บทที่ 1628 หนึ่งร่างสองจิตวิญญาณ
ในที่สุด!!
ในที่สุดหลิงหยุนก็ไม่อาจทนนั่งอยู่ต่อไปได้ จึงรีบหนีออกมาเช่นนี้!
หลิงหยุนพุ่งทะยานออกจากบ้านตระกูลหนิงขึ้นไปบนท้องนภาสามพันเมตร หนึ่งหมื่นเมตร และสองหมื่นเมตร..
จากนั้นเขาก็ได้หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศเช่นนั้น พร้อมกับมองลงมายังผืนดินเบื้องล่าง ซึ่งเป็นเขตเทือกเขาคุนหลุน แต่ด้วยความสูงถึงเพียงนั้น สิ่งที่หลิงหยุนสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า จึงมีเพียงภาพของเทือกเขาที่ทอดตัวยาวประหนึ่งมังกร นอกเหนือจากนั้นก็ไม่เห็นอะไรอีกเลย
เวลานี้จิตใจของหลิงหยุนสั่นสะท้านไปหมด เขาพยายามทำสมาธิ เพื่อสงบจิตใจให้แน่นิ่ง..
แม้จะไม่อยากจะยอมรับแต่เวลานี้ความจริงทั้งหมดก็ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาแล้ว เขาจึงทำได้เพียงแค่ต้องตัดความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นในเวลานี้ทิ้งไปให้ได้โดยเร็วที่สุด และยอมรับความจริงที่ได้เกิดขึ้นกับหนิงหลิงยู่ในเวลานี้ พร้อมกับหันหน้าเผชิญกับปัญหาโดยไม่หลีกหนีอีก..
การย้ายร่างหาใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใดไม่เป็นเรื่องปกติที่พบเห็นอยู่ทั่วไปในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่!
เมื่อใดก็ตามที่ผู้ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรจนสามารถเข้าสู่ขั้นปฐมวิญญาณหรือหยวนอิงได้ หากเผชิญหน้ากับอันตราย หรือวิกฤติที่ส่งผลต่อความเป็นความตายของชีวิต คนเหล่านี้จะสามารถปลดปล่อยจิตวิญญาณของตนให้หนีออกจากร่างได้ ก่อนที่จะถูกกำจัด!
อาจจะเรียกว่าเป็นการหนีออกมาหาร่างใหม่ เพื่อคืนชีพอีกครั้งก็ไม่ผิดนัก!
และในเวลานี้เรื่องราวลักษณะนี้ก็กำลังเกิดขึ้นกับหนิงหลิงยู่!
กายของหนิงหลิงยู่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรฉกฉวยไปหรือแม้จะไม่ใช่เช่นนั้นโดยตรง แต่ก็น่าจะใกล้เคียงกัน..
จิตวิญญาณที่อยู่ในร่างของหนิงหลิงยู่เวลานี้จึงมิใช่จิตวิญญาณดั้งเดิมของเด็กสาว ที่เติบโตมากับเขาตั้งแต่วัยเด็ก แต่เป็นจิตวิญญาณของผู้อื่น!
“แย่แล้ว!”
หลิงหยุนถึงกับต้องสบถออกมาสีหน้าของเขาเวลานี้บ่งบอกว่า เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและหนักอกหนักใจเป็นอย่างมาก นั่นเพราะเรื่องเช่นนี้นับเป็นปัญหาใหญ่โตไม่ใช่น้อย!
ดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้หลิงหยุนเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่า เขาจะสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเองเพียงลำพังอีกหรือไม่
เวลานี้แม้แต่ตัวหลิงหยุนเอง ยังไม่อาจล่วงรู้หรือคาดเดาได้ว่า จิตวิญญาณของหนิงหลิงยู่นั้น ได้ถูกกำจัดทิ้งไปแล้วหรือไม่
และนี่นับเป็นเรื่องที่หลิงหยุนกังวลใจอย่างที่สุด!
“หลิงหยุนเจ้าต้องตั้งสติ และสงบจิตสงบใจให้จงได้! เรื่องนี้หาใช่ปัญหาที่เจ้าจะสามารถรีบร้อนแก้ไขได้โดยเร็ว..”
หลิงหยุนได้แต่ร้องเตือนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะเริ่มเดินลมปราณไปทั่วร่าง จากนั้น จิตใจที่กระวนกระวายร้อนรน จึงค่อยๆสงบลงอย่างช้าๆ
หลังจากที่จิตใจเริ่มสงบลงบ้างแล้วหลิงหยุนจึงหันมาถามตัวเองว่า หนิงหลิงยู่เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใดกัน และนอกเหนือจากสิ่งที่เขาสังเกตเห็นก่อนหน้า ยังมีรายละเอียดอื่นใดอีกหรือไม่ ที่เขาเพิกเฉยหรือละเลยไปไม่ได้สนใจ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิงหยุนก็เริ่มนึกย้อนไปถึงเรื่องราวต่างๆในอดีตของหนิงหลิงยู่อย่างละเอียด ภาพเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับหญิงสาว ค่อยๆปรากฏขึ้นมาในห้วงมโนของหลิงหยุน ประหนึ่งภาพยนต์ที่ปรากฏบนจอสีเหลี่ยม หลิงหยุนเฝ้าสังเกตดูภาพต่างๆที่ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบๆและครั้งนี้ เขาไม่ปล่อยให้รายละเอียดแม้เพียงเล็กน้อยหลุดรอดสายตาไปได้เลย
ทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วและของกำนัลจากสวรรค์งั้นรึ
ภาพเหตุการณ์แรกที่ปรากฏขึ้นในห้วงมโนของหลิงหยุนก็คือภาพเมื่อครั้งที่เขาพาหนิงหลิงยู่ไปรับทัณฑ์สวรรค์ที่อ่างเก็บน้ำมี่หยวิน ซึ่งอยู่ในแถบชานเมืองของปักกิ่ง
นั่นเพราะก่อนที่หนิงหลิงยู่จะเข้ารับทัณฑ์สวรรค์ในครานั้นพฤติกรรมของหญิงสาวยังคงเป็นปกติทุกอย่าง ไม่มีท่าทีผิดปกติให้หลิงหยุนเห็นเลยแม้แต่น้อย
หลิงหยุนนึกย้อนกลับไปอดีตและใคร่ครวญเหตุการณ์ต่างๆอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่นั่นกลับทำให้เขารู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อพบว่า เขามีความทรงจำที่พิเศษยิ่งนัก นั่นเพราะไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เขาประสบพบเจอด้วยตัวเอง คำพูดของผู้คนที่พบเจอ หรือแม้แกระทั่งสีหน้าเล็กๆน้อยๆของผู้คน เขากลับสามารถจดจำได้หมด อีกทั้งยังละเอียดแม่นยำด้วย
ในคืนนั้นหลังจากที่รับทัณฑ์สวรรค์สำเร็จแล้ว หนิงหลิงยู่ก็ได้ยืนสงบนิ่ง สีหน้าบ่งบอกถึงความภูมิอกภูมิใจยิ่ง ผมยาวปลิวไสวไปตามแรงลม ใบหน้าเย็นชา ประหนึ่งเทพเซียนผู้มาเยือนโลกมนุษย์..
สีหน้าและอารมณ์ความรู้สึกที่หนิงหลิงยู่แสดงออกมาในเวลานั้นดูแตกต่างจากหนิงหลิงยู่คนเดิมเป็นอย่างมาก!
จากนั้นภาพดอกไม้เล็กๆ ก็กำลังร่วงหล่นลงมาจากผืนนภาเบื้องบน มันคือดอกบัวสีทอง ซึ่งเป็นของกำนัลจากสรวงสวรรค์..
ในเวลานั้นตัวของหลิงหยุนเองก็กำลังง่วนอยู่กับการดูดซับเอาพลังอมตะสีทอง และพลังอมตะสีม่วงเข้าไปในร่าง ซึ่งนั่นก็คือของกำนัลจากสรวงสวรรค์เช่นเดียวกัน
หลิงหยุนสังเกตเห็นว่าเวลานั้น หนิงหลิงยู่ยืนเอามือไขว้หลังไว้ และใบหน้ายังคงเย็นชาเช่นเคย..
ความทรงจำของหลิงหยุนที่เกี่ยวกับหนิงหลิงยู่นั้นแต่ไหนแต่ไรมา เขาก็ไม่เคยเห็นหนิงหลิงยู่ยืนเอามือไขว้หลังมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่านางจะยืนนิ่งๆ หรือเดินเหินก็ตาม นางจะไม่เคยเอามือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง และนั่นไม่ใช่พฤติกรรมของหนิงหลิงยู่น้องสาวของเขาอย่างแน่นอน
ในเหตุการณ์ที่หนิงหลิงยู่รับของกำนัลจากสรวงสวรรค์นั้นแม้ว่านางจะมีกายอัปสร แต่ด้วยข้อจำกัดของหญิงสาวในเวลานั้น ทำให้นางสามารถรับของกำนัลเข้าไปในร่างได้เพียงแค่ห้าส่วนเท่านั้น แต่หญิงสาวกลับไม่คิดที่จะเชื้อเชิญหลิงหยุน ให้ไปร่วมรับของกำนัลเหล่านั้นร่วมกับนางด้วย
ซึ่งเรื่องนี้นับเป็นความแปลกประหลาดและผิดปกติสำหรับหลิงหยุนอย่างมาก!
ที่เรื่องนี้นับว่าผิดปกติก็เพราะว่าในเวลานั้น ทัณฑ์เมฆาได้สลายตัวไปแล้ว อีกทั้งของกำนัลเหล่านั้นก็หาได้ก่อให้เกิดอันตรายกับหลิงหยุนไม่ และหากเปลี่ยนจากเขาเป็นหนิงหลิงยู่ในเวลานั้น เขาย่อมต้องเรียกผู้ที่อยู่ด้วย ให้เข้าไปร่วมรับของกำนัลด้วยกันแน่..
“ดูเหมือนว่านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสินะที่นางเริ่มตีตัวออกห่างจากข้า”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้หลิงหยุนก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะหัวเราะ หรือว่าร้องไห้ดี
นั่นเพราะครั้งนั้นเขามัวแต่เพลิดเพลินกับการฉกฉวยของกำนัลจากสรวงสวรรค์ จนลืมสังเกตเห็นพฤติกรรมที่ผิดปกติเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ของนาง
แต่ต่อให้ครั้งนั้นหลิงหยุนจะปฏิเสธไม่ต้องของกำนัลเหล่านั้นแต่ใช่ว่าผู้อื่นจะคิดเช่นเดียวกับเขา ครานั้นทั้งพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ และสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ ต่างก็พุ่งออกจากร่างของเขาพร้อมกัน เพื่อเข้าไปฉกฉวยของกำนัลเหล่านั้น
เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหนิงหลิงยู่ที่อยู่ด้านหลังของเขาจึงได้ร้องตะโกนออกมา น้ำเสียงที่เย็นชานั้นบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างมาก..
ครั้งนั้นพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ และสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ ได้อำพรางตัวไว้ทำให้หนิงหลิงยู่ไม่สามารถมองเห็นพวกเขาทั้งสองได้ และฉกฉวยเอาของกำนัลเหล่านั้นเข้าไปโดยไม่สนใจหนิงหลิงยู่เลยแม้แต่น้อย
หลิงหยุนยังจำได้ว่าครั้งนั้นหนิงหลิงยู่ได้เอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ตอบกลับไปเลี่ยงๆ ท่าทางของนางจึงยิ่งดูแปลกไป
หลิงหยุนยังจำได้ว่าครั้งนั้น พู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิไม่เพียงฉกฉวยของกำนัลให้ตัวเอง แต่ยังช่วยหลิงหยุนให้สามารถฉกฉวยของกำนัลเหล่านั้นมาได้เช่นกัน และหลิงหยุนก็ปกปิดหนิงหลิงยู่ด้วยการไม่บอกความจริง
และเมื่อครุ่นคิดถึงตอนนี้หลิงหยุนก็เริ่มรู้สึก..
หวาดกลัว!
ทั้งหลุมดำปริศนาฝ่ามือขนาดใหญ่อสุนีบาตที่น่ากลัว สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ถูกสะกัดกั้นไว้โดยอาวุโสทั้งสอง
‘สายฟ้าของเจ้าก็แค่เกาทัณฑ์เท่านั้นล่ะ!’
‘กลับไปซะ!’
‘ผนึก’
หลิงหยุนนึกถึงคำพูดต่างๆที่พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์เอ่ยขึ้นในระหว่างฉกฉวยของกำนัลเหล่านั้น เดิมทีเขาคิดว่า อาวุโสเพียงแค่รำพึงรำพันกับตนเอง
แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า นอกจากพู่กันจักรพรรดิจะไม่ได้บอกกับตัวเอง เขาก็ยังมิได้บอกกับสมุดจักรพรรดิ และมิได้บอกกับหลิงหยุน แต่กำลังบอกกับผู้ใดสักคนนอกเหนือจากนี้
และคนผู้นั้นก็คือเจ้าของสายฟ้าและฝ่ามือขนาดใหญ่!
ดูเหมือนว่าของกำนัลที่ปรากฏขึ้นกลางท้องนภาในครั้งนั้น จะมิใช่ของกำนัลจากสรวงสวรรค์ แต่เป็นของกำนัลที่เจ้าของสายฟ้าและฝ่ามือนั้น ต้องการที่จะมอบให้หนิงหลิงยู่ ในโอกาสที่นางรับทัณฑ์สวรรค์สำเร็จเป็นครั้งแรก!
หลังจากที่ครุ่นคิดเรื่องนี้ได้คำถามต่างๆพลันได้รับคำตอบอย่างง่ายดาย!
ของกำนัลกว่าเก้าสิบห้าส่วนถูกพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ และสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพแย่งชิงไป และนั่นได้สร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าของสายฟ้ามาก
นอกจากสิ่งเหล่านั้นแล้วเจ้าของสายฟ้ายังให้อะไรกับหนิงหลิงยู่อีกบ้าง
หรือเป็นเจ้าของสายฟ้าที่อาศัยจังหวะที่หนิงหลิงยู่กำลังรับทัณฑ์สวรรค์ เข้ายึดครองร่างของนางไป
“การยึดครองร่างใหม่อาจจะไม่ใช่เรื่องยากแต่การจะเข้ายึดครองร่างของผู้อื่นในระหว่างรับทัณฑ์สวรรค์นั้น ต่อให้เป็นเซียนก็ใช่ว่าจะทำได้สำเร็จง่ายๆ แม้นี่จะเป็นเพียงการรับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วก็ตามที..” ในระหว่างที่หลิงหยุนกำลังรำพึงรำพันกับตัวเองนั้นเสียงของใครบางคนก็ดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลัง..
“เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”
หลิงหยุนหันหลังกลับไปมองทันทีและพบว่า ดวงจิตของพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ได้ปรากฏขึ้น แสงสีทองสุกสว่างปรากฏขึ้นตรงหน้า ชายชราจ้องมองหลิงหยุนด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย พร้อมกับส่ายหน้าไปมาในขณะบอกกับหลิงหยุนว่า
“พ่อหนุ่ม!ความอยากรู้ของเจ้าเดือดร้อนข้าอีกแล้วสินะ..”
ฟิ้ว..
ร่างของโฉวเปิ่นสมุดจักรพรรดิปรากฏขึ้นข้างกายเฉิงเฟิงพู่กันจักรพรรดิพร้อมกับยิ้มกว้างให้กับหลิงหยุน
หลังจากที่เห็นชายชราทั้งสองปรากฏขึ้นพร้อมกันเช่นนี้หลิงหยุนก็ได้แต่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใจ “อาวุโสทั้งสองพวกท่านกำลังปิดบังอะไรข้ากันแน่”
น้ำเสียงของหลิงหยุนบ่งบอกว่ากำลังรู้สึกไม่พอใจมากจริงๆ โฉวเปิ่นได้แต่ยืนยิ้มไม่ตอบอะไร ในขณะที่เฉิงเฟิงนั้นเลิกคิ้วขึ้นมองหลิงหยุน พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“ใช่ว่าพวกเราทั้งสองจะต้องการปกปิดเรื่องนี้กับเจ้า!แต่ในเมื่อหนิงหลิงยู่รับทัณฑ์สวรรค์สำเร็จไปแล้ว ทุกอย่างก็สายเกินที่จะแก้ไขแล้ว..”
หลิงยุนถึงกับร้องถามด้วยความตกใจ“นี่มันเรื่องอะไรกัน! แม้แต่ท่านยังถึงกับเอ่ยคำว่าสายเกินไปออกมา..”
จะไม่ให้หลิงหยุนตกอกตกใจได้อย่างไรกันเล่าเพราะแม้แต่อาวุโสทั้งสองยังไม่สามารถหยุดยั้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนิงหลิงยู่ได้ แล้วเขาจะช่วงนางได้อย่างไรกัน
ฉางเฟิงยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยว่า“สิ่งที่เจ้าใคร่ครวญนั้นถูกต้องแล้ว การที่เหล่าเซียนจะยึดร่างของผู้อื่นขณะรับทัณฑ์สวรรค์นั้น เป็นข้อห้าม หากฝืนทำย่อมผิดต่อกฏสวรรค์ พวกเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า”
“หากมิใช่การถูกยึดร่างจะเป็นสิ่งใดไปได้อีก อย่าบอกนะว่า ในระหว่างขั้นตอนการรับทัณฑ์สวรรค์นั้น นิสัยใจคอของนางก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเช่นนี้เอง!”
โฉวเปิ่นตอบกลับยิ้มๆ“หาใช่เช่นนั้นเสียทีเดียวไม่! แต่ก็ไม่ห่างไกลจากที่เจ้าคาดเดานัก..”
“หากมิใช่การถูกจิตวิญญาณอื่นยึดร่างการที่อุปนิสัยใจคอดั้งเดิมจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพียงแค่ผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์นั้น ก็ยิ่งเป็นไปได้ยากกว่า มันมิใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะเปลี่ยนธรรมชาติของมนุษย์คนหนึ่ง..”
หลังจากที่ฉางเฟิงเกริ่นมาคร่าวๆแล้วเขาก็เอ่ยถามหลิงหยุนต่อทันที “พ่อหนุ่ม.. เจ้าเคยได้ยินเรื่องจิตวิญญาณคู่หรือไม่”
“….”หลิงหยุนได้แต่นิ่งอึ้งไป หนึ่งร่างสองจิตวิญญาณหรือสองจิตวิญญาณในหนึ่งร่างอย่างนั้นหรือ
หากเปรียบเทียบระหว่างการถูกจิตวิญญาณผู้อื่นยึดร่างกับเรื่องหนึ่งร่างสองจิตวิญญาณแล้ว อย่างหลังดูเหมือนจะเป็นปัญหาหนักกว่ามาก!
ฉางเฟิงเอ่ยบอกหลิงหยุนอย่างไม่อ้อมค้อม“เจ้าของสายฟ้าและฝ่ามือใหญ่ที่เจ้าเห็นในครั้งนั้น มิได้ยึดครองร่างของหนิงหลิงยู่ แต่เขาเพียงแค่อาศัยช่วงโอกาสที่นางรับทัณฑ์สวรรค์นั้น ปลุกจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งของนางให้ตื่นเร็วขึ้นต่างหาก!”
“เวลานี้จิตวิญญาณอีกดวงหนิงหลิงยู่ แม้จะเพิ่งตื่นขึ้น แต่ก็แข็งแกร่งมาก จนทำให้จิตวิญญาณดวงก่อนที่คุ้นเคยกับเจ้าตั้งแต่เด็กจนโต ไม่สามารถสื่อสารกับโลกภายนอกได้อีก..”
หลังจากครุ่นคิดอยู่นานในที่สุดหลิงหยุนก็เข้าใจอย่างกระจ่างชัด!
“แต่เรื่องนี้หาใช่เป็นเพราะการเข้ารับทัณฑ์สวรรค์ของนางหรือเป็นเพราะนางเข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะพลังนี้ ต่อให้นางมิได้เข้าสู่เส้นทางนี้ เพราะเมื่อถึงเวลา จิตวิญญาณอีกดวงของนางก็ต้องตื่นขึ้นอยู่ดี..”
คำพูดของฉางเฟิงในครั้งนี้บอกกับหลิงหยุนเป็นนัยว่า ต่อให้พวกเขาทั้งสองจะร่วมมือกัน ก็ยากที่จะยับยั้งเหตุการณ์นี้มิให้เกิดขึ้นได้
“ฉะนั้นแล้วปัญหาของหนิงหลิงยู่จึงมิได้เกิดขึ้นในวันรับทัณฑ์สวรรค์ แต่เกิดขึ้นก่อนที่นางจะถือกำเนิดสินะ”
หลิงหยุนเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก..
และเวลานี้เขาก็กำลังนึกถึงบทสนทนา ระหว่างตนเองกับฉินจิวยื่อเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในบ้านตระกูลฉิน..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร