บทที่ 1626 ประมุขคนใหม่ของตระกูลหนิง
‘ได้โปรดช่วยตระกูลหนิงอีกครั้งงั้นรึ!’
‘ได้โปรดช่วยสำนักเล็กๆในเขาคุนหลุนด้วย!’
หลิงหยุนได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง..
นั่นเพราะหากเห็นแก่หนิงหลิงยู่และหนิงเทียนหยาที่เสียชีวิตไปหลิงหยุนย่อมยินดีที่จะช่วยตระกูลหนิงหากตกอยู่ในอันตราย แต่สำนักอื่นๆที่อยู่บเขาคุนหลุนนั้น..
จะช่วยหรือไม่ช่วยยังต้องดูอารมณ์ของเขาด้วย!
ภายในใจของหลิงหยุนเวลานี้อดที่จะคิดไม่ได้ว่า หนิงป๋อหยวนนั้นอวดดีเกินไปที่กล้าของร้องเขาเช่นนี้
“ท่านปู่หนิงได้โปรดบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ข้าฟังก่อน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลหนิงกันแน่”
“เอ่อ..” หนิงป๋อหยวนก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ปากของเขาขยับขึ้นลงคล้ายพึมพำอะไรบางอย่าง ในที่สุดเขาก็ปล่อยมือที่ผสานกันไว้ออก พร้อมกับเงยหน้าขึ้นคล้ายตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
หลิงหยุนเห็นอาการของหนิงป๋อหยวนใจของเขาถึงกับตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะจากสีหน้าท่าทางของหนิงป๋อหยวน เรื่องนี้คงต้องเกี่ยวพันถึงหนิงหลิงยู่เป็นแน่
“เรื่องนี้ค่อนข้างยาวข้า.. ข้าไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเล่าเช่นใดดี!” หนิงป๋อหยวนยืนนิ่งด้วยสีหน้างุนงงสับสน พร้อมกับเอ่ยบอกหลิงหยุน
หลิงหยุนได้ยินเช่นนั้นจึงรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับบอกหนิงป๋อหยวนว่า “ท่านปู่หนิง ในเมื่อเรื่องราวค่อนข้างยาว ท่านก็นั่งลงก่อน แล้วค่อยๆเล่าออกมาเถิด..”
อย่างไรเสียหลิงหยุนก็ยังเป็นเด็กไม่เหมาะสมที่จะให้ชายชรายืนเล่า และตนเองเป็นฝ่ายนั่งฟังเช่นนี้ หนิงป๋อหยวนพยักหน้าเห็นด้วย พร้อมกับเดินไปนั่งที่เก้าอี้ หลังจากที่ชายชรานั่งลงเรียบร้อยแล้ว หลิงหยุนจึงได้เอ่ยขึ้นว่า
“ในเมื่อท่านปู่หนิงบอกว่าเรื่องนี้สำคัญและเร่งด่วนยิ่งเช่นนั้นแล้วก็จงเล่าเรื่องอย่างกระชับ เรื่องใดไม่สำคัญก็ให้ข้ามไป..”
แม้ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญเพียงใดแต่หลิงหยุนก็ไม่มีอารมณ์ที่จะมานั่งฟังเรื่องราวยืดยาวจากชายชราผู้นี้
หนิงป๋อหยวนเองก็สังเกตเห็นท่าทางรีบร้อนของหลิงหยุนเขาจึงไม่ต้องการที่จะเสียเวลาอีก และเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หลิงหยุนฟังทันที
เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมาชิกตระกูลหนิงนำโลงศพของหนิงเทียนหยาออกเดินทางจากสำนักกระบี่เทียนซาน เพื่อนำกลับมายังตระกูลหนิง ซึ่งหลิงหยุนเองก็จำวันและเวลาได้ดี
ก่อนที่จะเดินทางกลับนั้นหนิงป๋อผิงได้ส่งข่าวกลับมาที่ตระกูลหนิงก่อนแล้ว เพื่อให้หนิงป๋อหยวนส่งรถไปรับ แต่ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกลและความยากลำบากในการเดิน จากที่ทุกคนควรจะต้องมาถึงตั้งแต่เที่ยงคืน กลับกลายเป็นว่ามาถึงในราวหกโมงเช้า และใช้เวลาเดินทางอีกราวสองชั่วโมงกว่าจะมาถึงบ้านตระกูลหนิง
หนิงเทียนหยาเป็นบุตรชายของเขาไม่เพียงหนิงเทียนหยาต้องทนอยู่อย่างอัปยศอดสูในสำนักกระบี่เทียนซานมานานกว่าสิบแปดปี แต่ท้ายที่สุดยังถูกตี๋เสี่ยวเจินทรมานจนตายด้วย ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น หนิงป๋อหยวนเองก็ไม่เคยได้พบเจ้าหน้าบุตรชายเลยสักครั้ง และเมื่อได้รับข่าวร้ายนี้ เขาจึงได้แต่รู้สึกท้อแท้ และรู้สึกผิดอยู่ภายในใจตลอดเวลา
แต่ในความโชคร้ายนั้นก็ยังมีความโชคดีที่ในคืนสิ้นใจของหนิงเทียนหยา หลิงหยุนได้บุกเข้าไปถล่มสำนักกระบี่เทียนซานจนสิ้นชื่อ ซึ่งนั่นไม่เพียงเป็นการไปช่วยฉินจิวยื่อ แต่ยังเป็นการล้างแค้นให้กับหนิงเทียนหยาไปในตัวด้วย หลังจากนั้นเจ็ดวันหนิงหลิงยู่ซึ่งเป็นหลานสาวของเขา ก็ได้สังหารตี๋เสี่ยวเจินด้วยตัวเอง เพื่อแก้แค้นให้กับพ่อแม่ของนาง ก่อนจะพาร่างไร้วิญญาณของหนิงเทียนหยากลับบ้านเกิด
และอย่างน้อยที่สุดหนิงเทียนหยาก็ไม่ต้องตายเป็นผีอยู่ภายในสำนักกระบี่เทียนซาน..
หนิงป๋อหยวนเฝ้ารอร่างไร้วิญญาณของลูกชายอยู่ในห้องสักการะบรรพชนด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย
เขาแทบไม่กล้าสู้หน้าร่างไร้วิญญาณของหนิงเทียนหยาและไม่กล้าสู้หน้าหนิงหลิงยู่ผู้เป็นหลานสาว ที่ต้องไประหกระเหินอยู่นอกตระกูลนานถึงสิบแปดปี
การเดินทางมาตระกูลหนิงของหนิงหลิงยู่ในครั้งนี้ไม่เพียงมาส่งศพบิดาเป็นครั้งสุดท้าย แต่นางยังมาเพื่อเคารพบรรพชนตระกูลหนิงอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ยิ่งใกล้เวลาที่สมาชิกตระกูลหนิงจะเดินทางมาถึงมากเท่าไหร่ หนิงป๋อหยวนก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากเท่านั้น และในสภาพจิตใจเช่นนี้ หนิงป๋อหยวนจึงไม่มีอารมณ์ที่จะมานั่งใคร่ครวญว่า เหตุใดทุกคนจึงมาถึงล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น
เขาคิดเพียงแค่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด หากต้องเผชิญหน้าก็คงยากที่จะหลีกเลี่ยงได้..
และทันทีที่หนิงป๋อหยวนได้เห็นโลงศพของหนิงเทียนหยาผู้เป็นลูกชายเขาก็ถึงกับหมดเรี่ยวหมดแรง คุกเข่าลงกอดโลงศพร่ำไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ
เขาร่ำไห้อยู่นานเพื่อปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจ และความรู้สึกผิดที่อัดแน่นอยู่ภายในใจมานานหลายปี
นอกจากหนิงป๋อหยางที่ร่ำไห้แล้วก็ยังมีทายาทรุ่นเล็กของตระกูลหนิง ซึ่งมิได้เดินทางไปสำนักกระบี่เทียนซานร่ำไห้กับเขาด้วย แต่ก็มิมีผู้ใดได้ทันสังเกตเห็นว่า สมาชิกตระกูลหนิงทั้งหมดที่เดินทางกลับมาจากสำนักกระบี่เทียนซานนั้น ไม่มีผู้ใดร่ำไห้เลยแม้แต่คนเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนิงป๋อผิงกับลูกพี่ลูกน้องของหนิงเทียนหยาอีกสี่คน
แม้แต่หนิงหลิงยู่เองก็เช่นกันไม่เพียงนางมิได้ร่ำไห้ แต่แววตาของของนางยังเย็นชาอย่างบอกไม่ถูก นางยืนดูภาพเศร้าโศกตรงหน้าประหนึ่งว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับนางเลยแม้แต่น้อย
แต่ก็มีสมาชิกตระกูลหนิงไม่กี่คนที่สังเกตเห็นความประหลาดที่เกิดขึ้นนี้ พวกเขาสัมผัสได้ว่า ทุกคนที่เพิ่งกลับมาจากสำนักกระบี่เทียนซาน ล้วนแล้วแต่ดูผิดปกติไป แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยออกมา
เพราะไม่เพียงพวกเขาต่างก็ไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกับหนิงหลิงยู่ส่วนหนิงป๋อผิงนั้นนับเป็นคนสำคัญของตระกูลหนิง พวกเขาจึงยิ่งมิกล้าเอ่ยกล่าวถึงความผิดปกตินี้ออกมา!
หนิงป๋อหยวนร่ำไร้อยู่นานในที่สุดก็สามารถสะกดกลั้นความทุกข์โศกได้ ทายาทรุ่นเล็กของตระกูลหนิงผู้หนึ่ง จึงได้มาช่วยพยุงให้เขาลุกขึ้นยืน
หลังจากยกมือขึ้นปาดนั้นตาแล้วหนิงป๋อหยวนก็ได้ทำความรู้จักกับหนิงหลิงยู่ แต่นั่นก็ได้นำความประหลาดใจมาให้เขาอย่างคาดไม่ถึง เพราะสีหน้าท่าทางของหนิงหลิงยู่นั้นนอกจากจะดูเย็นชาอย่างมาก คำเรียก ‘ท่านปู่’ ที่หลุดออกจากปากนางนั้น ก็คล้ายกับต้องเค้นรอดไรฟันออกมาอย่างไม่เต็มใจ
โกรธแค้นอย่างนั้นหรือ!หนิงป๋อหยวนเองก็ไม่เห็นสิ่งนี้บนใบหน้าของหนิงหลิงยู่
ความดีอกดีใจที่ได้กลับเข้าตระกูลอย่างนั้นหรือหนิงป๋อหยวนก็ไม่พบเห็นสิ่งนี้บนใบหน้าของนางเช่นกัน
แต่เนื่องจากหนิงป๋อหยวนกำลังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างมากเขาจึงไม่ทันได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกทั้ง นี่เป็นการกลับเข้าตระกูลหนิงครั้งแรกของหนิงหลิงยู่อีกด้วย และหากจะพูดไป เขาก็คือต้นเหตุของชะตากรรมเศร้าสลดของหนิงเทียนหยา กับหนิงหลิงยู่ผู้เป็นหลานสาว ‘ดูท่าพวกเขาคงจะต้องพบเจอบางสิ่งบางอย่างระหว่างที่เดินทางกลับมาตระกูลหนิงสินะ’
หลังจากได้ฟังเรื่องราวมาถึงตรงนี้หลิงหยุนก็ได้แต่แอบครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆ แต่มิได้เอ่ยขัดหนิงป๋อหยวนแต่อย่างใด ตรงข้าม เขายังคงนั่งฟังชายชราเล่าอย่างสงบนิ่ง
ในตอนบ่ายร่างของหนิงเทียนหยาก็ถูกนำไปฝังไว้ในสุสานบรรพชนตระกูลหนิงเรียบร้อย และภายในห้องสักการะบรรพชน ก็ได้มีป้ายวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งป้าย
ตลอดช่วงระยะเวลาในวันนั้นหนิงหลิงยู่ปรากฏตัวเพียงแค่ครั้งเดียว คือช่วงที่นำร่างของหนิงเทียนหยาฝังลงไปใต้ดินภายในสุสาน หลังจากนั้นนางก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องพัก ที่ทางตระกูลหนิงได้จัดเตรียมไว้ให้
ส่วนหนิงป๋อหยวนนั้นก็เอาแต่นั่งเฝ้าป้ายวิญญาณของหนิงเทียนหยาตามลำพัง..
จนกระทั่งเช้าวันถัดมาหนิงป๋อผิงซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจที่สุดในตระกูลหนิง ก็ได้สั่งให้หนิงเทียนยื่อกับหนิงเทียนกง ที่เพิ่งกลับจากสำนักกระบี่เทียนซานพร้อมกับเขา เข้าไปหาหนิงป๋อหยวนในห้องสักการะบรรพชนพร้อมกับตน
แต่ที่หนิงป๋อหยวนคิดไม่ถึงก็คือว่าทั้งหมดที่เข้ามานั้น หาได้เข้ามาเพื่อปลอบประโลมให้เขาคลายความเศร้าโศก แต่กลับมาเพื่อบอกว่า หนิงหลิงยู่เหมาะสมคู่ควรที่จะเป็นประมุขตระกูลหนิงคนต่อไป..
หนิงป๋อหยวนจึงได้แต่ตอบกลับไปว่า“ข้ารู้ว่าหลิงยู่มีขั้นพลังบ่มเพาะที่สูงที่สุดในตระกูลหนิงของเรา แต่นางเพิ่งจะกลับเข้าตระกูลวันแรก ยังไม่เข้าใจความเป็นไปของตระกูลหนิงได้ดีนัก..”
“พี่ใหญ่เรื่องนั้นไม่สำคัญ อีกอย่าง หนิงหลิงยู่นอกจากจะมีขั้นพลังที่สูงส่งแล้ว นางยังเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ไม่น้อย ในเมื่อท่านเองก็ไม่ต้องการเป็นประมุขตระกูลหนิง ก็ควรให้เปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้ทำหน้าที่แทน..”
คำพูดของหนิงป๋อผิงนั้นเปลี่ยนจากคนที่เคยสงบนิ่งอบอุ่น มาเป็นก้าวร้าวดุดัน และสนทนากับหนิงป๋อหยวนด้วยน้ำเสียงที่ราวกับมิใช่พี่น้อง
หนิงป๋อหยวนเองก็คิดไม่ถึงว่าเพียงชั่วเวลาเพียงข้ามคืน อุปนิสัยใจคอของหนิงป๋อผิงจะเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนเช่นนี้ เขาได้แต่ยืนอ้ำอึ้ง เพราะไม่รู้จะเหตุผลใดมาโต้เถียงผู้เป็นน้องชายได้
ความจริงแล้วหนิงป๋อหยวนเองก็ไม่ได้สนใจใยดีกับตำแหน่งประมุขตระกูลหนิงอีกแล้ว ทุกวันนี้ เขาหวังเพียงแค่ว่า จะสามารถใช้ชีวิตบั้นปลายนี้อย่างสุขสงบ จนกว่าจะตายตามภรรยา และบุตรชายไปเท่านั้น
ฉะนั้นแล้วการที่จะแต่งตั้งหนิงหลิงยู่เป็นประมุขคนใหม่ของตระกูลหนิง เป็นเรื่องที่เขาไม่ขัดข้องเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่.. ร่างของหนิงเทียนหยาเพิ่งจะถูกฝังไปเมื่อวานนี้ หนิงหลิงยู่เองก็เพิ่งจะกลับเข้าตระกูลได้เพียงวันเดียว ทำให้หนิงป๋อหยวนรับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น..
และที่สำคัญอุปนิสัยของหนิงป๋อผิงในเวลานี้ แตกต่างจากหนิงป๋อผิงคนเดิมโดยสิ้นเชิง!
“ข้าไม่ขัดข้องและเห็นด้วยที่จะให้หนิงหลิงยู่ขึ้นเป็นประมุขตระกูลหนิงเพียงแต่หนิงหลิงยู่เพิ่งจะกลับเข้าตระกูลได้เพียงวันเดียว ควรรอให้นางทำความรู้จักกับตระกูลหนิงให้มากกว่านี้เสียก่อน ค่อยให้นางขึ้นเป็นประมุขน่าจะเหมาะสมกว่า..”
หลังจากได้ฟังคำตอบของหนิงป๋อหยวนหนิงป๋อผิงก็หันไปถามหลานชายที่ตามมาด้วยทั้งสองคน
“พวกเจ้าสองคนคิดเห็นเช่นใด”
“ท่านลุงพวกเราทั้งสองเห็นด้วยที่จะแต่งตั้งหนิงหลิงยู่ขึ้นเป็นประมุขในทันที!”
หนิงเทียนยื่อกับหนิงเทียนกงเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันสีหน้าและแววตาของพวกเขาทั้งคู่เต็มไปด้วยความหนักแน่น สายตาของทั้งคู่นั้นบ่งบอกว่า หากหนิงป๋อหยวนไม่เห็นด้วย พวกเขาพร้อมที่จะกลืนกินหนิงป๋อหยวนได้ทันที “นี่พวกเจ้า..”
หนิงป๋อหยวนเอ่ยได้เพียงแค่นั้นก็ได้แต่นิ่งอึ้งไป..
ริมฝีปากของหนิงป๋อผิงเผยอขึ้นเล็กน้อยแววตาที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ารู้สึกอย่างไรปรากฏขึ้น
“พี่ใหญ่ในเมื่อทุกคนต่างก็เห็นด้วยเช่นนี้ ก็ขอให้เป็นไปตามนั้น! ส่วนเรื่องอื่นๆท่านไม่ต้องห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง หลังจากนี้อีกสี่วัน จะเป็นวันที่หนิงหลิงยู่ขึ้นเป็นประมุขคนใหม่ของตระกูลหนิงอย่างเป็นทางการ..”
“อ่อ..มีอีกหนึ่งเรื่องที่ข้าต้องบอกให้ท่านรับรู้ไว้ วันรับตำแหน่งของหนิงหลิงยู่นั้น นางเป็นผู้กำหนดด้วยตนเอง!”
หลังจากได้ยินคำพูดของหนิงป๋อผิงหนิงป๋อหยวนก็ได้แต่ยืนนิ่ง โดยไม่รู้ตัวว่าคนทั้งสามออกไปจากห้องไปตั้งแต่เมื่อใด เขารู้เพียงแค่ว่า นับจากนี้เป็นต้นไป ตนเองจะไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยวกับภารกิจต่างๆภายในตระกูลหนิงอีก
และนับจากวันนี้เป็นต้นไปนอกจากบ่าวไพร่ไม่กี่คนที่รับผิดชอบดูแลชีวิตประจำวันของหนิงป๋อหยวนแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดในตระกูลหนิงเข้ามาวุ่นวายกับเขาอีก
เวลานี้หนิงป๋อหยวนเหนื่อล้าทั้งกายและใจ เขาละทิ้งทุกอย่าง และยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตระกูลหนิงในครั้งนี้ นับแต่นั้นมา เขาก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ภายในห้องสักการะบรรพชนตระกูลหนิงเพียงลำพัง
‘หวังว่าเมื่อหนิงหลิงยู่ขึ้นเป็นประมุขตระกูลหนิงเมื่อใดนางจะไม่ทำร้ายตระกูลหนิงของข้า..’
ในระหว่างที่มีการเตรียมพิธีขึ้นรับตำแหน่งของหนิงหลิงยู่นั้นหนิงป๋อหยวนก็เฝ้าภาวนาอยู่ในใจเช่นนั้น
จนกระทั่งในวันรับตำแหน่งของหนิงหลิงยู่มาถึงหนิงป๋อหยวนต้องการที่จะออกไปร่วมงาน แต่กลับมิมีผู้ใดเข้ามาเชิญเขาเลยแม้แต่คนเดียว หนิงป๋อหยวนจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมาเพื่อตัดความคิดต่างๆภายในหัวออกไป
แม้ว่าจะมิมีผู้ใดมาเชิญเขาไปร่วมงานแต่หนิงป๋อหยวนก็คิดว่า หลังจากรับตำแหน่งแล้ว หนิงหลิงยู่จะต้องเข้ามากราบไหว้บรรพชนในห้องนี้ ถึงตอนนั้นเขาก็จะได้พบหลานสาวอีกสักครั้ง และจะได้มีโอกาสได้บอกกล่าวคำพูดสองสามคำกับนาง
แต่หนิงป๋อหยวนก็เฝ้ารอการมาของหนิงหลิงยู่อยู่จนกระทั่งบ่ายก็ยังไม่มีวี่แววของนาง ทำให้หนิงป๋อหยวนหวั่นใจอย่างมาก
แต่แล้วในที่สุดบ่าวรับใช้คนสนิทที่คอยดูแลเขา ก็รีบกลับเข้ามารายงานข่าวที่น่าตกใจ!
“แย่แล้วนายผู้เฒ่า..เมื่อครู่ในงานรับตำแหน่งประมุขคนใหม่ของตระกูลหนิง มีสมาชิกตระกูลหนิงกลุ่มหนึ่ง แสดงความไม่พอใจที่หนิงหลิงยู่ได้ขึ้นเป็นประมุขคนใหม่ ผลก็คือ.. พวกเขาทั้งห้าคนถูกหนิงหลิงยู่สังหารตายในตราเดียว!”
“อะไรนะ!” หนิงป๋อหยวนถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้นพร้อมกับคร่ำครวญออกมาว่า “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร