บทที่ 1625 ได้โปรดช่วยตระกูลหนิงอีกครั้ง
บนท้องนภามืดมิดเหนือผินดินไปราวสามร้อยเมตรหลิงหยุนเฝ้ามองผ่านหมู่เมฆาลงไปอย่างเงียบๆ ด้านล่างคือบ้านใหญ่โตหลังหนึ่ง
และที่นี่คือคฤหาสน์ตระกูลหนิง..
คฤหาสน์หลังใหญ่นี้ตั้งอยู่ในบริเวณชานเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งแม้จะห่างไกลแต่ก็มีความเจริญเข้าถึง และมีระบบคมนาคมขนส่งที่สะดวก
ตระกูลหนิงนับเป็นตระกูลผู้ฝึกวรยุทธมาตั้งแต่โบร่ำโบราณและรากฐานของตระกูลนั้น ก็มิได้ด้อยไปกว่าตระกูลฉินเลย แล้วเหตุใดตระกูลที่มีอำนาจเช่นนี้ จึงได้มาอยู่ท่ามกลางหุบเขาห่างไกลเช่นนี้
แต่ความจริงแล้วนี่ก็หาใช่เรื่องผิดปกติอันใดไม่มีสำนักและตระกูลต่างๆมากมาย ที่ตั้งรกรากอยู่บนเขาสูงบ้าง ตีนเขาบ้าง อย่างเช่นสำนักกระบี่เทียนซาน ซึ่งเวลานี้เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักกระบี่หลิงหยุนแล้ว สำนักเขาหลงหู่รวมทั้งเส้าหลิน และบู๊ตึ๊งอีกด้วย นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีสำนักเล็กๆอีกมากมาย
ส่วนตระกูลเก่าแก่อย่างตระกูลตู้กู่ตระกูลหนานกง และอีกหลายๆตระกูล ก็ตั้งรกรากอยู่บนภูเชาเช่นกัน
เขาบางแห่งซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักที่เลื่องชื่ออย่างเส้าหลินและบู๊ตึ๊งเป็นต้นนั้น แม้ปัจจุบันจะได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้ว แต่บรรดานักท่องเที่ยวที่เข้าไปเยี่ยมชมนั้น ก็ยากนักที่จะได้พบเจอยอดฝีมืออย่างหลวงจีนเจวี๋ยหยวน หรือนักพรตชงซวี
นอกเหนือจากตระกูลเก่าแก่ที่มักจะอาศัยอยู่ตามภูเขาแล้วก็ยังมีตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลิง ตระกูลเย่ ตระกูลซัน ตระกูลเฉิน และตระกูลหลงเป็นต้น ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่เจริญรุ่งเรือง และสามารถหลอมรวมเข้ากับสังคมในยุคสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี เรื่องเดียวที่ตระกูลเหล่านี้แตกต่างจากผู้คนในยุคปัจจุบันก็คือ สมาชิกของตระกูลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ฝึกวรยุทธบ่มเพาะทั้งสิ้น ส่วนเรื่องอื่นๆนอกเหนือจากนี้ พวกเขาล้วนแล้วแต่ใช่ชีวิตปกติธรรมดาๆ ดังเช่นคนเมืองทั่วไป
ฉะนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นสำนักต่างๆ หรือตระกูลต่างๆนั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีระดับการแยกตัว และตัดขาดจากสังคมปัจจุบันที่แตกต่างกัน บ้างก็ตัดขาดโดยสมบูรณ์คือแยกตัวไปอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเขาเพียงลำพัง บ้างก็อยู่เพียงแค่ตีนเขาไม่ถึงกับตัดขาดสังคมอย่างเด็ดขาด และบางส่วนก็อยู่ในสังคมเมือง
แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันก็คือ..สมาชิกทุกคนในตระกูล ล้วนแล้วแต่ร่ำเรียนวรยุทธ และฝึกฝนบ่มเพาะพลัง
แต่สำหรับหลิงหยุนแล้วเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้นัก และเป็นธรรมดาที่ผู้เก็บตัวอยู่บนภูเขา จะหมกมุ่นและมีอุตสาหะต่อการฝึกฝนวิชามากกว่า ในขณะที่ผู้ที่ยังคงข้องเกี่ยวกับสังคมปัจจุบัน อาจเพลิดเพลินไปกับชีวิตที่สะดวกสบาย และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่างๆ
หลังจากที่หลี่เพียวหยางเหาะนำหลิงหยุนมาถึงที่นี่เขาก็เพียงรายงานหลิงหยุนว่า บ้านหลังใหญ่ที่อยู่ด้านล่างนี้คือบ้านตระกูลหนิง จากนั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบเพื่อรอรับคำสั่งของหลิงหยุนเพียงอย่างเดียว
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้อันทรงพลังของตนออกสำรวจบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ด้านล่างและเวลานี้รัศมีจิตหยั่งรู้ของเขาก็ได้ครอบคลุมอาณาเขตทั้งหมดไว้แล้ว ในขณะเดียวกันก็ได้ใช้เนตรหยิน–หยางมองทะลุเข้าไปในบ้านทีละหลัง แล้วคิ้วของเขาก็ถึงกับต้องขมวดเข้าหากัน
‘หนิงหลิงยู่ไม่ได้อยู่ที่นี่งั้นรึ..!’
ไม่เพียงหนิงหลิงยู่ที่ไม่ได้อยู่ในบ้านแม้แต่สมาชิกตระกูลหนิงทั้งหมดที่เคยไปสำนักกระบี่เทียนซาน เพื่อนำศพหนิงเทียนหยากลับมาที่บ้าน พวกเขาทั้งหมดก็ไม่อยู่ด้วยเช่นกัน
‘หรือว่า..สมาชิกตระกูลหนิงทั้งหมดที่เดินทางไปรับศพของหนิงเทียนหยา หลังจากรับศพแล้ว จะมิได้กลับมาที่นี่งั้นรึ!’ ‘แต่ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นได้..’
นั่นเพราะเวลานี้ภายใต้รัศมีจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนนั้น เขาพบว่าภายในห้องสักการะบรรพชนตระกูลหนิงนั้น ได้มีป้ายวิญญาณของหนิงเทียนหยาตั้งอยู่ด้วย
นอกจากนั้นหลิงหยุนยังได้เห็นชายชราร่างเล็กผู้หนึ่ง ซึ่งมีใบหน้าคล้ายคลึงกับหนิงป๋อผิง กำลังนั่งหน้าเศร้าทุกข์ระทมอยู่ภายในห้องสักการะบรรพชนตระกูลหนิงอีกด้วย
คาดคะเนจากอายุรูปลักษณ์ภายนอก และใบหน้าที่โศกเศร้าบ่งบอกถึงความทุกข์ระทมภายในใจแล้ว หลิงหยุนก็พอจะคาดเดาฐานะของชายชราผู้นี้ได้ และหากคาดเดาไม่ผิด ชายชราผู้นี้ก็คือหนิงป๋อหยวน บิดาของหนิงเทียนหยา หรือปู่ของหนิงหลิงยู่นั่นเอง
แต่สิ่งที่ทำให้หลิงหยุนประหลาดใจอย่างมากก็คือขั้นพลังบ่มเพาะของหนิงป๋อหยวนนั้นต่ำจนน่าตกใจ เมื่อเทียบกับหนิงป๋อผิงซึ่งเป็นลุงของหนิงเทียนหยา เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว หลิงหยุนยังจำได้ว่าครั้งแรกที่เขาได้พบกับหนิงป๋อผิงนั้น หนิงป๋อผิงได้เข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่แล้ว
“หนิงป๋อหยวนผู้นี้คงจะได้รับความทุกข์ทรมานใจมาโดยตลอด..”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ดูเหมือนว่าเหล่าสมาชิกตระกูลหนิงที่เดินทางไปสำนักกระบี่เทียนซานครั้งนั้น คงจะเป็นกลุ่มที่มีขั้นพลังบ่มเพาะที่แข็งแกร่งสุดของตระกูลหนิงแล้วสินะ”
หลิงหยุนประเมินความแข็งแกร่งของตระกูลหนิงคร่าวๆและพบว่าแม้สมาชิกของตระกูลหนิงจะมีราวหกเจ็ดคน แต่ก็มียอดฝีมือที่แข็งแกร่งเพียงแค่ห้าคนเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือหนิงป๋อผิง หากเปรียบเทียบกับตระกูลฉินในเวลานั้น นับว่าตระกูลหนิงแข็งแกร่งกว่าตระกูลฉินมาก แต่ก็ยากที่จะเทียบได้กับสำนักกระบี่เทียนซานที่แข็งแกร่ง
“ไม่แปลกเลยที่ตี๋เสี่ยวเจินจะไม่เคยเห็นตระกูลหนิงอยู่ในสายตาเช่นนั้น! นั่นเพราะลำพังเพียงแค่นางผู้เดียว ก็สามารถถล่มตระกูลหนิงให้ราบคาบได้ โดยไม่ต้องอาศัยกำลังของสำนักกระบี่เทียนซานเลยแม้แต่น้อย”
สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดแต่กลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ก็คือ การที่ยอดฝีมือเพียงหนึ่งคนสามารถถล่มสำนักทั้งสำนักได้ราบคาบ สามารถสั่งให้ศิษย์ทั้งสำนักคุกเข่า หรือชี้เป็นชี้ตายได้โดยที่พวกเขาไม่มีทางเลือก
และเรื่องเช่นนี้ก็คงมิมีผู้ใดรู้ดีไปกว่าหลิงหยุนนั่นเพราะสิ่งที่กล่าวมา ได้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเขาเมื่อครั้งยังอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่
ในเมื่อภายในบ้านหลังใหญ่แต่กลับไร้ซึ่งผู้คนเช่นนี้ หลิงหยุนจึงคร้านที่จะลงไปถามหาหนิงหลิงยู่ในเวลานี้ให้เป็นการเสียเวลาเปล่า
“ไปกันได้แล้ว!”
หลิงหยุนเอ่ยบอกหลี่เพียวหยางพร้อมกับเหินทะยานขึ้นไปบนท้องนภาอย่างรวดเร็ว และเมื่อเหาะสูงขึ้นไปได้ราวสองกิโลเมตรเหนือผืนดิน เขาก็ได้หยุดนิ่ง และมองสำรวจลงมาบนผืนดินเบื้องล่างอีกครั้ง
“พลังชีวิตธาตุน้ำบริเวณนี้บริสุทธิ์ยิ่งนัก!”
หลิงหยุนถึงกับต้องร้องอุทานออกมาหลังจากที่จ้องมองสำรวจลงไปยังผืนดินเบื้องล่างและพบว่า ภายในเมืองแห่งนี้มีทั้งแม่น้ำ และทะเลสาบน้อยใหญ่อยู่มากมาย อยู่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งเมือง ทำให้ผืนดินแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังชีวิตธาตุน้ำที่ทั้งบริสุทธิ์ และเข้มข้น
หลี่เพียวหยางได้ยินเช่นนั้นจึงรีบสาธยายให้หลิงหยุนฟังทันที “เรียนท่านเจ้าสำนัก เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่สายน้ำหลายสายไหลมาบรรจบกัน อีกทั้งแม่น้ำที่มีชื่อเสียงอย่างแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำฮวงเหอ ก็มีต้นกำเนิดจากเขาตังกูลาด้วย ทำให้เมืองนี้เป็นเมืองที่มีพลังชีวิตธาตุน้ำเข้มข้นและบริสุทธิ์มากเป็นพิเศษ..”
แต่หลิงหยุนก็หาได้สนใจคำพูดของหลี่เพียวหยางไม่เขาทำหูทวนลม และกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่..
เขานึกขึ้นมาได้ว่าตนเองได้ถ่ายทอดวิชาให้กับหนิงหลิงยู่สองสามวิชา และหนึ่งในนั้นก็คือวิชาคลื่นคงคา ซึ่งเป็นวิชาที่หนิงหลิงยู่ใช้ฝึกฝนเพื่อพัฒนาขั้นพลังบ่มเพาะของตนเอง
‘เป็นไปได้หรือว่า..ที่ขั้นพลังบ่มเพาะของหนิงหลิงยู่ก้าวหน้าได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ เป็นเพราะที่นี่มีพลังชีวิตธาตุน้ำที่บริสุทธิ์และหนาแน่น’
หลิงหยุนได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆแต่หลังจากนั้นเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา พร้อมกับพึมพำเบาๆ
“น่าจะเป็นเพียงแค่สาเหตุหนึ่งแต่แล้วยังมีสาเหตุอื่นใดอีกบ้างเล่า!”
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็คิดไม่ออก หลิงหยุนจึงได้แต่สะบัดศรีษะไปมาเร็วๆ เพื่อขับไล่ความคิดเหล่านี้ออกไปจากหัว และก่อนที่เขาจะได้พบกับหนิงหลิงยู่ เขายังไม่ต้องการคาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้าไปก่อน หลี่เพียวหยางเอ่ยถามขึ้นว่า“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราจะทำเช่นใดต่อไปดี”
“เจ้าแยกตัวไปหาสถานที่สำหรับฝึกฝนวิชาก่อนแต่ต้องเปิดเครื่องมือสื่อสารไว้ตลอดเวลา แล้วรอคอยจนกว่าจะมีคำสั่งของข้า..”
หลังจากร้องสั่งหลี่เพียวหยางแล้วหลิงหยุนก็เพียงแค่บิดไหล่เล็กน้อย แล้วร่างของเขาก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องนภาอีกครั้ง และเวลานี้ร่างของหลิงหยุนก็อยู่สูงจากเดิมไปราวหนึ่งพันเมตร และกำลังนั่งฝึกวิชาตามปกติดังเดิม เพื่อรอคอยแสงแรกด้วยด้วยอดทน
เป้าหมายหลักในการฝึกวิชาของหลิงหยุนในเวลานี้ก็คือเขาตั้งใจที่จะฝึกวิชาดาราคุ้มกายให้สามารถทะลวงเข้าสู่ด่านที่สี่ได้โดยเร็ว ซึ่งในด่านนี้ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งประหนึ่งแก้วและทองคำ
หลิงหยุนนั่งลงขัดสมาธิและเริ่มปลดปล่อยเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางออกมาบ่มเพาะร่างทั้งร่างไว้ ในขณะที่ใช้เปลวไฟบ่มเพาะผิวหนัง กล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะต่างๆภายในร่างแล้ว หลิงหยุนก็ได้โคจรดาราคุ้มกาย และเริ่มดูดซับเอาพลังจากดวงดารานับล้าน และพลังจันทราจากดวงจันทร์เข้าไปในร่างอย่างต่อเนื่อง
หลิงหยุนยังคงนั่งนิ่งฝึกวิชาไปเช่นนั้นจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไป เข้าสู่เช้าวันใหม่ แสงตะวันสาดส่องเข้าใส่ใบหน้าของหลิงหยุน เขาจึงเริ่มดูดซับเอาพลังสุริยะจากดวงตะวันเข้าไปในร่างแทน
หลิงหยุนนั่งอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งแสงแรกสิ้นสุดลงเขาจึงได้ลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะเหาะกลับลงไปบนผืนดิน และไปปรากฏตัวอยู่หน้าประตูบ้านตระกูลหนิง พร้อมกับยกมือขึ้นเคาะประตูที่ปิดอยู่
หลังจากนั้นไม่นานชายชราก็ได้เดินมาเปิดประตู และเมื่อเห็นหลิงหยุน เขาก็ได้เอ่ยถามขึ้นว่า
“เจ้าเป็นใคร”
หลิงหยุนไม่คิดที่จะปิดบังตัวตนเขาประสานมือไว้ด้านหน้า พร้อมกับโน้มศรีษะลงเล็กน้อย และกล่าวตอบชายชราไปว่า
“ข้าคือหลิงหยุนมารดาของข้าคือฉินจิวยื่อ และน้องสาวของข้าก็คือหนิงหลิงยู่ ข้ามาที่นี่เพื่อตามขอพบน้องสาวของข้า!”
หลิงหยุนแนะนำตัวเองอย่างละเอียดเพื่อมิให้ชายชราต้องถามซ้ำ ชายชราผู้มีใบหน้าซีดเซียว ถึงกับดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจและตกใจ
“ห๊ะ!นี่เจ้า.. เจ้าคือหลิงหยุนงั้นรึ?”
ในระหว่างที่เอ่ยถามนั้นชายชราก็ได้ยื่นมือที่สั่นเทานั้นไปจับไหล่ข้างหนึ่งของหลิงหยุนไว้ พร้อมกับร้องออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“หลิงหยุน!ข้า.. ข้ารู้จักเจ้า! เจ้าคือผู้มีพระคุณของตระกูลหนิง และเป็นผู้มีพระคุณของข้าหนิงป๋อหยวน!”
“ข้าเฝ้ารอเจ้ามานานมากเข้ามาข้างในก่อนสิหลิงหยุน!”
หลิงหยุนคาดเดาไม่ผิดจริงๆชายชราที่นั่งอยู่ในห้องสักการะบรรพชนตระกูลหนิงนั้นก็คือหนิงป๋อหยวน บิดาของหนิงเทียนหยา และปู่ของหนิงหลิงยู่จริงๆ
“หลิงหยุนเจ้านั่งลงก่อน! ข้าจะไปชงชามาให้..”
หนิงป๋อหยวนเดินนำหลิงหยุนเข้าไปในห้องรับแขกพร้อมกับเชื้อเชิญให้เขานั่งลง และต้อนรับเขาไม่ต่างจากแขกสำคัญคนหนึ่ง
“ท่านปู่หนิงข้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีวัยห่างจากอาวุโสมากนัก ไฉนเลยจะกล้าให้ท่านชงชาให้ข้าดื่มเล่า พวกเราอย่าได้สนใจพิธีรีตรองพวกนี้จะดีกว่า ข้ามีธุระที่จะต้องสนทนากับอาวุโส..”
หลิงหยุนรีบร้องห้ามหนิงป๋อหยวนและเขาก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มชาด้วย อีกอย่างในความรู้สึกของเขานั้น การที่ฉินจิวยื่อต้องทนทุกข์อยู่นานหลายสิบปีนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากชายชราที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ด้วย
เพียงเพราะความปรารถนาที่จะนำพาตระกูลของตนเองให้ขึ้นมาผงาดด้วยวิธีที่ผิดพลาดครั้งนั้น ไม่เพียงเขาได้ทำลายความสุขทั้งชีวิตของฉินจิวยื่อ แต่ยังได้ทำร้ายบุตรชายของตนเองจนถึงชีวิต และทำให้ตระกูลหนิงต้องอยู่อย่างอัปยศอดสูอยู่นานหลายปี
ด้วยเหตุผลข้อนี้ทำให้ความรู้สึกของหลิงหยุนที่มีต่อชายชราค่อนข้างห่างเหิน และไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทอะไรนัก จึงได้เอ่ยบอกออกไปตามตรง
เขาเพียงแค่ต้องการจะมาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องของหนิงหลิงยู่เท่านั้นหลังจากได้คำตอบแล้ว ก็จะไปจากที่นี่ทันที
“ได้ๆๆ”
หนิงป๋อหยวนเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจจุดประสงค์ของหลิงหยุนได้เป็นอย่างดีใบหน้าที่ซีดเซียวนั้นแม้จะดูกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่ก็รีบตอบหลิงหยุนกลับไปทันที..
ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะได้ตั้งตัวจู่ๆ ชายชราก็ลุกขึ้นยืนประสานมือไว้ด้านหน้า พร้อมกับน้อมศรีษะลงต่ำ และเอ่ยขอร้องหลิงหยุนว่า “หลิงหยุนได้โปรดช่วยตระกูลหนิงของข้าอีกสักครั้ง ได้โปรดช่วยสำนักเล็กๆในเขาคุนหลุนด้วย..”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร