บทที่ 1629 : เส้นทางการต่อสู้
หลังจากที่ได้รู้ต้นตอที่แท้จริงของปัญหาในครั้งนี้หลิงหยุนก็ถึงกับตกใจ และหนักใจจนเหงื่อไหลท่วมตัว
นั่นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้นับเป็นปัญหาที่ใหญ่ และจัดการแก้ไขได้ยากยิ่งนัก!
หนิงหลิงยู่ได้รับ‘ของกำนัลจากสรวงสวรรค์’ ซึ่งเวลานี้หลิงหยุนเองก็ได้ล่วงรู้แล้วว่า นั่นหาใช่ของกำนัลจากสรวงสวรรค์อย่างที่เขารู้มา แต่เป็นใครบางคนที่มีความแข็งแกร่งระดับเซียน ที่ตั้งใจช่วยเหลือให้หนิงหลิงยู่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วในเส้นทางบ่มเพาะนี้
ของกำนัลเช่นนี้หนิงหลิงยู่ใช่เพียงได้รับหลังจากรับทัณฑ์สวรรค์สำเร็จเท่านั้น แต่เมื่อครั้งที่นางถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ นางก็ได้รับของกำนัลเช่นเดียวกันนี้ แต่มาในรูปแบบของพายุฝนแทน
เมื่อครั้งที่ฉินจิวยื่อเล่าเรื่องนี้ให้กับหลิงหยุนฟังนั้นนางยังพูดชัดเจนว่า นั่นมิใช่พายุฝนธรรมดา แต่เป็นสายฝนพลังชีวิต ครั้งนั้นพายุฝนกระหน่ำตกตลอดทั้งวันทั้งคืนแล้ว หลังจากที่หยุดลง ทั่วทั้งเมืองจิงฉูกลับเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตที่หนาแน่นอยู่เต็มไปหมด
และชื่อของหนิงหลิงยู่ก็ตั้งตามปรากฏการณ์ครั้งนี้ ซึ่ง ‘หลิงยู่’ นั้นก็แปลว่าสายฝนพลังชีวิตนั่นเอง!
อีกทั้งก่อนที่หลิงหยุนจะอาศัยพลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์เปลี่ยนร่างกายของหนิงหลิงยู่ให้เป็นกายอัปสรนั้น กายเดิมของนางก็คือกายทิพย์ ซึ่งสามารถดูดซับพลังเอาชีวิตทุกชนิด ที่อยู่ภายใต้แผ่นฟ้านี้เข้าไปได้เอง
หรือพูดง่ายๆก็คือว่าไม่ว่าหนิงหลิงยู่จะเข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะหรือไม่ ร่างกายของนางก็จะทำการดูดซับเอาพลังชีวิตที่อยู่ใต้หล้านี้ เข้าไปได้เองตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าสายฝนพลังชีวิตนี้ ก็คือพลังชีวิตที่จิตวิญญาณอีกดวง ซึ่งอยู่ในร่างของหนิงหลิงยู่ ได้เตรียมไว้ให้สำหรับการเติบใหญ่ของตนเอง
หากมิใช่เพื่อจุดประสงค์นี้จิตวิญญาณอีกดวงคงจะไม่ทำให้เกิดฝนพลังชีวิตกระหน่ำตกทั้งวันทั้งคืน และเปลี่ยนจิงฉูให้เป็นดินแดนที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเช่นนี้แน่!
จู่ๆหลิงหยุนก็นึกถึงเมื่อครั้งที่หนิงหลิงยู่ ยังไม่เข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะพลังสู่ความเป็นเซียน เขาจำได้ว่า ครั้งนั้นหนิงหลิงยู่ยังฝึกกำลังภายในดังเช่นชาวยุทธทั่วไปบนโลกนี้ฝึก แต่นางไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้เสียที
ในเวลานั้นเป็นช่วงที่หลิงหยุนเองก็เพิ่งจะฟื้นตัวหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน และในวันนั้น สองพี่น้องก็ได้เปิดอกคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆที่ค้างคาใจกันเมื่อหกปีก่อน
หลิงหยุนจำได้ว่าในวันนั้น ทั้งเขาและหนิงหลิงยู่ได้ได้พูดคุยเกี่ยวกับชีวิตของพวกตนในวัยเด็ก จนกระทั่งเติบใหญ่ขึ้นมาด้วยกัน ตลอดระยะเวลาหกปีที่ผ่านมานั้น ทั้งตัวหนิงหลิงยู่เอง และหลิงหยุน ต่างก็ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณอีกดวงที่อยู่ในร่างของหนิงหลิงยู่ ได้มีกำลังขึ้นมาแล้ว และค่อยๆมีอิทธิพลต่อจิตวิญญาณอีกดวงของหนิงหลิงยู่ทีละเล็กทีละน้อย
ในวันนั้นหนิงหลิงยู่เป็นผู้ที่เริ่มชักชวนหลิงหยุนสนทนาเรื่องราวในวัยเด็ก อีกทั้งยังได้ถามคำถามซึ่งเกี่ยวพันถึงความลับยิ่งใหญ่ของเขา แต่ในเมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงที่ตอบคำถามได้ หลิงหยุนจึงได้ร่ายบทกลอนสั้นๆขึ้นมาแทนคำตอบ
“เซียนคือจุดสูงสุดแห่งเราผูกพันธ์ดั่งอายุวัฒนะยืนยง”
แต่หลิงหยุนกลับคิดไม่ถึงว่าบทกลอนนี้จะทำให้หนิงหลิงยู่ซาบซึ้งใจยิ่ง จนสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ในทันที สายน้ำทั่วทั้งจิงฉูปั่นป่วน ตามมาด้วยสายรุ้งและท้องนภาอันสดใด!
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้นนับว่าอัศจรรย์ยิ่งนัก! หลิงหยุนใคร่ครวญและพินิจพิจารณาอย่างละเอียดเขาไม่เพียงถ่ายทอดวิชาบ่มเพาะให้กับหนิงหลิงยู่ แต่ทุกขั้นพลัง หลิงหยุนจะเป็นผู้ควบคุมดูแล ให้นางค่อยๆทะลวงผ่านไปทีละขั้นด้วยตัวเองทั้งสิ้น!
หลิงหยุนนึกถึงเมื่อครั้งที่หนิงหลิงยู่รับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วซึ่งหากเปรียบเทียบกับการับทัณฑ์สวรรค์ของตนเองนั้น แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน เขาต้องถูกอสุนีบาตฟาดเข้าใส่ร่าง เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ในขณะที่หนิงหลิงยู่กับข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างสบาย และง่ายดาย
“สวรรค์!”
“ทัณฑ์เมฆาเก้าสีที่ข้าพบเจอที่เกาะเตียวหยู่นั่น..”
หลิงหยุนเริ่มเชื่อมโยงเรื่องทัณฑ์เมฆาเก้าสีที่ตนเองเผชิญบนเกาะเตียวหยูกับอสุนีบาตประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งกำลังฉกฉวยของกำนัลจากหนิงหลิงยู่..
หลังจากได้ยินคำพูดที่หลุดออกจากปากของหลิงหยุนฉางเฟิงและโฉวเปิ่นถึงกับหันไปมองหน้ากัน พร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ
“เฉลียวฉลาดมากพ่อหนุ่ม!”
“ทัณฑ์เมฆาเก้าสีที่เจ้าเผชิญบนเกาะเตียวหยูกับอสุนีบาตใหญ่ที่เกิดขึ้นระหว่างฉกฉวยของกำนัลจากหนิงหลิงยู่นั้น พวกเราทั้งสองคนต่างก็คิดว่า มีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน..”
ใบหน้าของท่านโฉวเปิ่นเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันทีในขณะที่เอ่ยขึ้นว่า “แม้ว่าพวกเราทั้งสองจะยังมิสามารถยืนยันได้ชัดเจนว่า มีใครบางคนอยู่เบื้องหลังการสังหารเจ้าในครั้งนั้น แต่เพวกเราก็มั่นใจอย่างยิ่งว่า ทัณฑ์เมฆาและอสุนีบาตทั้งสองครั้ง ล้วนมุ่งหมายเอาชีวิตของเจ้าโดยตรง!”
เฉิงเฟิงอดที่จะกระเซ้าเย้าแหย่หลิงหยุนไม่ได้“พ่อหนุ่ม ยอมรับมาเสียเถิดว่า ก่อนที่จะมาจุติบนโลกมนุษย์ เจ้าไปทำอะไรเลวร้ายไว้บ้าง” “เอ..หรือว่าเจ้าจะไปเที่ยวขโมยเสื้อผ้าเทพธิดาองค์นั้นมา นางถึงได้โกรธเจ้ามากมายถึงเพียงนี้ บอกพวกเรามาเถิดน่า พวกเราไม่ตำหนิเจ้าหรอก..”
ระหว่างที่กระเซ้าเย้าแหย่หลิงหยุนอยู่นั้นเฉิงเฟิงก็แสร้งทำสีหน้าเข้าอกเข้าใจ และเห็นใจหลิงหยุน
“ข้าไม่ได้ทำ!ข้าไม่ได้ทำ! แล้วข้าก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น!”
หลิงหยุนระล่ำระลักโต้เถียงกลับไปอย่างรวดเร็วพร้อมส่งสายตาค้อนให้กับเฉิงเฟิง
‘ข้าหลิงหยุนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!เหตุใดจะขโมยของเหล่านั้นไปด้วยเล่า เหาะเล่นไปมาบนท้องนภายังจะสนุกมากกว่าเสียอีก..’
หลิงหยุนได้แต่แอบบ่นในใจ..
จากคำพูดของอาวุโสทั้งสองย่อมเป็นการยืนยันแล้วว่า อีกฝ่ายเป็นเทพธิดา และเป้าหมายของนางก็คือกำจัดเขา!
หลังจากได้รับการยืนยันในเรื่องนี้หลิงหยุนก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น เมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องราวเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่
หลิงหยุนยังจำได้ว่าครั้งนั้น ในระหว่างที่เขากำลังรับทัณฑ์สวรรค์อยู่ จู่ๆก็มีอสุนีบาตแปลกประหลาดปรากฏขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่สายฟ้าจากทัณฑ์อสุนีบาต แต่คล้ายมีใครบางคนพยายามอาศัยช่องโหว่ของปรากฏการณ์นั้น จงใจที่จะกำจัดเขาให้สิ้นซาก แต่ด้วยเหตุผลอะไรอย่างนั้นหรือ
ดูเหมือนจะมิใช่ความโกรธแค้นส่วนตัว!
“นี่คงจะเป็น..การต่อสู้ซึ่งเกิดจากความขัดแย้งสินะ!”
หลังจากที่เข้าใจสาเหตุการเปลี่ยนไปของหนิงหลิงยู่แล้วหลิงหยุนก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ และค่อยๆสรุปเรื่องราวต่างๆอยู่ภายในใจเงียบๆ
“ทั้งหนิงหลิงยู่ข้า และจิตวิญญาณอีกดวงในร่างของนาง ต่างก็อยู่บนเส้นทางของการต่อสู้สินะ และพวกเราทั้งสามก็ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือก มีเพียงแค่อยู่หรือตายเท่านั้น..” ทั้งหลิงหยุนและหนิงหลิงยู่ต่างก็มีชะตากรรมที่พัวพันกันลึกซึ้ง..
เฉิงเฟิงพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ก้มลงมองเทือกเขาคุนหลุนเบื้องล่าง จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า
“หลิงหยุนเจ้าหวาดกลัวหรือไม่”
“หวาดกลัวงั้นรึ”
หลังจากที่ได้ยินคำถามของฉางเฟิงหลิงหยุนก็ถึงกับหัวเราะร่วน พร้อมกับไหล่อย่างอวดดี ซึ่งท่าทางเช่นนี้ของหลิงหยุนนั้น เฉิงเฟิงมิได้เห็นมานานนับตั้งแต่เขาเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ หลิงหยุนเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้น พร้อมกับย้อนถามกลับไปว่า
“ก็แค่ส่วนหนึ่งของเส้นทางการต่อสู้ข้าควรต้องกลัวสิ่งใดงั้นรึ”
หลังจากหยุดนิ่งไปเล็กน้อยหลิงหยุนจึงเอ่ยต่อด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ยิ่งนางไล่ล่าข้ามากเท่าใด ก็ยิ่งบ่งบอกว่านางหวาดกลัวข้ามากเท่านั้น! ฉะนั้น ผู้ที่กำลังรู้สึกหวาดกลัว ควรจะต้องเป็นนางต่างหาก มิใช่ข้า!”
“เยี่ยม!เยี่ยม!”
ฉางเฟิงได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนก็ถึงกับต้องปรบมือด้วยความชื่นชม พร้อมกับเอ่ยให้กำลังใจ
“สมแล้วที่เป็นบุรุษผู้ถูกกำหนดมามีหรือที่จะหวาดกลัวเทพธิดาองค์หนึ่ง..”
“เจ้ามิต้องกังวลใจไปต่อให้นางเป็นเทพธิดา แต่เจ้าเองก็มีมรดกของสามจักรพรรดิอยู่ในมือ ขอเพียงเจ้าสามารถฝึกฝนให้ก้าวหน้าได้โดยเร็ว ถึงตอนนั้น ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ต่อให้เป็นเซียน ก็ย่อมรับมือได้..”
โฉวเปิ่นสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพเป็นผู้กล่าวตบท้าย..
“ข้าเข้าใจแล้ว..”หลิงหยุนเอ่ยตอบพร้อมกับพยักหน้า
หลิงหยุนหาได้พูดจาโอ้อวดไม่และเขาก็มิได้รู้สึกหวาดกลัวจริงๆ นั่นเพราะความหวาดกลัวมิได้มีประโยชน์อันใด รังแต่จะก่อให้เกิดความกังวลใจเสียเปล่า แม้หลิงหยุนจะไม่มั่นใจเสียทีเดียว แต่อย่างน้อยที่สุด เขาก็ได้รู้ว่า ใครบางคนที่กำลังคิดเล่นงานเขาอยู่ในเวลานี้ก็คือเซียนจริงๆ!
ที่สำคัญอย่างยิ่งเป็นเซียนหญิงหรือเทพธิดานั่นเอง!
หลิงหยุนมั่นใจอย่างยิ่งว่าเทพธิดาองค์นี้ กำลังพยายามขัดขวางทุกวิถีทาง เพื่อมิให้เขาสำเร็จเป็นเซียนบนสรวงสวรรค์ และเป้าหมายของนางก็คือสังหารเขาให้จงได้!
หลิงหยุนอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่มานานต่อให้เขาจะโง่เขลาสักเพียงใด ก็สามารถเข้าใจได้ว่า ผู้ที่จงใจขัดขวางมิให้เขารับทัณฑ์สวรรค์สุดท้ายได้สำเร็จนั้น ย่อมต้องมีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น..
ฉะนั้นสิ่งเดียวที่หลิงหยุนต้องทำก่อนจะสำเร็จเป็นเซียนก็คือ การรักษาชีวิตของตนเองไว้ให้ได้! เมื่อใดที่เขาสำเร็จเป็นเซียนได้เขายังต้องหวาดกลัวเทพธิดาอีกงั้นรึ
นอกเหนือจากการใช้ทัณฑ์อสุนีบาตสังหารหลิงหยุนในครั้งนั้นแล้วดูเหมือนเทพธิดาองค์นี้ก็ได้วางแผนมาจุติบนโลกมนุษย์เช่นกัน
หลิงหยุนต้องยอมรับว่าเทพธิดาองค์นี้สามารถคาดเดาความลับสวรรค์ได้อย่างแม่นยำ นางจึงสามารถวางแผนได้แยบยลถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังสามารถปกปิดความลับไว้ได้อย่างแนบเนียน..
หลังจากที่หลิงหยุนรับทัณฑ์สวรรค์สุดท้ายล้มเหลวและได้กลับมาจุติในร่างของเด็กหนุ่มที่อยู่ในวัยสิบแปดปี..
ในขณะที่หนิงหลิงยู่นั้นกลับถือกำเนิดมาก่อนเขานานถึงสิบแปดปี!
ฉะนั้นก่อนที่เขาจะมาจุติในร่างเด็กหนุ่มผู้นี้ ผู้ที่ใช้ชีวิตพัวพันอยู่กับหนิงหลิงยู่จึงมิใช่ตัวเขา แต่เป็นเจ้าของร่างเดิมต่างหาก ‘ว่าแต่..นางจะสามารถเตรียมการล่วงหน้าได้นานถึงสิบแปดปีเชียวรึ’
ในระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้นคำถามนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวของหลิงหยุน เขารู้สึกไม่เข้าใจ และได้แต่แอบคิดว่า หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวพันไปถึงห้วงแห่งเวลาและมิติ
“สองวิญญาณในร่างเดียวงั้นรึในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จำต้องสังหารนาง!”
เมื่อทุกอย่างกระจ่างแจ้งแล้วหลิงหยุนจึงได้เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าแววตามุ่งมั่น เขาตัดสินใจแน่วแน่โดยไร้ซึ่งคำถามใดๆ
หนิงหลิงยู่เป็นน้องสาวของเขาแน่นอนว่าเขาต้องช่วยนาง..
เวลานี้จิตวิญญาณของหนิงหลิงยู่ได้ถูกจิตวิญญาณอีกดวงควบคุมไว้เขาย่อมไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องทำลายจิตวิญญาณอีกดวง เพื่อให้จิตวิญญาณของน้องสาวได้ครอบครองร่างคืน
แต่หากจิตวิญญาณของหนิงหลิงยู่ถูกจิตวิญญาณอีกดวงทำลายจนแตกสลายแล้ว หลิงหยุนก็สาบานว่า เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายดวงจิตของนางให้แตกสลาย จนไม่สามารถกลับมาจุติได้อีก..
แต่หลิงหยุนก็มิได้วิตกังวลในเรื่องนี้มากนักเพราะเขารู้ดีว่า ตราบใดที่หนิงหลิงยู่ยังไม่เข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐาน ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะทำลายจิตวิญญาณอีกดวงได้ แม้นางจะเป็นเทพธิดาก็ตามที..
และต่อให้นางสามารถทำได้จริงจิตวิญญาณของนางเองก็ต้องได้รับความเสียหายอย่างมากเช่นกัน และนั่นจะยิ่งทำให้นางฝึกฝนบ่มเพาะได้ยากเย็นยิ่งขึ้น อีกทั้งจากที่หลิงหยุนได้ฟังหนิงป๋อหยวน บอกเล่าถึงอุปนิสัยของหนิงหลิงยู่คนนี้ ทำให้เขายิ่งเชื่อมั่นว่านางจะไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงเชื่อมั่นว่า เวลานี้จิตวิญญาณของหนิงหลิงยู่เพียงแค่ถูกสะกัดกั้นไว้เท่านั้น เพียงแต่ยังหาโอกาสที่จะตอบโต้ไม่ได้ หลิงหยุนเชื่อว่า ด้วยนิสัยที่ดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ของน้องสาวคนนี้ หากมีโอกาส นางจะรีบฉวยไว้และพลิกสถานการณ์กลับมาได้อย่างแน่นอน!
แต่จะทำเช่นใดเพื่อให้หนิงหลิงยู่มีโอกาสตอบโต้จนสามารถควบคุมจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งได้ หรือแม้กระทั่งทำลายจิตวิญญาณอีกดวงให้แตกสลายได้นั้น ดูเหมือนจะต้องเป็นหน้าที่ของหลิงหยุน..
“ศึกครานี้เห็นทีอาวุโสทั้งสองคงต้องช่วยข้าแล้ว!”
หลิงหยุนเอ่ยบอกอาวุโสทั้งสองก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด..
“ข้าเองก็มิรู้ว่าหนิงหลิงยู่ในเวลานี้แข็งแกร่งมากเพียงใดแต่หากข้าต้องการจะช่วยน้องสาว ข้าจะต้องทำให้นางหมดสติ และทำให้จิตวิญญาณดวงนี้เข้าสู่ภวังค์หลับไหล ข้าจึงจะสามารถช่วยน้องสาวของข้าได้..”
“ข้าไม่สามารถสังหารหนิงหลิงยู่ได้และไม่อาจปล่อยให้นางหนีไปได้เช่นกัน มีเพียงแค่ต้องทำให้นางหลับไหล ซึ่งเป็นเรื่องที่ข้ามิอาจทำได้สำเร็จเพียงลำพังแน่..”
ครั้งนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตและความเป็นความตายของหนิงหลิงยู่ หลิงหยุนจึงต้องระมัดระวังให้มาก..
ช่วยตระกูลหนิง
ช่วยสำนักเล็กๆบนเขาคุนหลุน
หลิงหยุนไม่สนใจทั้งนั้นสิ่งเดียวที่เขาต้องทำในเวลานี้ก็คือ ช่วยชีวิตบุตรสาวของฉินจิวยื่อ เด็กสาวผู้มีรอยยิ้มและแววตาสดใส ก่อนที่นางจะเข้าสู่หายนะ!
“เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลยพวกเราทั้งสองจะทำอย่างสุดความสามารถ เท่าที่พวกเราจะสามารถทำได้เลยทีเดียว!”
ฉางเฟิงพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์เอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมกับเอามือไขว้หลัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร