Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1630

บทที่ 1630 : หารือเพื่อจัดการกับหนิงหลิงยู่
  หลังจากได้รับคำยืนยันหนักแน่นจากอาวุโสทั้งสองหลิงหยุนจึงเริ่มผ่อนคลายขึ้นบ้าง..
  เมื่อครั้งที่เขาได้ฟังเรื่องราวจากปากหนิงป๋อหยวนเขาก็ได้ปะติดปะต่อเรื่องราว จนพอจะสามารถเข้าใจในสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนได้ จากนั้นจิตใจของเขาก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย และหนักใจเป็นอย่างมาก
  เขาจึงได้เหาะขึ้นไปบนท้องนภาสูงกว่าสองหมื่นเมตรและพยายามสงบจิตใจที่ว้าวุ่นอย่างมากของตนเอง
  เวลานี้หลิงหยุนเข้าใจเรื่องทุกอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยุ่งยาก และหนักหนาครั้งนี้แล้ว!
  หลิงหยุนหาใช่ผู้ที่หวาดกลัวปัญหาหรือความยากลำบากแต่อย่างใด เขาเพียงแค่งุนงงสับสนว่า จะต้องทำเช่นใดต่อไปดีเท่านั้นเอง  ความจริงแล้วที่ผ่านมาหนิงหลิงยู่มิได้เล่นละครตบตาหลิงหยุนได้เก่ง แล้วก็ใช่ว่าหลิงหยุนจะตาบอดไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ แต่เป็นเพราะจิตใต้สำนึกของเขาเอง ที่ไม่อาจยอมรับความจริงว่า น้องสาวของตนเองได้เปลี่ยนไปจนดูประหนึ่งคนแปลกหน้า เขาจึงได้พยายามเลี่ยงที่จะเผชิญกับความจริงข้อนี้
  จนกระทั่งเย่ซิงเฉินสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ด้วยตัวเองและนางก็เป็นผู้บอกกล่าวเรื่องนี้กับเขา และย้ำว่าเขาจะควรจะต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น
  ฉินจิวยื่อกับหนิงหลิงยู่ต้องแยกจากกันนานถึงครึ่งปีแต่เพียงแค่นางเห็นหนิงหลิงยู่ในครั้งแรก นางก็สามารถมองเห็นความผิดปกตินี้ได้ในทันที และได้บอกกล่าวเรื่องนี้ให้กับหลิงหยุนรู้เช่นกัน
  แม้กระทั่งหลังจากที่หนิงหลิงยู่รับทัณฑ์สวรรค์สำเร็จฉางเฟิงเองก็พูดเป็นนัยๆให้หลิงหยุนรู้ว่า หนิงหลิงยู่คนนี้มิใช่หนิงหลิงยู่คนเดิมก่อนรับทัณฑ์สวรรค์
  แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลิงหยุนก็เอาแต่นิ่งเงียบ ไม่ลงมือทำอะไร แสร้งทำเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา จนกระทั่งถึงวันนี้..
  แม้กระทั่งเช้าเมื่อวานนี้ทั้งโฉวเปิ่นและฉางเฟิงต่างก็บอกเรื่องนี้กับหลิงหยุนเป็นนัยๆ ด้วยการเร่งเร้าให้เขาเดินทางไปยังเทือกเขาคุนหลุนโดยเร็ว แต่หลิงหยุนก็ยังปฏิเสธ และขอร้องอาวุโสทั้งสองมิให้ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว เขาจะขอเป็นคนจัดการเรื่องของหนิงหลิงยู่ด้วยตัวเอง
  ที่ผ่านมาหลังจากเริ่มสัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนไปของหนิงหลิงยู่ได้นั้น หลิงหยุนก็ได้ทำการทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
  นั่นเพราะในเบื้องลึกจิตใจของหลิงหยุนนั้นเขาแอบคิดไว้ว่า ตราบใดที่หนิงหลิงยู่ยังสามารถปกปิดความเปลี่ยนแปลงนี้จากสายตาของผู้อื่นได้ เขาก็ยังจะยอมรับว่านี่คือหนิงหลิงยู่น้องสาวของตน  พูดง่ายๆก็คือว่าตราบใดที่ยังดูเหมือนหนิงหลิงยู่คนเดิม หลิงหยุนก็พร้อมที่จะมองข้าม..
  หลิงหยุนเองก็รู้ตัวดีว่าที่ผ่านมานั้นตนเองทำตัวเสมือนคนกระหายน้ำ แม้จะรู้ว่าน้ำตรงหน้านั้นคือยาพิษ ก็ยังยินดีที่จะดื่มมาจนกระทั่งถึงวันนี้..
  ที่หลิงหยุนได้แต่นิ่งเงียบและเก็บเรื่องนี้ไว้ภายในใจคนเดียวนั้น เพราะไม่อาจทำใจยอมรับความจริงได้ว่า หนิงหลิงยู่คนเดิมจะไม่มีอีกแล้ว และหนิงหลิงยู่คนใหม่นี้ ก็คือจิตวิญญาณของใครบางคนที่เข้ามาแทนที่ ในเมื่อจิตวิญญาณของนางได้แตกสลายไปแล้ว จึงมีเพียงเรือนร่างของนางที่ทิ้งไว้ให้เขาได้ดูต่างหน้า
  แม้โลกจะโหดเหี้ยมไร้เมตตาแต่คนใช่จะไร้หัวใจ!
  หลิงหยุนไม่ต้องการให้หมัดของตนกระทบกับร่างกายของหนิงหลิงยู่ และยิ่งไม่ต้องการให้กระบี่ของตน ปักลงบนร่างของนางเช่นกัน จะอย่างไร ร่างนี้ก็เป็นร่างของหนิงหลิงยู่ซึ่งเป็นน้องสาวของเขา และเป็นสิ่งเดียวที่นางทิ้งไว้ให้หลิงหยุนดูต่างหน้า..
  ฉะนั้นหลิงหยุนยังคงคิดอยู่เสมอว่า ขอเพียงนางบอกเหตุผลที่เขารับฟังได้ เขาก็จะไม่ทำร้ายนาง!
  และที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้คือความรู้สึกของหลิงหยุนนับตั้งแต่รู้ว่า หนิงหลิงยู่ได้เปลี่ยนไป!
  แต่ทว่าเวลานี้..
  เวลานี้..
  ‘เจ้ามิคิดที่จะปิดบังสิ่งใดอีกแล้วสินะจิตวิญญาณอีกดวงในร่างของเจ้า ก็กำลังจะสร้างความปั่นป่วนให้กับประเทศนี้ ดูเหมือนเจ้ากำลังประกาศตัวเป็นศัตรูกับข้าอย่างเปิดเผย!’
  ในนางแสดงตัวชัดเจนว่ามิใช่หนิงหลิงยู่เช่นนี้หลิงหยุนก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องนิ่งเฉยอีกต่อไป  “หลิงยู่!ข้าขอโทษที่ต้องทำร้ายร่างกายเจ้า หากข้ามิทำเช่นนี้ พี่ชายของเจ้าคนนี้ ก็คงมิอาจช่วยเหลือเจ้าได้เป็นแน่!”
  “ข้าเชื่อว่าจิตวิญญาณของเจ้าที่ถูกสะกัดกั้นไว้ ก็คงจะคิดเช่นเดียวกับข้าเวลานี้!”
  นับว่ายังโชคดีที่เป็นจิตวิญญาณคู่หาใช่จิตวิญญาณดวงอื่นเข้ามาครอบครองร่าง เพราะหากเป็นเช่นนั้น จิตวิญญาณเดิมของหนิงหลิงยู่คงแตกสลายไปนานแล้ว
  “เอาล่ะ!ข้าปล่อยให้จิตวิญญาณของเจ้า ออกมาโลดแล่นนานเกินพอแล้ว!”
  เมื่อคิดมาถึงตรงนี้หลิงหยุนก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเริ่มเดินลมปราณทั่วร่าง เพื่อช่วยให้จิตใจกลับสู่ความสงบดังเดิม
  หลังจากจิตใจและอารมณ์กลับสู่ความสงบได้แล้วจิตวิญญาณในการต่อสู้ของหลิงหยุน ก็โชติช่วงขึ้นมาทันที
  และนี่คือหลิงหยุน!   ตราบใดที่เขานับคนผู้นั้นเป็นศัตรูแล้วล่ะก็ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม หลิงหยุนจะทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายให้จนได้ และเขาก็มิเคยย่อท้อกับเรื่องนี้!
  หลิงหยุนหันไปมองโฉวเปิ่นและเฉิงเฟิงพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “อาวุโสทั้งสอง ได้เวลาที่พวกเราจะวางแผนรับมือ และจัดการเรื่องนี้แล้ว”
  หลักการในการจัดการและรับมือกับ‘หนิงหลิงยู่’ ในครั้งนี้คือ ห้ามลงมือสังหารนาง และต้องมั่นใจว่านางจะไม่ได้รับบาดเจ็บจนสาหัส ด้วยเหตุนี้ หลิงหยุนจำต้องหารือกับอาวุโสทั้งสอง และจะประมาทไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
  “วิชาคลื่นคงคงวิชาดาราคุ้มกาย วิชากระบี่นวสังหาร วิชาพลังมังกร…”
  หลิงหยุนยกนิ้วมือขึ้นมานับวิชาต่างๆที่เขาได้เคยถ่ายทอดให้กับหนิงหลิงยู่แล้ว เขาถึงกับปวดศรีษะขึ้นมาทันที นั่นเพราะทั้งหมดที่เขาทำลงไปนั้น ล้วนแล้วแต่ไม่ต่างจากการยกก้อนหินขึ้นมา แล้วทุ่มลงใสฝ่าเท้าของตนเอง
  สีหน้าของหลิงหยุนเปลี่ยนเป็นวิตกกังวลและเศร้าหมองขึ้นมาทันที!
  นั่นเพราะเวลานี้ปรากฏชัดแล้วว่าจิตวิญญาณอีกหนึ่งดวงในร่างของหนิงหลิงยู่นั้น คือจิตวิญญาณของผู้เป็นเซียน ฉะนั้นแล้ว วรยุทธต่อสู้ของนางไม่น่าจะด้อยไปกว่าวรยุทธต่อสู้ของหลิงหยุน ที่ได้เคยถ่ายทอดให้กับหนิงหลิงยู่ไป
  จากเรื่องนี้ทำให้หลิงหยุนสามารถสันนิษฐานได้สองเรื่อง..
  เรื่องแรก..การที่สมาชิกทั้งเก้าของตระกูลหนิง เดินทางกลับถึงบ้านล่าช้าไปหลายชั่วโมงนั้น และเมื่อกลับมา ทุกคนต่างก็มีบุคลิก และอุปนิสัยเปลี่ยนไปอย่างมากจนน่าแปลกใจ เรื่องนี้หลิงหยุนสันนิษฐานว่า หนิงหลิงยู่คงจะใช้วิชาบางอย่าง ที่สามารถควบคุมจิตใจของมนุษย์ได้ ทำการควบคุมจิตใจของสมาชิกทั้งเก้าของตระกูลหนิง ทำให้พวกเขาเหล่านั้นเชื่อฟังคำสั่งของหนิงหลิงยู่อย่างเคร่งครัด แม้แต่ลูกหลานของตัวเอง ก็สามารถสังหารได้อย่างเลือดเย็น
  เรื่องที่สองเฉิงเฟิงได้บอกกับเขาว่า ผนึกภายในร่างของหนิงหลิงยู่ได้ถูกทำลายลงแล้ว หลิงหยุนสันนิษฐานว่า ต้องเป็นฝีมือของจิตวิญญาณดวงนี้ และนั่นบ่งบอกว่า หนิงหลิงยู่เวลานี้แข็งแกร่งมากเพียงใด
  ฉะนั้นหนิงหลิงยู่จึงนับเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด เท่าที่เขาเคยพบเจอมาเลยทีเดียว!
  ในระหว่างที่ปรึกษาหารือนั้นหลิงหยุนก็ได้บอกเล่าประสบการณ์การต่อสู้ในอดีต ให้อาวุโสทั้งสองฟังจนหมด จากนั้น ทั้งสามคนก็ช่วยกันคิดวางแผนอยู่นาน จนกระทั่งได้แผนการที่หลิงหยุนเองก็เห็นด้วย..
  แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงแค่แผนการเท่านั้นยังต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ฉุกเฉิน และเหตุการณ์เฉพาะหน้าในสนามต่อสู้อีกด้วย
  แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่แผนการเบื้องต้นอย่างน้อย หลิงหยุนก็ได้รับรู้ถึงศักยภาพ อาวุธ และวิธีการต่อสู้ของพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ และสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพได้ชัดเจน
  ในระหว่างที่คนทั้งสามกำลังนั่งขัดสมาธิปรึกษาหารือกัน อยู่บนท้องนภาเหนือผืนดินไปราวสองหมื่นเมตรนั้น จู่ๆ หลิงหยุนกันหันมองไปทางอาวุโสทั้งสองเลิกลั่ก จนฉางเฟิงอดรนทนไม่ได้ ถึงกับต้องขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถามออกไปว่า
  “นี่เจ้าเป็นอะไรกันแน่”
  “ขอถามอาวุโสทั้งสองอย่างตรงไปตรงมาข้ารู้สึกว่า ก่อนหน้านี้ที่ท่านคะยั้นคะยอให้ข้าไปเทือกเขาคุนหลุนโดยเร็ว ก็เพราะต้องการให้ข้าลงมือสังหารหนิงหลิงยู่ด้วยตัวเองใช่หรือไม่”
  “….”
  ฉางเฟิงถึงกับนิ่งอึ้งไปและดวงตาทั้งคู่ก็เหม่อมองไปทางอื่น ไม่พยายามที่จะสบตาหลิงหยุน ในขณะที่โฉวเปิ่นกลับพยักหน้าและยอมรับออกมาตามตรง
  “ถูกต้อง!หากเจ้าปฏิเสธที่จะไม่ลงมือ ข้ากับฉางเฟิงได้ตัดสินใจแล้วว่า จะร่วมมือกันสังหารนางด้วยตัวเอง!”
  “เพราะเหตุใดกัน”
  “เหตุผลหาได้มีอะไรซับซ้อนไม่!ทั้งเจ้าและนางต่างก็อยู่บนเส้นทางการต่อสู้ประหัดประหารกัน หากไม่สังหารนางในตอนนี้ ปล่อยให้นางฝึกฝนบ่มเพาะจนแข็งแกร่งมากขึ้น นางก็จะยิ่งเป็นอันตรายต่อเจ้าด้วยเช่นกัน หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา แผนการที่สามจักรพรรดิวางไว้ จะมิพังทะลายลงไปด้วยรึ”
  หลังจากได้ฟังคำตอบของโฉวเปิ่นหลิงหยุนจึงได้นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถามขึ้นว่า “แล้วหากข้าคัดค้านมิยินยอมให้ท่านทั้งสองทำเช่นนั้นเล่า”
  “เอ่อ…”
  หลังจากได้ยินคำถามของหลิงหยุนทั้งฉางเฟิงและโฉวเปิ่นต่างก็หันไปมองหน้ากันอยู่นาน สีหน้าของคนทั้งคู่คล้ายกับกำลังสื่อสารกันผ่านทางจิต และในที่สุดทั้งคู่ต่างก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
  โฉวเปิ่นหันไปมองหลิงหยุนอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็เอ่ยตอบไปว่า “พวกเราทั้งคู่ย่อมต้องยึดความเห็นของเจ้าเป็นหลัก!”
  “เยี่ยมมาก!”
  หลิงหยุนร้องอุทานออกมาพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก เรื่องนี้สำคัญกับหลิงหยุนมาก เพราะเมื่อมาถึงจุดที่ขัดแย้งกัน เขาต้องมั่นใจว่าตนเองจะเป็นผู้ที่ตัดสินใจเด็ดขาด!
  หลังจากวางแผนเสร็จสิ้นแล้วก็เป็นเวลายามบ่ายพอดี..
  “ไปกันแล้ว!”
  หลิงหยุนเหาะลงไปบนยอดเขาแห่งหนึ่งของเทือกเขาคุนหลุนส่วนโฉวเปิ่นและฉางเฟิงต่างก็กลับเข้าไปในร่างของเขา
  หลิงหยุนนำเครื่องมือสื่อสารของหน่วยนภาออกมาและทำการติดต่อกลับไปหาโจวเหวินอี้ทันที
  “หลิงหยุนเวลานี้เจ้าอยู่ที่ใด ข้าพยายามติดต่อเจ้ามาสองสามวันแล้ว แต่กลับไม่สามารถติดต่อได้ นี่เจ้าโยนวิทยุสื่อสารของข้าไว้ในแหวนอีกแล้วสินะ?”
  ทันทีที่หลิงหยุนติดต่อกลับไปเสียงของโจวเหวินอี้ก็ดังขึ้นมาทันที และยังคงดังต่อเนื่อง จนหลิงหยุนไม่สามารถพูดแทรกได้ และในที่สุด โจวเหวินอีก็เอ่ยบอกเขาว่า
  “เทือกเขาคุนหลุน!เวลานี้เกิดเรื่องใหญ่ที่เทือกเขาคุนหลุนแล้ว! ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา สำนักน้อยใหญ่บนเทือกเขาคุนหลุน ถูกคนถล่มยับและศิษย์ในสำนักถูกเข่นฆ่าตายไปมากมาย! ที่สำคัญ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด ข้าเชื่อว่าเจ้าคงคิดไม่ถึง…”
  “ข้ารู้!เป็นฝีมือของหนิงหลิงยู่..” หลิงหยุนเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
  “ห๊ะ!นี่เจ้า.. เจ้ารู้เรื่องนี้แล้วรึ?”   โจวเหวินอี้ถึงกับนิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจเขาคิดไม่ถึงจริงๆว่า หลิงหยุนจะรู้เรื่องนี้แล้ว
  “เวลานี้ข้าอยู่บนยอดเขาที่สุดของเทือกเขาคุนหลุนแล้ว!”
  “ฮู่ว..”
  หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนโจวเหวินอี้ถึงกับต้องเป่าปากด้วยความโล่งใจ จากนั้นจึงได้บอกกับหลิงหยุนว่า
  “เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของหน่วยนภาโดยตรงอาวุโสภายในหน่วยหลายคน ต่างก็ต้องการจะออกไปจัดการกับเรื่องนี้ แต่เพราะข้ารู้ว่าตระกูลหนิงกับเจ้ามีความเกี่ยวพันกัน ข้ากับเย่ชิงเฟิงจึงได้ช่วยกันยับยั้งอาวุโสทั้งหมดไว้ และพยายามดึงเวลามานานถึงสามวัน หากวันนี้ข้ายังไม่สามารถติดต่อเจ้าได้ เชื่อว่าคงไม่อาจยื้อเวลาได้อีกแล้วเช่นกัน..”
  “ข้าฝากบอกอาวุโสทั้งหมดที่จะมาด้วยว่าหากพวกเขาต้องการจะมาจัดการกับเรื่องนี้ ข้าเองก็ไม่ขัดข้อง เพียงแต่.. หากมาแล้ว อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปแม้แต่คนเดียว!”
  “….”
  โจวเหวินอี้ได้แต่นิ่งเงียบไปอีกครั้งในที่สุดก็กระซิบตอบหลิงหยุนไปว่า “ได้! ข้าจะยับยั้งพวกเขาเอง ว่าแต่.. นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลหนิงกันแน่”
  “นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของข้าข้ามิจำเป็นต้องรายงานผู้ใด และมิต้องการให้หน่วยนภายื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้!”
  หลิงหยุนตอบโจวเหวินอี้กลับไปตรงๆ“ข้ารับปากว่า ภายในสามวันจะหยุดยั้งเรื่องนี้ได้แน่! และเมื่อถึงตอนนั้น ข้าย่อมมีเหตุผลที่จะอธิบายให้กับทุกคนฟัง!”
  ภายในเวลาเพียงแค่เจ็ดวันแต่สำนักต่างๆบนเทือกเขาคุนหลุน กลับถูกถล่มและศิษย์ถูกสังหารตายไปถึงเก้าสำนักพร้อมกันเช่นนี้ ย่อมส่งผลถึงเสถียรภาพของโลกบ่มเพาะในประเทศนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่หน่วยนภาจะนิ่งเฉยไม่ทำอะไร  และที่หลิงหยุนติดต่อไปหาโจวเหวินอี้นั้นก็หาใช่เรื่องนี้ไม่..
  “ข้าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับสำนักต่างๆในเทือกเขาคุนหลุนทั้งหมดตั้งแต่ที่ตั้ง จำนวนศิษย์ในสำนัก และจำนวนยอดฝีมือที่เป็นแกนนำของแต่ละสำนัก แล้วก็…”
  สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับหลิงหยุนในเวลานี้ก็คือข้อมูลทั้งหมดรองลงมาคือตามหาหนิงหลิงยู่ให้พบ
  “ได้!แล้วข้าจะรีบส่งข้อมูลทั้งหมดให้กับเจ้า!” โจวเหวินอี้ตอบทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร