่เสี่ยวเจิ้งจี๋จะหยุดอยู่เพียงเท่านี้เขาตอบกลับหลานสาวไปทันที..
“เสี่ยวเหมา!นี่เจ้ายังเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยอีกรึ เจ้าผิดแล้ว นี่หาใช่เรื่องเล็กน้อยไม่!”
เสี่ยวเจิ้งจี๋ทำตาถมึงทึงบ่งบอกว่ากำลังโกรธมาก พร้อมกับร้องตะโกนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเทิ้ม
“หึ!หลิงหยุนนึกอยากจะมาก็มา นึกอยากจะไปก็ไปเช่นนี้ เขาเห็นหมู่บ้านเหมี่ยวเป็นสถานที่เช่นใดกัน เขายังเห็นตระกูลเสี่ยวของข้าอยู่ในสายตาหรือไม่? ใช่ว่าข้าเสี่ยวเจิ้งจี๋อยากได้หน้าได้ตา แต่อย่างน้อย ฉายาหมอเทวดาของข้า ก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศมานานถึงสี่สิบปี..”
ยิ่งพูดเสี่ยวเจิ้งจี๋ก็ยิ่งเสียดังมากขึ้น จนกระทั่งเหมี่ยวเฟิงหวงที่อยู่ข้างๆ ถึงกับต้องตวาดกลับไปเสียงดัง
“ท่านจะหุบปากได้หรือยัง”
“ได้ๆข้าไม่เอ่ยต่อแล้ว..”
จากนั้นทั่วทั้งบริเวณก็เปลี่ยนเป็นเงียบกริบขึ้นมาทันที เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเห็นเช่นนั้น ก็ถึงกับอดไม่ได้ นางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนน้ำหูน้ำตาไหล
ความจริงแล้วหลิงหยุนยังคงเหาะอยู่กลางอากาศ และกำลังจ้องมองปู่ ย่า และหลานสาวสนทนาอยู่อย่างเงียบๆ เพียงแต่เขาใช้วิชาลวงตาอำพรางตัวไว้ ทำให้ทั้งสามคนไม่สามารถมองเห็นตนเองได้
การที่หลิงหยุนเลือกที่จะหนีออกมาเช่นนี้ก็เพราะว่าเขาไม่อาจทนต่อการร่ำลาของทุกคนได้ จึงได้แต่ต้องทำเช่นนี้ นั่นเพราะเขาย่อมสัมผัสได้ว่า ทัศนคติและความรู้สึกของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่มีต่อตนเองในเวลานี้ ได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
หลังจากที่ได้เห็นเหมี่ยวเสี่ยวเหมาหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหลเช่นนั้นหลิงหยุนจึงได้บอกกับเสี่ยวเจิ้งจี่เพียงผู้เดียวว่า
–ข้าต้องไปจริงๆแล้ว!-
จากนั้นเขาจึงได้หันหลังเหาะจากไปในทันที!
…………
แน่นอนว่าจุดหมายปลายทางของหลิงหยุนก็คือเทือกเขาคุนหลุน ระหว่างทาง หลิงหยุนได้หยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาเพื่อกำหนดทิศทาง ก่อนจะส่งข้อความออกไปสองข้อความ
ข้อความแรกหลิงหยุนได้ส่งให้กับพอล สั่งให้เขากลับไปรวมกับแวมไพร์ตนอื่นๆ ส่วนอีกหนึ่งข้อความนั้น เขาส่งให้กับหลี่เพียวหยาง สั่งให้ไปพบกันที่ยอดเขาแห่งหนึ่งในเทือกเขาคุนหลุน
ด้วยก้าวเทวะเทียนจู๋ทงนั้นทำให้การเดินทางของหลิงหยุนเป็นไปได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ จากทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน มุ่งหน้าสู่เทือกเขาทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งมีระยะทางห่างไกลกว่าสามพันไมล์นั้น หลิงหยุนสามารถก้าวเดินไปได้อย่างสบาย และพียงแค่ครึ่งชั่วโมง เขาก็สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
แม้ว่าหลิงหยุนจะรีบร้อนเดินทางแต่เขาก็ไม่ลืมที่จะชื่นชมทัศนียภาพรอบตัวไปด้วย เทือกเขาที่ทอดเรียงราย และสายน้ำที่ไหลเอื่อยนั้น ล้วนเป็นทัศนียภาพที่งดงามไม่น้อยทีเดียว
ยิ่งหลิงหยุนเข้าใกล้ยอดเขาที่นัดหมายมากเท่าไหร่เขาก็ค่อยๆลดความเร็วลงเรื่อยๆ หลังจากนั้น ก็ได้เปลี่ยนจากการเดินทางด้วยก้าวเทวะเทียนจู๋ทง มาเป็นการเหาะไปบนท้องนภาแทน
บนยอดเขาที่หลิงหยุนนัดหมายกับหลี่เพียวหยางนั้นเป็นยอดเขาสูงที่มีหิมะสีขาวปกคลุม นอกจากความเย็นยะเยือกแล้ว ยังประหนึ่งยืนอยู่บนสรวงสวรรค์ที่ปกคลุมไปด้วยหมู่มวลเมฆาอีกด้วย
หลิงหยุนค่อยๆเหาะลงบนยอดเขาอย่างช้าๆทันทีที่เท้าทั้งสองข้าสัมผัสกับพื้นดิน หลิงหยุนก็ได้หันมองดูหิมะขาวโพลนรอบตัวด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง โดยมิได้รู้สึกเหน็บหนาวแต่อย่างใด
นั่นเพราะสถานที่ที่สูงและหนาวมากกว่านี้หลิงหยุนก็เคยผ่านมาหมดแล้ว!
“ว่ากันว่าเขาคุนหลุนคือแดนสุขาวดีเป็นที่สถิตของเหล่าเทพเซียน แต่ประตูเข้าคุนหลุนยังคงเป็นความลับ!”
หลิงหยุนถอนสายตาจากทัศนียภาพที่งดงามและกลับมานั่งหลับตาเงียบๆ ฝึกฝนวิชาระหว่างที่รอคอยหลี่เพียวหยาง
หลิงหยุนประเมินคร่าวๆว่าด้วยขั้นพลังบ่มเพาะของหลี่เพียวหยางเวลานี้ เขาคงจะใช้เวลาในการเหาะจากสำนักกระบี่หลิงหยุนมาที่นี่ราวหนึ่งชั่วโมง แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง หลี่เพียวหยางก็เหาะมาถึงยอดเขาที่นัดหมาย
หลังจากที่ได้รับข้อความจากหลิงหยุนหลี่เพียวหยางก็ละทิ้งภารกิจทุกอย่าง และเหาะตรงมาที่นี่ด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะสามารถทำได้ จนถึงกับใช้เสินหยวนไปเกือบหมด และเมื่อมาถึง แม้ว่าบนยอดเขาจะปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน แต่ร่างของเขากลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
และเมื่อเห็นหลิงหยุนรออยู่บนยอดเขาก่อนแล้วหลี่เพียวหยางถึงกับร้องตะโกนทักทายออกมาด้วยความดีอกดีใจ “หลี่เพียวหยางคาราวะท่านเจ้าสำนัก!”
“ดูจากสีหน้าท่าทางของเจ้าคงจะเหน็ดเหนื่อยมากเลยสินะ” หลิงหยุนถึงกับอดที่จะหัวเราะออกมาด้วยความขบขันไม่ได้ เมื่อเห็นสภาพของหลี่เพียวหยางในเวลานี้
หลี่เพียวหยางยังคงนักคุกเข่าอยู่เช่นนั้นในขณะเดียวกันก็ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผาก พร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า
“คำสั่งของท่านเจ้าสำนักข้าหลี่เพียวหยางมิกล้าเพิกเฉย จึงได้เร่งเหาะมาให้ถึงที่นี่โดยเร็วที่สุด ต่อให้เหน็ดเหนื่อยเพียงใดข้าน้อยก็ยินดี!”
หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปที่หน้าผากของหลี่เพียวหยางพร้อมกับเอ่ยขึ้นยิ้มๆ “เจ้าเหาะมาด้วยความเร็วถึงเพียงนี้ จะมิให้เหน็ดเหนื่อยได้อย่างไรกันเล่า ป่านนี้คงใช้เสินหยวนไปจนเกือบหมดแล้วสินะ! เอาล่ะ! เจ้านั่งพักให้หายเหนื่อย และทำการฟื้นคืนหยดเสินหยวนเสียก่อน”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้โยนโอสถหลงหู่ให้กับหลี่เพียวหยาง..
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนักสำหรับรางวัล..”
หลี่เพียวหยางไม่รอช้ารีบกลืนโอสถเข้าไปทันที จากนั้นจึงนั่งลงขัดสมาธิ และค่อยๆเดินลมปราณภายในร่าง เพื่อฟื้นคืนพลังและหยดเสินหยวน
นับว่าการเดินทางมาครั้งนี้ของหลี่เพียวหยางไม่สูญเปล่าจริงๆเพราะเขาได้รับโอสถหลงหู่เป็นรางวัล
หลิงหยุนเองก็มิได้เร่งรัดหลี่เพียวหยางและกำลังรอให้เขาค่อยๆ ฟื้นคืนพลัง และเสินหยวนอย่างใจเย็น แต่ด้วยฤทธิ์ของโอสถที่กลืนลงไป หลี่เพียวหยางจึงมิได้ใช้เวลาในการฟื้นคืนพลังนานนัก เขาเปิดเปลือกตาขึ้น พร้อมกับลุกขึ้นยืนโค้งคำนับหลิงหยุนด้วยความเคารพนบนอบ
“ท่านเจ้าสำนักเรียกข้าน้อยมาพบครั้งนี้มีสิ่งใดจะสั่งการหรือไม่”
“หากข้าจำไม่ผิดเจ้าเคยบอกว่าคุ้นเคยกับเขาคุนหลุนดีใช่หรือไม่”
“ท่านเจ้าสำนักมีความจำที่ยอดเยี่ยมนัก!หากท่านเจ้าสำนักต้องการรู้เรื่องของสำนักต่างๆ บนเขาคุนหลุน ท่านเรียกใช้ถูกคนแล้ว..”
หลี่เพียวหยางยกมือขึ้นตบหน้าอกตนเองเสียงดังแต่ในขณะที่เขากำลังจะกล่าวโอ้อวดมากกว่านี้ หลิงหยุนก็รีบร้องห้ามไว้ก่อน เพราะคร้านที่จะฟังอะไรไร้สาระ
“เจ้าหยุดได้แล้ว!”
“ขอรับท่านเจ้าสำนัก!”
“บอกข้ามา..เจ้ารู้หรือไม่ว่าสำนักกระบี่คุนหลุนอยู่ที่ใด”
“ข้าน้อยย่อมรู้ดี!”
หลี่เพียวหยางพยักหน้าหงึกๆเป็นการยืนยันอีกครั้ง หลิงหยุนจึงเอ่ยถามเรื่องที่อยากรู้ต่อไป
“แล้วที่ตั้งของบ้านตระกูลหนิงเล่าเจ้ารู้ตำแหน่งแห่งหนที่แน่ชัดหรือไม่” เมื่อครั้งที่อยู่ตระกูลฉินหลิงหยุนก็ลืมที่จะถามฉินจิวยื่อถึงเรื่องนี้ เขารู้เพียงแค่ว่าอยู่ตีนเขาของเทือกเขาคุนหลุน แต่ก็มิรู้ตำแหน่งที่แน่นอน
หลี่เพียวหยางพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านเจ้าสำนัก ท่านลืมไปแล้วรึ ท่านเคยสั่งให้ข้าส่งลูกน้องตามพวกเขาไปเมื่อคราก่อน..”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมาก่อนจะร้องสั่งหลี่เพียวหยางไปว่า “ดีมาก! เช่นนั้นเจ้านำข้าไปที่บ้านตระกูลหนิงก่อน!”
การที่หลิงหยุนมาเทือกเขาคุนหลุนในครั้งนี้จุดประสงค์สำคัญคือต้องการมาตามหาหนิงหลิงยู่ ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมต้องเริ่มต้นจากบ้านตระกูลหนิงเป็นที่แรก!
“ศิษย์น้อมรับคำสั่งท่านเจ้าสำนัก!”
จากนั้นทั้งสองคนก็ได้เหาะออกจากยอดเขาไปพร้อมกัน..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร