บทที่ 1627 เรียกประชุมในฐานะผู้นำตระกูล
หลังจากที่ฟังชายชราเล่ามาถึงตรงนี้คิ้วรูปดาบทั้งสองข้างของหลิงหยุน ก็ถึงกับเลิกขึ้นพร้อมกันทันที
ตลอดระยะเวลาที่เล่าหนิงป๋อหยวนมักจะเน้นย้ำ เรื่องที่เขาไม่ต้องการจะยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในตระกูลหนิง แต่ท้ายที่สุด เขาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องเข้ามามีส่วนอีกครั้งจนได้
หลิงหยุนรู้ว่าหนิงป๋อหยวนพยายามอย่างยิ่ง ที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้กระชับ และรวดเร็วที่สุดแล้ว อีกทั้งพยายามเน้นเฉพาะเรื่องสำคัญ และจุดที่คิดว่าเป็นปัญหาจริงๆ
อย่างเช่นเรื่องการเดินทางกลับบ้านที่ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นหรือเรื่องที่หนิงหลิงยู่เสนอตัวเองเป็นประมุขตระกูลหนิงคนใหม่ รวมทั้งเป็นผู้กำหนดวันรับตำแหน่งด้วยตัวเอง
หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ในวันที่หนิงหลิงยู่ขึ้นรับตำแหน่งทายาทรุ่นราวคราวเดียวกันกับหนิงหลิงยู่กลุ่มหนึ่ง ได้แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน นั่นเพราะในอดีตที่ผ่านมา ตระกูลหนิงไม่เคยมีประมุขเป็นผู้หญิงมาก่อน
แม้ว่าทายาทรุ่นเล็กกลุ่มนั้นจะมีหลานชายของหนิงป๋อผิงซึ่งเป็นลูกของหนิงเทียนยื่ออยู่ด้วย หนิงหลิงยู่ก็ยังตัดสินใจลงมือสังหารได้อย่างไม่ลังเล เพื่อเป็นการประกาศว่า ผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับเธอจะต้องพบกับจุดจบเช่นใด!
หนิงหลิงยู่ทำราวกับว่าเธอไม่สนใจชีวิต และความเป็นความตายของสมาชิกตระกูลหนิง มากไปกว่าการนำพาตระกูลหนิงขึ้นสู่จุดสูงสุดของประเทศ..
ท้ายที่สุด..ถึงกับประกาศกร้าวว่า “ผู้ใดยอมข้าอยู่ ผู้ใดขัดขืนข้าตาย!”
หญิงสาวผู้นี้ยังใช่หนิงหลิงยู่สาวน้อยจากเมืองจิงฉูอย่างนั้นหรือ
คำตอบก็คือไม่.. ระหว่างทางที่เดินทางกลับตระกูลหนิงนั้นทันทีที่เดินทางออกจากเขาเทียนซาน และห่างจากสายตาของหลิงหยุนกับฉินจิวยื่อแล้ว หนิงหลิงยู่ก็เปลี่ยนเป็นคนละคน และเริ่มทำทุกอย่างตามแผนการที่นางวางไว้..
ด้วยเหตุนี้การที่หนิงหลิงยู่มาเยือนตระกูลหนิงในครั้งแรกนั้น จึงแตกต่างจากที่นางไปเยือนตระกูลฉินเป็นอย่างมาก จะเรียกว่าแตกต่างก็คงจะไม่ถูกนัก ต้องเรียกว่าตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงน่าจะถูกต้องกว่า..
หนิงหลิงยู่มาเพื่อส่งบิดาเป็นครั้งสุดท้ายและเพื่อเคารพสักการะบรรพชนอย่างนั้นหรือ
ก็หาใช่เช่นนั้นอีกเหมือนกัน!
การที่หนิงหลิงยู่กลับตระกูลหนิงในครั้งนี้นางเพียงแค่ต้องการมาสร้างขุมกำลังของตนเอง และทำให้ทุกคนในตระกูลเชื่อฟังคำสั่งของนางเท่านั้น
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้หลิงหยุนถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังคงเอ่ยบอกชายชราด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง “อาวุโส..ได้โปรดเล่าต่อไปเถิด!”
“แต่ได้โปรดเล่าเฉพาะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเท่านั้นพอ!ขออาวุโสตัดเรื่องของอารมณ์ความเศร้าโศก ความรู้สึกผิดหวัง และความรู้สึกส่วนตัวออกไปก่อน..”
“เอาเฉพาะเรื่องที่ท่านได้เห็นและได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับหนิงหลิงยู่เท่านั้น..”
หลิงหยุนฟังเรื่องอารมณ์ความรู้สึกของหนิงป๋อหยวนมามากพอควรแล้วแต่จะโทษผู้อื่นก็ไม่ถูกนัก ต้องโทษที่เขาไร้ความสามารถเองมากกว่า ตระกูลหนิงจึงได้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้..
แต่ถึงอย่างนั้นหลิงหยุนก็รู้ดีว่าด้วยความแข็งแกร่งของหนิงหลิงยู่เวลานี้ หนิงป๋อหยวนเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่า ต้องยอมรับกับสิ่งที่หนิงหลิงยู่ทำ อย่าว่าแต่ตัวเขาเองเลย ต่อให้คนทั้งตระกูลหนิงอยู่ข้างเดียวกับเขา และหันมาเป็นปรปักษ์กับหนิงหลิงยู่ ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมตระกูลหนิงได้ มีแต่จะเพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น
“เอ่อ..”
หนิงป๋อหยวนถึงกับอ้าปากค้างนั่นเพราะ เขาเองก็เตรียมที่จะบอกเล่าให้หลิงหยุนฟังถึงความรู้สึกเศร้าโศกภายในใจที่ได้ยินว่า ทายาทตระกูลหนิงถูกหลานสาวของตนเองสังหารตายไปพร้อมกันถึงห้าคน แต่หลิงหยุนกลับห้ามไว้โดยไม่นึกเห็นใจ
“ได้ๆ”
แต่ในที่สุดชายชราก็ได้แต่พยักหน้า และกล้ำกลืนความรู้สึกต่างๆไว้ภายในใจ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องต่างๆที่คิดว่าสำคัญให้กับหลิงหยุนฟัง โดยตัดเรื่องอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวทิ้งไป
ต่อหน้าเหล่าสมาชิกตระกูลหนิงทั้งชายหญิง ผู้เฒ่า และหนุ่มสาว หนิงหลิงยู่กลับสังหารพวกเขาทั้งห้าได้อย่างไม่กระพริบตา แม้แต่หนิงป๋อผิง และคนอื่นๆที่เป็นคนสำคัญในตระกูลหนิง ต่างก็ยืนมองด้วยสีหน้าแววตาเฉยเมย ราวกับไม่ความผูกพันทางสายโลหิต และสองในห้าที่ถูกหนิงหลิงยู่สังหารนั้นก็เป็นหลานชายที่หนิงป๋อหยวนรักมาก..
ต่อหน้าหนิงหลิงยู่ที่แข็งแกร่งอย่างมากและสามารถสังหารคนได้อย่างเลือดเย็นเช่นนี้ ทำให้ไม่มีผู้ใดในตระกูลหนิงกล้าเป็นปรปักษ์ หรือคัดค้านนางอีก
และในที่สุดหนิงหลิงยู่ก็ได้กลายเป็นประมุขตระกูลหนิงที่มีอายุน้อยที่สุด และยังนับเป็นประมุขหญิงคนแรกของตระกูลหนิงอีกด้วย!
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีเข้ารับตำแหน่งประมุขตระกูลหนิงหนิงหลิงยู่ก็ได้หายตัวไปจากบ้านตระกูลหนิง โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่านางไปแห่งหนใด จนกระทั่งหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป นางจึงได้ปรากฏตัวในบ้านตระกูลหนิงอีกครั้ง
ในช่วงระหว่างอาทิตย์นั้นภายใต้การนำของหนิงป๋อผิง ทุกคนในตระกูลหนิงต่างก็พากันฝึกฝนวิชากันอย่างหนัก และไม่รู้ว่าพวกเขากลืนโอสถอันใดเข้าไป หรือด้วยเหตุผลอันใดหนิงป๋อหยวนก็ไม่อาจรู้ได้ พลังบ่มเพาะของหนิงป๋อผิง และคนอื่นๆต่างก็ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว!
ในเรื่องนี้หนิงป๋อหยวนแทบไม่ต้องไปแอบถามจากผู้ใดเพราะทุกคนในตระกูลต่างก็พากันฝึกฝนวิชากันราวกับคนคลุ้มคลั่ง และดูคล้ายคนเสพติดการพัฒนาขั้นพลังไม่มีผิด..
และเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้หนิงป๋อหยวนก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา..
ส่วนหลิงหยุนก็ยังคงนิ่งฟังด้วยสีหน้าสงบนิ่งแต่ภายในใจกลับคิดว่า หนิงหลิงยู่ดูเหมือนจะมิได้ใส่ใจกับอนาคตของตระกูลหนิงอย่างที่พูด หาไม่แล้ว.. นางไม่ควรที่จะให้ทุกคนเร่งพัฒนาขั้นพลัง โดยไม่ใส่ใจกับรากฐานที่เสถียรมั่นคง
สำหรับโอสถเสริมสร้างการฝึกฝนบ่มเพาะพลังนั้นแม้หลิงหยุนจะให้หนิงหลิงยู่เอาไว้มากมาย แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับตัวนางเพียงผู้เดียว เช่นนี้แล้วนางเอาโอสถเหล่านั้นมาจากที่ใดกัน
นางหลอมกลั่นโอสถเองได้อย่างนั้นหรือ หากหลอมกลั่นโอสถเองไม่ได้นางไปปล้นมาอย่างนั้นหรือ
หรือหนิงหลิงยู่จะจดจำพฤติกรรมเหล่านี้มาจากตัวเขางั้นหรือ
“อาวุโสท่านพอทราบหรือไม่ว่า เหล่าสมาชิกตระกูลหนิงฝึกฝนวิชาใดกัน” หลิงหยุนเอ่ยถามออกมาด้วยความอยากรู้
สีหน้าของหนิงป๋อหยวนเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวจิตใจสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ก่อนจะเอ่ยตอบหลิงหยุนไปว่า
“วิชาที่พวกเขาฝึกนั้นไม่ใช่วิชาประจำตระกูลหนิงแต่เป็นวิชาที่แปลกประหลาดยิ่งนัก ข้าเองก็ไม่เคยพบเห็น หรือได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อนเช่นกัน!”
“แต่เท่าที่ข้าแอบเห็นและแอบได้ยินพวกเขาคุยกันนั้น ข้ามั่นใจว่าต้องมิใช่วิชาที่ดีต่อผู้ฝึกแน่! เพราะดูเหมือนจะเน้นให้พัฒนาขั้นพลังบ่มเพาะโดยเร็ว โดยมิได้คำนึงถึงผลเสียหายที่จะตามมาในวันข้างหน้า..” แม้ว่าหนิงป๋อหยวนไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับเรื่องภายในของตระกูลหนิงอีกแต่ภายในจิตใจย่อมรู้ดีว่าสิ่งใดผิด และสิ่งใดถูก การที่บุคคลสำคัญของตระกูลหนิงหันไปฝึกวิชาเช่นนี้ ช้าเร็วย่อมส่งผลกระทบต่อตระกูลหนิง จนถึงขั้นล่มสลายได้เป็นแน่!
ตระกูลหนิงอาจถูกกล่าวหาเป็นมารจนถูกชาวยุทธพร้อมใจกันโค่นทำลาย และถึงแม้ว่าหนิงหลิงยู่จะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่นางเต็มใจที่จะปกป้องตระกูลหนิงจริงอย่างนั้นหรือ
หนิงป๋อหยวนเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าการมาถึงของหนิงหลิงยู่ จะนำพาอันตราย และหายนะมาสู่ตระกูลหนิงที่เคยอยู่กันอย่างสงบเช่นนี้!
ด้วยเหตุนี้ทันทีที่หลิงหยุนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า เขาจึงได้วิงวอนขอร้อง ให้หลิงหยุนช่วยตระกูลหนิงในทันที!
หลิงหยุนพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยบอกชายชราว่า “เอาล่ะ! ข้าพอเข้าใจสถานการณ์ภายในตระกูลหนิงเวลานี้แล้ว แต่ยังไม่เข้าใจว่า เรื่องนี้เกี่ยวพันกับสำนักน้อยใหญ่บนเขาคุนหลุนเช่นใด เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?”
“แล้วเหตุใดเวลานี้จึงไม่มียอดฝีมือของตระกูลหนิงอยู่เลยภายในบ้านเลยเล่าพวกเขาไปอยู่ที่ไหนกันหมดงั้นรึ?”
ยอดฝีมือตระกูลหนิงที่หลิงหยุนเอ่ยถึงนั้นเขาหมายถึงสมาชิกตระกูลหนิงทั้งหมด ที่เขาเคยพบเจอที่สำนักกระบี่เทียนซานก่อนหน้า
หนิงป๋อหยวนได้แต่หัวเราะออกมาอย่างขมขื่นก่อนจะตอบหลิงหยุนไปว่า..
“เมื่อเจ็ดวันก่อนหน้านี้หลิงยู่ได้เรียกประชุมสมาชิกตระกูลหนิงในฐานะประมุขตระกูลเป็นครั้งแรก..”
“แล้วท่านได้เข้าร่วมประชุมด้วยหรือไม่”
“ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้นางจะส่งคนมาเชิญข้าเข้าร่วมประชุมด้วยด้วยความเป็นห่วงตระกูลหนิง ข้าตอบรับและเข้าประชุมด้วยอย่างไม่ลังเล เพราะต้องการรู้ว่า หลิงยู่กำลังคิดที่จะทำสิ่งใดกันแน่”
หลิงหยุนพยักหน้าด้วยความเข้าใจส่วนหนิงป๋อหยวนก็ได้แต่ส่ายหน้าไป พร้อมกับเล่าต่อด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่นใจ
“หลังจากเข้าไปในห้องประชุมข้าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเอ่ยออกความเห็นใดๆ ทำได้เพียงแค่เป็นผู้ฟังเท่านั้น..”
“ในการประชุมวันนั้นหลิงยู่ได้ประกาศให้สมาชิกทุกคนรู้ว่า นางได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่แล้ว อีกเพียงแค่เล็กน้อยก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานได้..”
“ระหว่างการประชุมนางเองก็ได้ตำหนิ และแสดงความไม่พอใจ ที่หนิงป๋อผิง และคนอื่นๆฝึกฝนก้าวหน้าได้ล่าช้ากว่าที่นางคิดไว้ ซึ่งในเวลานั้นหนิงป๋อผิงได้เข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) แล้ว ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็เข้าสู่ด่านแรก และด่านกลางของขั้นพลังชี่แล้วเช่นกัน..”
“เว้นเพียงแต่ข้าผู้เดียวเท่านั้น!” หลังจากเล่ามาถึงตรงนี้
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้หนิงป๋อหยวนก็ได้เงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง พร้อมกับเล่าต่อว่า
“ในวันนั้นหลิงยู่ได้เอ่ยกับข้าอีกสองสามประโยค..”
“นางบอกกับข้าว่า..ความทุกข์และความอัปยศของพ่อแม่นางนั้น ล้วนเกิดจากการตัดสินใจที่โง่เขลาของคนตระกูลหนิง แต่นางก็มิได้ตำหนิว่าเป็นความผิดของข้าแต่เพียงผู้เดียว นางเพียงตำหนิที่ตระกูลหนิงไม่แข็งแกร่งพอ จึงถูกผู้อื่นข่มเหงรังแก และเหยียบย่ำเช่นนั้น..”
“นางยังบอกอีกว่าในเมื่อนางได้ขึ้นมาเป็นประมุขตระกูลหนิงแล้ว แม้สำนักกระบี่เทียนซานจะถูกทำลายลง และตี๋เสี่ยวเจินจะถูกนางสังหารตายไปแล้วก็ตาม แต่การล้างแค้นของตระกูลหนิงยังมิจบสิ้น และเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น..”
“เป้าหมายต่อไปของนางในฐานะประมุขตระกูลหนิงก็คือถล่มสำนักน้อยใหญ่บนเขาคุนหลุน ทำให้พวกเขามาภักดีต่อตระกูลหนิง เพื่อให้ตระกูลหนิงเป็นปึกแผ่น และแข็งแกร่งดั่งเหล็ก!”
หนิงป๋อหยวนจ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาที่น่าเวทนาพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดว่า ที่หลิงยู่เอ่ยบอกข้าเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นการเตือนให้ข้าเฝ้าดูอยู่นิ่งๆ มิต้องออกความเห็นใดๆ ข้าจึงทำได้เพียงแค่นั่งฟังการประชุมอย่างเงียบๆ ก่อนจะกลับมานั่งเก็บตัวอยู่แต่ในห้องสักการะบรรพชนแทน..”
“แล้วในคืนนั้นหลิงยู่ก็ได้นำทุกคนออกจากบ้านตระกูลหนิงไปอย่างเงียบๆ และในตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น ข้าก็ได้ข่าวว่า สองสำนักใหญ่สองแห่งถูกถล่มราบ และศิษย์ในสำนักถูกสังหารตายจำนวนมาก..”
“ข้ายังได้ยินมาว่าก่อนตายนั้น เจ้าสำนักทั้งสองถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยม และ..”
“พอได้แล้วท่านไม่ต้องเล่าต่อแล้ว!”
หลิงหยุนรีบร้องห้ามหนิงป๋อหยวนทันทีพร้อมกับเอ่ยบอกว่า “เอาเป็นว่าข้าจะจัดการสะสางเรื่องนี้เอง!”
จากนั้นสีหน้าของหลิงหยุนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม และกำชับหนิงป๋อหยวนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ก่อนที่ข้าจะสะสางปัญหาครั้งนี้ได้อาวุโสได้โปรดเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ อย่างได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เป็นอันขาด รวมทั้งการมาตระกูลหนิงของข้าในครั้งนี้ด้วย หากมิให้ผู้อื่นล่วงรู้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตระกูลหนิงของท่านเอง..”
หลังจากกล่าวจบร่างของหลิงหยุนก็หายไปในทันที..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร