Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1631

บทที่ 1631 : วิชามารที่แข็งแกร่ง
  เหตุใดหลิงหยุนจึงต้องการที่จะเข้าร่วมหน่วยนภาอย่างนั้นหรือ
  จุดประสงค์เดิมในตอนแรกคือต้องการได้รับทรัพยากรในการฝึกฝนบ่มเพาะพลัง แต่เวลานี้ ทรัพยากรที่เขาได้จากหน่วยนภานั้น นับว่าน้อยนิดมากหากเทียบกับสิ่งที่เขามีอยู่
  แต่สิ่งสำคัญเหนือกว่านั้นทีหน่วยนภามีแต่หลิงหยุนไม่มีก็คือ.. ข่าวสารต่างๆ ทั้งเบื้องลึก และไม่ลึก ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อหลิงหยุนทั้งสิ้น!
  ข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์อย่างไรน่ะหรือ
  ยกตัวอย่างเมื่อครั้งที่หลิงหยุนเดินทางไปถล่มสำนักต่างๆของเหล่าพันธมิตรหนานหยาง หากไม่ได้ข้อมูลเบื้องลึกจากโจวเหวินอี้แล้วล่ะก็ เขาก็คงจะไม่สามารถปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
  และอีกหลายครั้งที่ข้อมูลจากโจวเหวินอี้แม้เพียงเล็กน้อย ก็ได้ช่วยให้หลิงหยุนสามารถสะสางปัญหา จนผ่านพ้นไปได้ด้วยดีหลายครา
  สำหรับหลิงหยุนข้อมูลต่างๆ ช่วยขจัดปัญหาในเรื่องเล็กๆน้อยๆให้กับเขาได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมีส่วนช่วยให้เขาสะสางปัญหาต่างๆได้ง่ายขึ้น ดังคำพูดว่า รู้เขารู้เรา มีชัยไปกว่าครึ่ง!
  เช่นเดียวกับกองทัพต่างๆในโลกปัจจุบันนี้ล้วนแล้วแต่มีหน่วยข่าวลับข่าวกรองอยู่เต็มไปหมด เรียกได้ว่า ก่อนที่กองทัพจะขยับ ข้อมูลต่างๆก็ต้องถึงมือก่อนแล้ว
  กระทั่งข้อมูลของสำนักต่างๆที่อยู่นอกประเทศจีน หน่วยนภายังล่วงรู้อย่างละเอียด เช่นนี้แล้ว ข้อมูลของสำนักน้อยใหญ่ภายในประเทศนี้ จึงมิใช่เรื่องใหญ่สำหนับหน่วยนภาเลย
  และหลังจากที่โจวเหวินอี้วางสายไปได้ไม่นานเขาก็ได้ส่งข้อมูลของสำนักต่างๆ ที่อยู่ในเทือกเขาคุนหลุนมาให้หลิงหยุนทันที..   สำนักฉางชุน– ตั้งอยู่บริเวณจุดตัดระหว่างเขาคุนหลุนกับเขาชิงหลิง มียอดฝีมืออยู่ในสำนักทั้งสิ้นสามสิบหกคน
  เจ้าสำนักนามว่าจางซิ่วหลินอยู่ในระดับสูงสุดขั้นปฐมชี่ มียอดฝีมืออาวุโสอยู่ทั้งหมดสามคน ทั้งหมดล้วนมีพลังบ่มเพาะอยู่ในขั้นปฐมชี่ระดับเริ่มต้น ส่วนผู้พิทักษ์กฏทั้งห้าของสำนัก อยู่ในขั้นเซียงเทียน-7 ไปจนถึงขั้นเซียงเทียน-9
  ศิษย์อีกจำนวนสิบสองคนอยู่ในขั้นเซียงเทียน-1ถึงขั้นเซียงเทียน-6 และที่เหลือก็อยู่ในขั้นที่ต่ำกว่านั้น
  ข้อมูลทั่วไป– สำนักฉางชุนถือกำเนิดในประเทศจีน และสืบทอดมานานนับพันปี โดยผู้ก่อตั้งสำนักมีนามว่าฉางชุนจื่อ ประวัติเล่าว่า เจ้าสำนักคนแรกอยู่ในขั้นแก่นปราณทองคำ และมีเจ้าสำนักมาแล้วทั้งหมดยี่สิบเจ็ดคน
  จุดมุ่งหมายของสำนัก– มุ่งสู่การมีอายุขัยที่ยืนยาว ศิษย์สำนักฉางชุนจึงอาศัยอยู่ในป่าลึกบนเขาสูง ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายในอก และหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับสำนักอื่นๆ
  ข้อมูลเพิ่มเติม– สำนักฉางชุนถูกทำลายลงแล้ว และศิษย์กว่าครึ่งถูกสังหารตาย ที่เหลือหายไปอย่างไร้ร่องรอย
  หมายเหตุ– ยังมีข้อมูลบางส่วนที่กำลังสืบหาข้อเท็จจริงอยู่ เมื่อได้มาแล้วจะแจ้งให้ทราบ
  สำนักลิ่วเสวียนเหมิน– ตั้งอยู่บริเวณ..
  ตามมาด้วยข้อมูลของตระกูลต่างๆอย่างทวนเหล็กตระกูลเล่ย ตระกูลชางกวน สำนักดาบสวรรค์ เรื่อยไปจนถึงข้อมูลของตระกูลหนิง
  ยังมีข้อมูลของสำนักเบญจธาตุสำนักประตูเทวะ และสำนักอื่นๆอีกมากมาย เรื่อยลงมาจนกระทั่งถึงสำนักกระบี่คุนหลุน!
  “สวรรค์!”
  นิ้วมือของหลิงหยุนเลื่อนผ่านหน้าจอเครื่องมือสื่อสารไปเรื่อยๆเพื่ออ่านข้อมูลของสำนักต่างๆโดยเร็ว เขาถึงกับต้องร้องอุทานออกมา เมื่อได้อ่านข้อมูลของสำนักต่างๆ ที่อยู่ในเทือกเขาคุนหลุนจนหมด!
  นั่นเพราะข้อมูลทั้งหมดที่โจวเหวินอี้ส่งมาให้เขานั้นทั้งละเอียดแล้วก็เป็นข้อมูลเบื้องลึก จนเขาอดที่จะร้องอุทานออกมาไม่ได้
  สมกับเป็นองค์กรที่ทรงพลังจริงๆ!
  นอกจากในข้อมูลของโจวเหวินอี้จะบอกที่ตั้งของแต่ละสำนักอย่างละเอียดแล้ว เขายังได้ส่งโลเคชั่นของแต่ละสำนักมาให้หลิงหยุนอีกด้วย นอกเหนือจากนั้นยังมีจำนวนศิษย์ของแต่ละสำนัก ชื่อเจ้าสำนัก และแกนนำของแต่ละสำนัก ละเอียดไปจนถึงขั้นพลังบ่มเพาะของแต่ละคน และยังมีรายละเอียดอื่นๆอีกมากมาย
  แม้กระทั่งข้อมูลบางอย่างที่โจวเหวินอี้ยังไม่สามารถสืบรู้ได้เขาก็ยังหมายเหตุไว้ในข้อมูลด้านล่างว่า อยู่ในระหว่างการสืบค้น และจะแจ้งให้หลิงหยุนทราบต่อไป
  กระทั่งสำนักสำคัญอย่างสำนักกระบี่คุนหลุนโจวเหวินอี้ก็ได้บอกขั้นพลังบ่มเพาะของแกนนำในสำนักแต่ละคนอย่างละเอียด อีกทั้งยังบอกลักษณะนิสัยใจคอของแต่ละคนให้รู้ด้วย
  “สวรรค์!นี่มันตำราสำนักต่างๆบนโลกใบนี้หรืออย่างไรกัน”
  หลิงหยุนอดที่จะประชดประชันออกมาไม่ได้หลังจากได้รับข้อมูลอย่างละเอียดจากโจวเหวินอี้ ซึ่งนับว่าเกินกว่าที่หลิงหยุนคาดคิดไว้มากนัก
  แต่ถึงอย่างไรหลิงหยุนก็ชื่นชอบการทำงานของโจวเหวินอี้ยิ่งนักเพราะอย่างน้อย ก็ช่วยให้เขาประหยัดเวลาที่จะต้องเสียไปกับเรื่องเหล่านี้โดยไม่จำเป็น
  นับว่าเครื่องมือสื่อสารของหน่วยนภาเป็นมากกว่าโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อเท่านั้น มันมีประโยชน์มากมายกว่าที่เขาคิดไว้มากทีเดียว!
  ยิ่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งในหน่วยนภามากเพียงใดก็จะยิ่งมีสิทธิ์ล่วงรู้ข้อมูลลับๆ และข้อมูลสำคัญได้มากขึ้นเท่านั้น และแน่นอนว่า หลิงหยุนก็เป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงคนหนึ่งของหน่วยนภา และดูเหมือนจะเป็นรองเพียงแค่โจวเหวินอี้
  “หากเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ว่าข้าจะไปที่ใด หรือว่าทำอะไร ข้าคงต้องพกเครื่องมือสื่อสารของหน่วยนภาไปด้วยทุกที่สินะ?”
  หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้ใช้เครื่องมือสื่อสาร ติดต่อหลี่เพียวหยางให้มาพบกันที่จุดนัดหมายเดิม..
  “ท่านเจ้าสำนักแย่แล้ว! สำนักกระบี่คุนหลุนกำลังเกิดเรื่อง..”
  ทันทีที่หลี่เพียวหยางมาถึงก็รีบรายงานให้หลิงหยุนฟังด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก ในขณะที่หลิงหยุนเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ เป็นการส่งสัญญาณบอกหลี่เพียวหยางเป็นนัยๆว่า เขารู้เรื่องนี้แล้ว
  เหตุผลที่หลิงหยุนแยกกับหลี่เพียวหยางเมื่อเช้านี้ก็เพื่อต้องการให้เขาไปหาที่สงบฝึกฝนวิชา แต่กลับคิดไม่ถึงว่า หลี่เพียวหยางจะแอบไปสืบข่าวมาให้ ทำให้หลิงหยุนตระหนักถึงน้ำใจของหลี่เพียวหยาง และความจริงใจของเขาที่จะทำงานให้กับตน
  นับเป็นอีกหนึ่งคนที่หลิงหยุนจะวางใจเรียกใช้งานได้!
  “เอาล่ะข้าจะพาเจ้าไปหาอาหารอร่อยๆกินก่อน จากนั้นจึงค่อยเริ่มงาน..”
  หลี่เพียวหยางแสดงสีหน้าดีอกดีใจออกมาอย่างชัดเจนที่จะได้รับประทานอาหารกับเจ้าสำนัก..
  จากนั้นทั้งคู่ก็เหาะออกจากยอดเขา มุ่งหน้าไปยังเมืองใหญ่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก หลังจากมองหาสถานที่ลับตาคนได้แล้ว ทั้งคู่ก็ร่อนลงบนพื้นดินแล้ว หลิงหยุนเลือกภัตตาคารขึ้นชื่อแห่งหนึ่ง เพื่อหาอาหารเอร็ดอร่อยรับประทานกับหลี่เพียวหยาง
  นับตั้งแต่แยกจากมู่หลงเฟยจื่อที่เกาะฮ่องกงหลิงหยุนก็ไม่ได้รับประทานอาหารอย่างจริงจังมานานหลายวัน แม้ว่าเขาจะอยู่ในขั้นที่สามารถอดอาหารได้นานถึงสองสามอาทิตย์ โดยไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อร่างกายก็ตาม แต่ในเมื่อเขากำลังจะไปปฏิบัติภารกิจใหญ่หลวง ซึ่งต้องปะทะกับศัตรูในสนามรบ หลิงหยุนจึงจำเป็นต้องกินอาหารเข้าไปให้อิ่มเต็มที่เสียก่อน
  จนกระทั่งเวลาบ่ายสามโมงตรงหลิงหยุนและหลี่เพียวหยางจึงได้ออกเดินทาง และจุดหมายปลายทางแรกที่ทั้งสองคนไปถึง ก็คือยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักฉางชุน
  และเป็นอย่างที่คิดไว้เวลานี้สำนักฉางชุนเหลือเพียงความว่างเปล่า..
  “ไม่ผิดจากที่คิดไว้จริงๆสำนักฉางชุนถูกทำลายสิ้นแล้ว ร่างไร้วิญญาณนอนเกลื่อนกลาดมากมาย ที่เหลือน่าจะต้องหลบหนีเอาชีวิตรอด..”
  หลิงหยุนและหลี่เพียงหยางเหาะลงไปยังพื้นที่จตุรัสเล็กๆด้านล่างซึ่งดูคล้ายกับลานฝึกวรยุทธ ที่เหล่าศิษย์สำนักฉางชุนใช้ฝึกวิชาอยู่เป็นประจำ
  หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจและเวลานี้รัศมีจิตหยั่งรู้ของเขาก็ได้ครอบคลุมบริเวณทั่วทั้งเทือกเขาไว้ได้ เพื่อทำการสำรวจหาผู้ที่ยังมีชีวิตรอด
  การที่หลิงหยุนมาที่นี่นั้นจุดประสงค์ก็เพื่อหาเบาะแสบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจร่องรอยการต่อสู้ หรือการชันสูตรศพที่นอนตายเกลื่อนกลาดนี้ เพื่อที่จะได้เข้าใจว่า ทั้งหนิงหลิงยู่และสมาชิกตระกูลหนิงที่ติดตามนางมานั้น เปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด
  แน่นอนว่าหากเขาสามารถค้นหาผู้ที่ยังรอดชีวิตได้ คนเหล่านั้นจะเป็นผู้ที่สามารถบอกเล่า และอธิบายเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นได้ดีที่สุด
  ในขณะนั้นหลี่เพียวหยางที่ไปสำรวจบริเวณโดยรอบของสำนักฉางชุน ก็เข้ามารายงานด้วยสีหน้าประหลาดใจ
  “ท่านเจ้าสำนักน่าแปลกประหลาดมากจริงๆ ที่สภาพภายในสำนักแห่งนี้ยังอยู่ในสภาพที่เรียบร้อยดี ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของการต่อสู้ด้วยซ้ำไป หรือว่าพวกเขา..”
  “เป็นไปไม่ได้!”   หลิงหยุนส่ายหน้าปฏิเสธทันทีพร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเขามิได้ปลิดชีพตัวเอง! จากข้อมูลที่ข้าได้มา พวกเขาน่าจะถูกคนสังหารตายโดยที่ไม่มีโอกาสแม้แต่ตอบโต้ หรือต่อต้านต่างหากเล่า!”
  หลี่เพียวหยางครุ่นคิดอย่างละเอียดอีกครั้งจู่ๆเขาก็พยักหน้า และเอ่ยขึ้นว่า “เอ่อ.. ท่านเจ้าสำนัก เป็นไปได้หรือไม่ว่าข้อมูลที่ท่านได้มานั้นคลาดเคลื่อน..”
  หลิงหยุนถึงกับต้องปรายตามองหลี่เพียวหยางเล็กน้อยก่อนจะยืนกรานหนักแน่น “ข้อมูลของข้าไม่ผิดแน่!”
  “เจ้าตามข้ามา!”
  จู่ๆหลิงหยุนก็ร้องตะโกนบอกหลี่เพียวหยาง พร้อมกับกระโดดเหาะขึ้นไปบนท้องนภา มุ่งหน้าไปยังหุบเขาที่อยู่ลึกลงไปราวสามร้อยเมตร
  เมื่อลงไปถึงหลิงหยุนก็ก้มลงจับร่างไร้วิญญาณที่อยู่ในกอหญ้าขึ้นมาสำรวจดู ดูเหมือนศพของชายผู้นี้จะถูกโยนลงมาจากหน้าผาด้านบน เพื่อเป็นการอำพรางซากศพมิให้ผู้ใดพบเห็น
  สภาพศพมีลักษณะผอมแห้งหนังติดกระดูกดวงตาเบิกโพลง ริมฝีปากอ้ากว้าง กระดูกแขนขา และกระทั่งกระดูกนิ้วทุกนิ้วล้วนแตกหักไม่มีชิ้นดี นับเป็นการตายที่น่าอนาถ และน่าเวทนายิ่งนัก!
  “ท่านเจ้าสำนักคนผู้นี้เป็นใครกัน! เหตุใดจึงได้ตายอย่างน่าเวทนาเช่นนี้?” หลี่ผอหยางเห็นสภาพศพเข้า ถึงกับต้องร้องถามหลิงหยุนออกมาด้วยสีหน้าตกอกตกใจ
  “ไม่สำคัญว่าเขาจะเป็นผู้ใดแต่สำคัญว่าก่อนสิ้นลม เขาได้ถูกดูดซับลมปราณจนหมดร่าง ก่อนจะถูกจับโยนลงจากหน้าผาแห่งนี้!”
  เพียงแค่ได้เห็นสภาพซากศพหลิงหยุนก็พอที่จะคาดเดาข้อมูลต่างๆได้
  แม้ว่าหลิงหยุนเองจะดูดซับพลังปราณของผู้อื่นได้แต่เขาก็ดูดซับเพียงแค่พลังปราณเท่านั้น!   แต่สภาพศพของชายผู้นี้ดูราวกับถูกสังหารตายด้วยกระบี่โลหิตเทวะของเขา ซึ่งสามารถดูดเอาโลหิตในร่างของผู้ตายเข้าไปได้จนเหือดแห้ง แต่ถึงกระนั้น หลิงหยุนก็ไม่พบร่องรอยบาดแผลบนร่างกายของชายผู้นี้เลยแม้แต่น้อย
  อีกทั้งหลิงหยุนยังมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของหนิงหลิงยู่เป็นแน่ เพราะเรือนร่างของนางคือกายอัปสร นางอาจจะดูดซับพลังปราณของผู้อื่นได้ แต่ต้องมิใช่โลหิตเป็นแน่!
  ในเมื่อมิใช่ฝีมือของหนิงหลิงยู่ย่อมต้องเป็นฝีมือของผู้อื่น ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้ นอกจากเหล่าสมาชิกตระกูลหนิง
  “นี่มัน..วิชามาร! ต้องเป็นวิชามารแน่ๆ ถึงได้โหดเหี้ยมแล้วก็น่าสยดสยองถึงเพียงนี้!”
  หลี่เพียวหยางถึงกับร้องอุทานออกมาพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นหวาดกลัว และรู้สึกสยดสยองอย่างบอกไม่ถูก
  “ถูกต้อง!และต้องเป็นวิชามารที่แข็งแกร่งอย่างมากทีเดียว!”   ระหว่างที่เอ่ยตอบหลี่เพียวหยางนั้นหลิงหยุนก็ได้ใช้วิชาใต้พิภพ ทำให้ศพเหล่านั้นแซกซึมลงไปในผืนดินเบื้องล่าง
  ในเมื่อสิ้นใจไปแล้วก็ควรให้ร่างกายกลับคืนสู่ผืนดินตามธรรมชาติ!
  หลี่เพียวหยางจ้องมองซากศพที่ค่อยๆจมหายไปในผืนดิน ราวกับจมหายไปในทะเลสาบ ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความงุนงง..
  “ท่านเจ้าสำนักง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวรึ”
  หลิงหยุนปรายตามองหลี่เพียวหยางพร้อมตอบกลับไปว่า “ความจริงยังง่ายกว่านี้อีกมาก เพียงแต่ยังขาดซากศพที่จะมาแสดงให้เจ้าดูได้..”
  “แค๊ก..แค๊ก..” หลังจากได้ยินคำตอบของหลิงหยุน หลี่เพียวหยางถึงกับต้องแสร้งทำเป็นไอออกมา เพื่อหยุดการสนทนาในเรื่องนี้ทันที
  หลิงหยุนเห็นท่าทางของหลี่เพียวหยางแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างนึกขัน และได้แต่คิดในใจว่า ชายชราผู้นี้น่าสนใจกว่าหวังชงเซียวนัก อย่างน้อยก็ทำให้เขาได้ครื้นเครงขึ้นบ้าง
  หลิงหยุนเรียกโอสถออกมาจากแหวนขวดหนึ่งเขายื่นให้กับหลี่เพียวหยางพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเอาเวลาที่จะมาประจบเยินยอข้า ไปหมั่นฝึกฝนวิชาจะดีกว่า โอสถในขวดนี้จะช่วยให้เจ้าสามารถเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ได้ง่ายดายขึ้น!”
  หลังจากนั้นหลี่เพียวหยางก็คุกเข่าลงตรงหน้าหลิงหยุน พร้อมกับปาดน้ำตา ในขณะเดียวกันก็เอ่ยขอบคุณหลิงหยุนด้วยความซาบซึ้งใจ
  ส่วนหลิงหยุนนั้นทะยานขึ้นไปหยุดรอบนท้องนภาเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางต่อไป หลังจากที่หลี่เพียวหยางเช็ดน้ำตาเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็เหาะออกจากสำนักฉางชุนทันที
  ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็ได้เอ่ยถามหลี่เพียวหยางว่า “ในเมื่อเจ้าสำนักคนแรกมีพลังบ่มเพาะสูงส่งถึงขั้นแก่นปราณทองคำ เหตุใดจึงมิสร้างค่ายกลปกป้องสำนักไว้ให้ศิษย์รุ่นหลัง”
  หลี่เพียวหยางทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยตอบหลิงหยุนไปว่า “ในความเห็นของข้า เป็นไปมิได้ที่เจ้าสำนักฉางชุนจะไม่สร้างค่ายกลปกป้องสำนักไว้ สำนักฉางชุนเคยเป็นสำนักบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่สำนักหนึ่งในอดีตกาล แต่เมื่อเกือบร้อยปีก่อน ศิษย์สำนักฉางชุนหลายคนได้โยกย้ายออกไปจากที่นี่ คาดว่าค่ายกลน่าจะถูกถอนออกด้วยนับแต่นั้น..”
  “แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ตำนานเรื่องเล่า..”หลี่เพียวหยางรำพึงรำพัน
  หลิงหยุนถึงกับแอบสะท้านใจพร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า “พวกเขาย้ายไปที่ใดรึ”
  “คุนหลุน!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร