Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1632

บทที่ 1632 : สร้างความหายนะให้กับประเทศ
  เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ดูเหมือนแววตาของหลี่เพียวหยางจะเป็นประกายขึ้นมาทันที แต่เมื่อเห็นความเร็วในการเหาะด้วยกระบี่เหินของหลี่เพียวหยาง หลิงหยุนก็ถึงกับต้องชะลอความเร็วลง เพื่อมิให้หลี่เพียวหยางต้องใช้พลังมากจนเกินไป
  จากนั้นทั้งคู่ก็เหาะไปพร้อมกับสนทนากันไประหว่างทางด้วย หลิงหยุนเองก็ตั้งใจฟังเรื่องที่หลี่เพียวหยางเล่าด้วยความเพลิดเพลิน และช่วยลดความเบื่อหน่ายในระหว่างการเดินทางได้มากทีเดียว
  “ตามตำนานเล่าว่าไม่เพียงสำนักฉางชุนเท่านั้นที่เดินทางไปคุนหลุน ยังมีสำนักน้อยใหญ่อื่นๆอีกที่ต่างก็ย้ายไปคุนหลุนด้วยเช่นกัน และดูเหมือนพวกเขาจะไปก่อนหน้าสำนักฉางชุนนับร้อยๆปีเลยทีเดียว..”
  “ด้วยเหตุนี้คนทั่วไป หรือแม้กระทั่งสำนักน้อยใหญ่ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ จึงมิค่อยล่วงรู้ความจริงเรื่องนี้กันนัก..”
  “แล้วเหตุใดพวกเขาจึงต้องย้ายไปคุนหลุนด้วย”
  “นี่..”
  หลี่เพียวหยางลืมตัวกำลังจะเอ่ยปากตำหนิในความไม่รู้ของหลิงหยุน แต่เมื่อนึกขึ้นไดว่าหลิงหยุนเป็นใคร เขาก็ถึงกับเหงื่อตกขึ้นมาทันที และรีบระงับคำพูดไว้เพียงเท่านั้น แล้วหันมาตอบคำถามของหลิงหยุนแทน
  “ประการแรกสำนักเหล่านั้นมีความแข็งแกร่งมากพอ จึงได้รับคำเชิญจากคุนหลุนให้ย้ายไป ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญก็คือ พลังชีวิตในบริเวณที่พวกเขาอยู่นั้น ค่อยๆร่อยหรอลงไปมาก จึงไม่เหมาะสมต่อการฝึกของศิษย์ในสำนักอีกต่อไป พวกเขาจึงเลือกที่จะย้ายไปตามคำเชิญของคุนหลุน”
  หลังจากที่ได้ยินคำตอบของหลี่เพียวหยางหลิงหยุนได้แต่นิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยถามขึ้นว่า  “เหตุใดพวกเขายังทิ้งมรดกของสำนักไว้ที่เทือกเขาคุนหลุนนี้ด้วยเล่า”
  “มรดกสำนักอะไรกันเล่า!ทันทีที่ย้ายไปคุนหลุน พวกเขาต่างก็ถอนค่ายกลออกหมด ทั้งเจ้าสำนัก อาวุโส และศิษย์ต่างๆ ล้วนแล้วแต่ย้ายไปคุนหลุนกันหมด สิ่งที่ทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลังนั้น เรียกได้ว่าเป็นแค่เศษฟืนเท่านั้นล่ะ..”
  ในวัยหนุ่มนั้นหลี่เพียวหยางใฝ่ฝันอยากเป็นผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศในด้านการฝึกฝนบ่มเพาะพลัง และเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้กระบี่ผู้หนึ่งในแถบเทือกเขาคุนหลุน แต่แล้วในวัยยี่สิบเศษๆ ความฝันนี้ก็ต้องสะดุดลง เนื่องจากขาดแคลนทรัพยากรที่เหมาะสม และเพียงพอ ด้วยเหตุนี้หลี่เพียวหยางจึงตัดสินใจเข้าร่วมสำนักกระบี่เทียนซาน และตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนอย่างหนัก และกว่าจะได้เป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญเพลงกระบี่ ก็ในวัยที่สูงอายุแล้ว
  “เจ้ามีความรู้ดีมากเลยทีเดียว..”
  หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยชมหลี่เพียวหยางและข้อมูลของเขาก็เป็นประโยชน์ต่อหลิงหยุนไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งเวลาล่วงเลยไป หลิงหยุนก็ยิ่งพึงพอใจกับการทำงานของหลี่เพียวหยางมากขึ้นเท่านั้น
  “ท่านประมุขเยินยอข้าเกินไปความจริงเรื่องเหล่านี้ หากเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณเขตแดนของเขาคุนหลุน และสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่ หรือเหนือกว่านั้น มักจะรวมกลุ่มสนทนาแลกเปลี่ยนตำนานเรื่องราวต่างๆ ที่พวกตนได้ยินได้ฟังมา..”
  อาจเป็นเพราะโอสถที่หลิงหยุนนำออกมามอบให้กับหลี่เพียวหยางก็เป็นได้ทำให้เขาถึงกับเปิดใจยอมบอกเล่าความลับต่างๆมากมายให้หลิงหยุนฟัง
  การเปิดใจรับฟังผู้อื่นกับการเปิดใจบอกเล่าความลับให้ผู้อื่นฟังนั้น ทั้งสองสิ่งนี้มีความแตกต่างกัน..
  หลิงหยุนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เขาบุกไปถล่มสำนักกระบี่เทียนซานครั้งนั้นคุนหลุนเองก็ได้ส่งศิษย์ในขั้นก่อสร้างรากฐานออกมาถึงสี่คน และพวกเขายังสามารถนำคนภายนอกเข้าไปได้ด้วย ทำให้หลิงหยุนอดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้..
  “หลี่เพียวหยางตัวเจ้าเองเล่า ต้องการจะไปคุนหลุนบ้างหรือไม่”
  “มีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะที่มิอยากไปคุนหลุน!”
  หลังจากที่ตอบออกไปด้วยความลืมตัวเช่นนั้นและเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า หลิงหยุนคือเจ้าสำนักกระบี่คุนหลุนเวลานี้ หลี่เพียวหยางก็ถึงกับเหงื่อเปียกชุ่ม
  แต่ดูเหมือนหลิงหยุนจะไม่ถือสาและถามกลับไปว่า “แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าร่วมกับสำนักกระบี่คุนหลุนเล่า การเข้าไปอยู่ในสำนักกระบี่คุนหลุน จะทำให้มีโอกาสได้เข้าไปยังคุนหลุนมากกว่ามิใช่รึ?”
  หลังจากได้ยินหลิงหยุนถามเช่นนั้นหลี่เพียวหยางก็ได้แต่เชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งผยอง พร้อมตอบหลิงหยุนกลับไปว่า
  “การทำเช่นนั้นไม่ต่างจากทำตัวเป็นสุนัขเฝ้าบ้านข้ามิต้องการ..”
  “อ่อ..”
  หลิงหยุนถึงกับต้องจ้องมองหลี่เพียวหยางอย่างพินิจพิจารณาอีกครั้งและรู้สึกว่าชายผู้นี้มีอะไรน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
  ‘อยากจะไปคุนหลุนแต่มิต้องการเป็นสุนัขเฝ้าคุนหลุน!’
  “เจ้ารับไป!”
  หลังจากสำรวจดูหลี่เพียวหยางอย่างละเอียดหลิงหยุนจึงได้หยิบโอสถที่มีประกายเจิดจ้าขึ้นมาหนึ่งเม็ด พร้อมกับโยนให้กับหลี่เพียวหยางทันที และสั่งว่า
  “เจ้ากลืนโอสถนี่เข้าไปเดี๋ยวนี้!”
  หลี่เพียวหยางยื่นมือออกไปคว้าโอสถเม็ดนั้นไว้ได้อย่างรวดเร็วพร้อมกับเอ่ยถามหลิงหยุนด้วยสีหน้าหวาดระแวง
  “ท่านเจ้าสำนักนี่ท่านไม่ได้คิดวางยาข้าใช่หรือไม่”
  หลิงหยุนที่กำลังชื่นชมกับทัศนียภาพด้านล่างถึงกับแสยะยิ้มออกมา พร้อมตอบกลับไปว่า “วางยาเจ้างั้นรึ หากเจ้าไม่ต้องการก็คืนมาให้ข้า..”
  หลี่เพียวหยางได้ยินเช่นนั้นก็รีบโยนโอสถในมือเข้าไปในปากทันทีหลังจากกลืนลงท้องไปแล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่คล้ายกับระเบิดอยู่ในช่องท้อง จากนั้น หลี่เพียวหยางก็เริ่มรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตน
  หลังจากเฝ้าเพียรฝึกฝนอยู่นานหลายปีแต่ก็ไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ด่านต่อไปได้เสียที แต่โอสถนี้กลับทำให้เขาสามารถทะลวงเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ได้ในทันที ระดับสูงสุดขั้นชีเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-7) และเรื่อยไปจนเข้าสู่ระดับกลางขั้นปาเฉิงเชี่ (ขั้นพลังชี่-8)
  หลี่เพียวหยางถึงกับหยุดนิ่งด้วยความตกตะลึงอยู่กลางอากาศส่วนหลิงหยุนก็ได้แต่ยืนดูอยู่เงียบๆ
  เขารู้ก่อนหน้าแล้วว่าหากหลี่เพียวหยางได้กลืนโอสถนี้เข้าไป เขาจะสามารถพัฒนาขั้นพลังได้ในทันที เขาจึงได้แต่ยืนมองอยู่อย่างเงียบๆ และคอยปกป้องหลี่เพียวหยางให้สามารถพัฒนาขั้นพลังได้อย่างปลอดภัย
  แต่แล้วหลิงหยุนก็ถึงกับงุนงงเมื่อจู่ๆ หลี่เพียวหยางก็คว้ากระบี่เหินใต้ฝ่าเท้าขึ้นมาถือไว้ พร้อมกับทำท่าส่องมองราวกับเป็นกระจก แต่เมื่อเห็นหลิงหยุนกำลังจ้องมองอยู่ เขาก็รีบพุ่งเข้าไปหาหลิงหยุนทันที แล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นจับบ่าทั้งสองข้างของหลิงหยุนไว้ พร้อมกับเขย่าไปมาอย่างแรง
  “ท่านเจ้าสำนักข้าไม่สนใจว่าท่านให้อะไรข้ากินเข้าไป แต่เวลานี้ข้าต้องการกระจก ข้าต้องการกระจกเดี๋ยวนี้!”
  หลิงหยุนเห็นสีหน้าท่าทางของหลี่เพียวหยางแล้วก็ได้แต่ได้แต่คิดในใจว่า เขามอบโอสถโฉมสะคราญให้ผู้คนมามากมาย แม้ทุกคจะตกตะลึงกับผลลัพธ์ แต่ก็มิเคยมีผู้ใดแสดงอาการใหญ่โตเช่นหลี่เพียวหยางมาก่อน
  “นับว่าประสบความสำเร็จไม่น้อยทีเดียว!ไม่เพียงเจ้าสามารถทะลวงขั้นพลังที่ติดขัดมานานหลายปีได้ แต่กลับพัฒนาได้คราเดียวถึงสองขั้นเช่นนี้ นับว่ายอดเยี่ยมมากจริงๆ!” หลิงหยุนอดที่จะเอ่ยชมออกมาไม่ได้
  “เรื่องนั้นช่างมันเถิด!ข้า.. ข้าต้องการกระจกเดี๋ยวนี้! ท่านเจ้าสำนัก ในเมื่อท่านตั้งใจช่วยให้ข้าได้วัยหนุ่มกลับมาเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงไม่เตรียมกระจกมาให้ข้าด้วยเล่า”
  หลี่เพียวหยางดูเหมือนจะกระวนกระวายใจยิ่งนักและเวลานี้เขาถึงกับระเบิดน้ำตาออกมาเต็มหน้า
  “ปล่อยมือออกจากบ่าของข้าเดี๋ยวนี้!หากเจ้ายังไม่ยอมปล่อย ข้าจะถีบเจ้าตกลงไปเดี๋ยวนี้เลยทีเดียว!”
  หลิงหยุนร้องตะโกนบอกด้วยความโมโหพร้อมกับชี้มือลงไปยังผืนดินเบื้องล่าง และตวาดเสียงดังว่า
  “เจ้าอยากได้กระจกงั้นรึเช่นนั้นก็จงลงไปหาด้วยตัวเอง..”
  หลังจากเอ่ยจบหลิงหยุนก็ยกเท้าขึ้นจะถีบหลี่เพียวหยาง แต่เขากลับเป็นฝ่ายร่อนลงไปยังสำนักลิ่วเสวียนเหมินเสียก่อน
  เวลานี้ทั้งคู่ได้เหาะมาถึงสำนักลิ่วเสวียนเหมินแล้วและจากข้อมูลของหน่วยนภา สำนักลิ่วเสวียนเหมินนี้แข็งแกร่งกว่าสำนักฉางชุนมาก ฉะนั้น นอกจากซากศพที่เพิ่งตายเกลื่อน ก็ยังพบผู้รอดชีวิตส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน
  เวลานี้ผู้รอดชีวิตทั้งหกคนต่างก็อยู่รวมกลุ่มกันอยู่ด้านนอกสำนักสีหน้าของพวกเขาต่างก็บ่งบอกถึงความงุนงง และได้แต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา
  หลิงหยุนเหาะลงมาจากท้องนภาปรากฏตัวข้างกายพวกเข้าทั้งหกทันที..
  ในช่วงเวลากลางวันเช่นนี้ศิษย์สำนักลิ่วเสวียนเหมินทั้งหกคน ต่างก็จ้องมองหลิงหยุนแน่นิ่ง แต่แล้วจู่ๆ พวกเขาก็คุกเข่าลงตรงหน้าหลิงหยุนอย่างพร้อมเพรียงกัน
  “ท่านเซียน..ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิด!”   “…..”
  หลิงหยุนได้แต่นิ่งอึ้งไปและได้แต่คิดอยู่ในใจว่า เหตุการณ์เมื่อคืนคงจะน่าสะพรึงกลัวยิ่งสินะ พวกเขาจึงได้หวาดผวาถึงเพียงนี้
  แต่แล้วหลี่เฉิงเฟิงที่เพิ่งมาถึงพื้นดินหลังหลิงหยุนก็ตรงเข้าไปคว้าร่างของหนึ่งในหกขึ้นมา พร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า
  “พ่อหนุ่ม!ที่ใดมีกระจก เจ้าช่วยพาข้าไปหากระจกหน่อยจะได้หรือไม่”
  ชายหนุ่มผู้นั้นได้แต่พยักหน้างุนงงแต่ก็นำหลี่เพียวหยางไปจริงๆ
  “ฮ่าๆๆๆช่างหล่อเหลายิ่งนัก! ช่างหล่อเหลามากจริงๆ! ไม่มีชายชราที่ชื่อหลี่เพียวหยางอีกแล้ว แต่มีเพียงชายหนุ่มที่ชื่อหลี่เพียวหยาง!”
  ภายในบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆหลี่เพียวหยางร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะหายเข้าไปภายในสำนักลิ่วเสวียนเหมินทันที และพบหลุมศพใหม่อยู่เต็มไปหมด
  ดวงตาเทวะเทียนเอี๋ยนทง!
  หลิงหยุนจึงได้ใช้ดวงตาเทวะเทียนเอี๋ยนทงมองทะลุหลุมศพลงไปและพบร่างไร้วิญญาณถูกฝังอยู่ด้านล่างมากมาย สภาพศพแต่ละศพนั้น มีสภาพเวทนาไม่ต่างจากศพที่เขาพบในสำนักฉางชุนเลยแม้แต่น้อย ทุกศพล้วนแห้งเหี่ยว แต่เนื่องจากมิมีโลงศพบรรจุ ร่างไร้วิญญาณเหล่านั้นจึงปะปน และแปดเปื้อนไปด้วยธุลีดิน ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนนัก
  หลังจากที่ได้เห็นภาพที่โหดเหี้ยมเช่นนี้หลิงหยุนจึงได้แต่รำพึงรำพันออกมา “เกินไป! เจ้าทำเกินไปแล้ว!”
  ไม่แปลกเลยที่โจวเหวินอี้ร้อนใจถึงเพียงนี้และเหล่าอาวุโสคนอื่นๆในหน่วยนภา ต่างก็พากันร้อนใจ และอยากจะออกมาสะสางปัญหาในครานี้กันอย่างมาก
  แม้ว่าเหล่าอาวุโสของหน่วยนภาจะมาจากต่างสำนักกัน แต่พวกเขาก็มีจิตใจที่ต้องการจะช่วยเหลือด้วยใจจริง อย่าว่าแต่พวกเขามีตำแหน่งเป็นถึงอาวุโสหน่วยนภาเลย ต่อให้เป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไป หากได้พบเห็นผู้คนต้องตายอย่างน่าเวทนาเช่นนี้ ย่อมอดรนทนไม่ได้ และคงต้องลุกขึ้นมาช่วยเช่นกัน!
  “นี่นางกำลังคิดทำสิ่งใดกันแน่”
  “หรือการที่นางเลือกใช้วิชามารทำร้ายผู้คนเช่นนี้เป็นเพราะต้องการยั่วให้คุนหลุนโกรธงั้นรึ”
  แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายวูบหนึ่งด้วยความโกรธแต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวก็สงบลง และเขาก็คิดว่า เป็นไปได้มากที่เทพธิดาผู้นี้ต้องการที่จะสร้างแรงกดดัน เพื่อให้คุนหลุนยอมเปิดประตูทางเข้าอีกครั้ง
  การที่หนิงหลิงยู่นำคนตระกูลหนิงถล่มสำนักน้อยใหญ่บนเทือกเขาคุนหลุนนั้นเห็นได้ชัดว่า นางมิได้ต้องการเพียงแค่สร้างความโกรธแค้นให้กับชาวยุทธทั่วทั้งประเทศ แต่ยังมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น..   คือการสร้างหายนะให้กับประเทศในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ!
  “ท่านเจ้าสำนัก!หลังจากนี้พวกเราจะไปสำรวจที่ใดต่อดี..”
  หลังจากที่ส่องกระจกจนพอใจแล้วหลี่เพียวหยางก็เหาะไปหาหลิงหยุน พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นทันที
  หลิงหยุนส่ายหน้าไปมาพร้อมตอบกลับไปว่า “ไม่ต้องสำรวจอีกแล้ว! ภายในเวลาเพียงแค่เจ็ดวัน กลับเสียหายมากมายถึงเพียงนี้ ต่อให้ไปสำรวจต่อ ก็คงพบแต่ร่องรอยของโศกนาฏกรรมที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น!”
  “ข้าเห็นด้วยกับท่านเจ้าสำนัก!”
  “เท่าที่สำรวจมาพอจะประเมินได้ว่า คืนนี้พวกมันคงจะต้องไปที่สำนักกระบี่คุนหลุนเป็นแน่ พวกเรารอให้ฟ้ามืด แล้วจึงค่อยเดินทางไปสำนักกระบี่คุนหลุนจะดีหรือไม่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร