บทที่ 1633 เตรียมพร้อมสำหรับศึกใหญ่
“ฮ่าๆๆๆ”
“เฮ่ๆๆๆ”
หลังจากนั้นหลี่เพียวหยางก็เอาแต่หัวเราะไม่หยุด นั่นเพราะเขาขอให้ศิษย์ทั้งหกของสำนักลิ่วเสวียนเหมินไปนำกระจกบานใหญ่กว่าเดิมมาให้ และเวลานี้ ทั้งหมดก็กำลังยืนถือกระจกบานใหญ่แนบอก พร้อมกับยืนล้อมร่างของหลี่เพียวหยางไว้ ให้เขาสามารถหันมองกระจกได้รอบตัว
หลี่เพียวหยางยืนอยู่ตรงกลางพร้อมกับหันซ้ายทีขวาทีอยู่อย่างนั้น..
และในกระจกทุกบานที่ปรากฏขึ้นนั้นไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นภาพของหลี่เพียวหยางในวัยหนุ่ม ที่กำลังจ้องมองมาทางตนเอง เป็นท่ายืนกอดอกบ้าง เท้าสะเอวบ้าง หรือแม้แต่เอามือเชยคาง..
ท่าทางของหลี่เพียวหยางในเวลานี้ได้สร้างเสียงหัวเราะให้กับศิษย์ทั้งหกคนของสำนักลิ่วเสวียนเหมิน จนลืมความหวาดกลัวไปได้ชั่วคราว
หลิงหยุนเห็นท่าทางของหลี่เพียวหยางแล้วก็ได้แต่รู้สึกอับอาย จนไม่กล้าเข้าไปใกล้ จนต้องหลีกหนีไปยืนอยู่ห่างๆ
“เฮ้อ..นี่จะเป็นเพราะฤทธิ์ของโอสถโฉมสะคราญ ที่ข้าให้เขากลืนเข้าไปหรือไม่นะ”
และนี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหยุนเริ่มคลางแคลงใจ ในฝีมือการหลอมกลั่นโอสถของตนเอง!
ในเวลานั้นหลิงหยุนได้หนีไปหลบซ่อนตัวอยู่บนหน้าผาแห่งหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นเสียงหัวเราะของหลี่เพียวหยางก็ยังคงลอยเข้ามาในหูของเขาไม่หยุด
“หลี่เพียวหยาง!นี่เจ้าจะหยุดได้แล้วหรือไม่”
หลิงหยุนไม่สามารถอดรนทนต่อไปได้อีกจึงได้ไปปรากฏกายยืนขวางหน้าหลี่เพียวหยางไว้ พร้อมกับร้องตะโกนห้ามมิให้เขาได้พร่ำเพ้อกับกระจกอีก..
ในระหว่างนั้นหลี่เพียวหยางกำลังยืนเอามือเชยคางจ้องมองกระจกตรงหน้าอยู่พอดี แต่เมื่อจู่ๆ หลิงหยุนปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้เขาถึงกับตกใจ จนผงะถอยหลังทันที!
เสียงหัวเราะดังลั่นของหลี่เพียวหยางพลันเปลี่ยนเป็นเสียงไอแค๊กๆ อย่างรุนแรงขึ้นมาทันที
“แค๊กๆๆๆ”
“ท่านเจ้าสำนัก..แค๊กๆ ข้าเองก็พยายามที่จะไม่หัวเราะ แต่เมื่อเห็นภาพของตัวเองยามนี้ในกระจก ข้าเองก็อดที่จะดีใจจนหัวเราะออกมาไม่ได้จริงๆ ฮ่าๆๆ”
“ข้าได้กลับมาเป็นชายหนุ่มแล้วท่านเจ้าสำนัก!ข้าได้กลับมาหนุ่มแน่นขึ้นอีกครั้งแล้ว! ข้าแทบไม่อยากเชื่อจริงๆว่านี่คือความจริง! ข้าเกรงว่าหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ตนเองจะกลับกลายเป็นชายชราดังเดิม ถึงตอนนั้นข้าควรทำเช่นใดดี ฮ่าๆๆ ท่านเจ้าสำนัก ท่านเองกำลังอยู่ในวัยหนุ่ม ขอให้ข้าได้ชื่นชมช่วงเวลาดีๆเช่นนี้เสียหน่อยเถิด!”
หลิงหยุนถึงกับทำสีหน้าไม่ถูกและไม่รู้ว่าควรจะปฏิเสธคำร้องขอของหลี่เพียวหยางดีหรือไม่ แต่สีหน้าเคร่งเครียดนั้นก็เอ่ยตอบกลับไปทันที
“ไม่ได้!”
หลี่เพียวหยางถึงกับทำสีหน้าผิดหวังและรีบเอ่ยถามหลิงหยุนออกไปว่า “ท่านเจ้าสำนัก เหตุใดจึงไม่ได้เล่า ข้ามิได้ทำเรื่องผิดต่อท่านเสียหน่อย”
หลิงหยุนครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับไปว่า “เจ้ากลืนโอสถโฉมสะคราญเข้าไป ทำให้ตนเองกลับกลายเป็นชายหนุ่มเช่นนี้ การจะดีอกดีใจและมีความสุขย่อมเป็นเรื่องปกติ! แต่ดูสีหน้าท่าทางของเจ้าเวลานี้สิ มันออกจะเกินเลยไปมาก! จนข้าอดคิดไม่ได้ว่า..”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยต่อว่า “โอสถที่เจ้ากลืนลงไปนั้น อาจะมิได้กระจายไปทั่วร่าง แต่กลับไปสะสามอยู่ที่ตำแหน่งหัวใจมากจนเกินไป จึงทำให้เจ้าดีอกดีใจจนผิดปกติเช่นนี้!”
หลี่เพียวหยางได้ฟังถึงกับมีสีหน้าตกอกตกใจและรีบร้องตะโกนถามหลิงหยุนหน้าตาตื่น
“จริงหรือท่านเจ้าสำนัก!ท่าน.. ท่านได้โปรดช่วยข้าที! ข้า.. ข้าควรทำเช่นใดดี โอสถที่เหลือจึงจะกระจายไปทั่วร่างได้!”
“เฮ้อ..โอสถชนิดเดียวกัน แต่ใช่ว่าทุกคนจะมีพื้นฐานร่างกายที่เหมือนกัน หรืออยู่ในวัยเดียวกัน! หากจะทำให้โอสถที่คั่งค้างอยู่ที่ใดที่หนึ่งกระจายไปทั่วร่างได้นั้น มีเพียงหนทางเดียว.. คือเจ้าต้องให้ผู้อื่นช่วย!”
หลังจากเอ่ยตอบหลี่เพียวหยางไปแล้วหลิงหยุนก็แสร้งทำสีหน้าเคร่งเครียด และเต็มไปความวิตกกังวล
หลี่เพียวหยางเห็นสีหน้าของหลิงหยุนในเวลานี้ก็ถึงกับตกอกตกใจเป็นยิ่งนัก เขารีบอ้อนวอนขอร้องหลิงหยุนทันที “ท่านเจ้าสำนักได้โปรดช่วยแก้ไขให้กับข้าด้วยเถิด! ได้โปรดช่วยข้าด้วย..”
“หากเจ้าต้องการให้ข้าช่วยข้าก็พอมีหนทาง..”
“ทำอย่างไรหรือท่านเจ้าสำนัก”หลี่เพียวหยางร้องตะโกนถามด้วยความหวัง
“เพียงแต่..เจ้าจะต้องทนเจ็บปวดเล็กน้อย!”
“ท่านเจ้าสำนักข้าไม่หวั่นเกรงต่อความเจ็บปวดแม้แต่น้อย เชิญท่านรักษาให้ข้าได้เลย!” หลี่เพียวหยางตอบกลับอย่างไม่ลังเล
“เช่นนั้นก็ดีเอาล่ะ.. ข้าจะเริ่มแล้วนะ!”
ปัง!
สิ้นคำพูดประโยคสุดท้ายกำปั้นของหลิงหยุนก็ซัดเข้าใส่ใบหน้าของหลี่เพียวหยางทันที ร่างของเขาถึงกับล้มคะมำไปกับพื้น แต่หลิงหยุนกลับมิได้หยุดเพียงแค่นั้น เขาตามเข้าไปยกร่างของหลี่เพียวหยางขึ้นมา พร้อมกับซัดหมัดเข้าไปอีกไม่ยัง ปัง..ปัง.. ปัง..
กำปั้นของหลิงหยุนรัวเข้าใส่ร่างของหลี่เพียวหยางอย่างต่อเนื่อง..
หลี่เพียวหยางกรีดร้องออกมาไม่หยุดหลังจากหมัดแรกหลี่เพียวหยางก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่า ถูกหลิงหยุนหลอก และเขาก็พยายามที่จะวิ่งหนี แต่มีหรือที่หลิงหยุนจะยอมปล่อยให้หลุดมือไป
หลังจากกระหน่ำหมัดเข้าใส่ร่างของหลี่เพียวหยางสิบกว่าหมัดพอหอมปากหอมคอหลิงหยุนจึงได้หยุดเพียงแค่นั้น แล้วจับร่างของหลี่เพียวหยางโยนกลับไปที่เดิม
‘อืมม..สนุกไม่น้อยทีเดียว!’
ในขณะที่หลิงหยุนกำลังรู้สึกสนุกสนานแต่หลี่เพียวหยางกลับกำลังร้องห่มร้องไห้..
“เอาล่ะ!คราวนี้โอสถคงจะกระจายไปทั่วร่างของเจ้าแล้ว ลองไปส่องกระจกดูอีกครั้งสิ!” หลิงหยุนเอ่ยบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
หลี่เพียวหยางลุกขึ้นยืนและพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นมองกระจกตรงหน้า แต่แล้วเขาก็รีบหลับตา และยกฝ่ามือสองข้างขึ้นปิดหน้าทันที นั่นเพราะ ชายหนุ่มที่อยู่ในกระจกนั้น ตามใบหน้ามีรอยเขียวช้ำอยู่เต็มไปหมด มิหนำซ้ำใบหน้ายังบวมเปล่งราวกับซาลาเปาลูกใหญ่!
“ท่านเจ้าสำนักข้ารู้สึกว่าโอสถได้กระจายไปทั่วร่างแล้วจริงๆ!” หลี่เพียวหยางเอ่ยตอบหลินหนาน เขาแทบอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ก็ไร้ซึ่งน้ำตา
หลิงหยุนยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “ข้าให้เจ้ายืมกระบี่ ทดลองร่ายรำต่อหน้ากระจกดีหรือไม่”
“ไม่!ไม่ต้องดีกว่าท่านเจ้าสำนัก!”
ใบหน้าบวมเปล่งราวกับซาลาเปาของหลี่เพียวหยางส่ายไปมาอย่างรวดเร็วขณะเอ่ยตอบหลิงหยุนกลับไป
“ไม่ต้องจริงรึ”
“ไม่ต้องแล้วจริงๆท่านเจ้าสำนัก!ข้าหายดีแล้วจริงๆ”
หลี่เพียวหยางได้ฝืนยิ้มกว้างแม้จะเจ็บปวดและได้แต่แอบคิดในใจว่า ‘นี่กระมังที่เรียกว่า ความสุขซึ่งมาพร้อมกับความทุกข์!’
ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะมีความสุขอย่างมากที่หลิงหยุนมอบโอสถหลงหู่ให้หลังจากเหาะออกมาจากสำนักเฉิงชุน จู่ๆ หลิงหยนก็ได้มอบโอสถโฉมสะคราญให้กับเขา นอกจากโอสถนี้จะช่วยให้เขาสามารถทะลวงขั้นพลังที่ติดอยู่นานหลายปีได้แล้ว ยังทำให้เขากลับกลายเป็นชายหนุ่มอีกด้วย
และเวลานี้ต่อให้เขาไปยืนเปรียบอยู่ข้างๆหลิงหยุน ก็ยังไม่อาจบอกได้ว่า ผู้ใดอายุมาก หรืออายุน้อยกว่ากัน!
เช่นนี้แล้วจะมิให้เขาดีใจจนออกนอกหน้าได้อย่างไรกัน แต่ท่านเจ้าสำนักก็ยังคงเป็นท่านเจ้าสำนัก เขาสามารถหาเหตุผลมาหลอกทำร้ายกลับได้อย่างง่ายดาย..
“แล้วยังอยากส่องกระจกอยู่อีกหรือไม่”หลิงหยุนเอ่ยถามยิ้มๆ “ไม่แล้วท่านเจ้าสำนัก!ข้าเป็นถึงมือกระบี่ในขั้นปาเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-8) อีกทั้งยังเป็นผู้รักษากฏของสำนักกระบี่หลิงหยุน เหตุใดข้ายังต้องสนใจเรื่องอื่นอีกเล่า”
หลังจากบอกกับหลิงหยุนไปแล้วหลี่เพียวหยางจึงได้หันไปสั่งศิษย์ทั้งหกของสำนักลิ่วเสวียนเหมิน
“พวกเจ้าทั้งหกคนรีบเอากระจกนี่ไปทิ้งเสียโยนทิ้งให้ไกลที่สุดเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!”
แต่ดูเหมือนการล้อเล่นของหลิงหยุนเมื่อครู่นี้จะนำความทรงจำอันเลวร้ายของพวกเขาทั้งหกกลับคืนมา เวลานี้ ทั้งหกคนต่างก็มีใบหน้าซีดเผือด พวกเขาค่อยๆเดินถือกระจกออกไปอย่างช้าๆ
เปรียะ..เปรียะ..
ทั้งหกคนก้าวเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวกระจกในมือของพวกเขาก็แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และหลังจากกระจกทั้งหกใบแตกหมดแล้ว หลิงหยุนก็พุ่งปราดเข้าไปหาร่างของหลี่เพียวหยาง พร้อมกับแปะอะไรบางอย่างไว้บนหน้าผากของเขา
สิ้นเสียงร้องตะโกนสั่งยันต์ของหลิงหยุนหลี่เพียวหยางก็รู้สึกเย็นสบายไปทั่วทั้งใบหน้า..
“ข้าทำให้เจ้าหน้าบวมเป็นหัวหมูเช่นนี้ได้ก็สามารถทำให้เจ้ากลับไปเหมือนเดิมได้เช่นกัน!”
หลี่เพียวหยางยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมใบหน้าพร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยความดีอกดีใจ
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่เมตตา!ฮ่าๆๆ”
“ท่านเจ้าสำนักอย่าหาว่าโอ้อวดเกินจริงเลยนะ! โอสถของท่านนั้น ไม่เพียงทำให้ร่างกายของข้ากลับไปเป็นหนุ่ม แต่ความคิด และจิตใจของข้ากลับกลายเป็นหนุ่มไปด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าหนุ่มขึ้นทั้งกายและใจเลยทีเดียว!”
“เยี่ยม!”
หลิงหยุนพยักหน้าและสิ่งที่หลี่เพียวหยางกล่าวก็หาได้เกินจริงไม่ แต่ใช่ว่าหลายคนที่กลืนโอสถโฉมสะคราญไปแล้ว จะเป็นเหมือนกับหลี่เพียวหยางกันทุกคน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับศักยภาพทางจิตใจของแต่ละคนด้วย
แต่แล้วจู่ๆหลี่เพียวหยางก็หันมองไปทางศิษย์ทั้งหกของสำนักลิ่วเสวียนเหมิน ที่ได้แต่ยืนนิ่งเงียบอย่างน่าสงสาร หลี่เพียวหยางเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่หันไปถามหลิงหยุนว่า
“ท่านเจ้าสำนักหากพวกเราไปแล้ว จะทำเช่นใดกับคนทั้งหกดี”
“ข้าคงต้องทำการรักษาให้กับพวกเขาแต่มิใช่เวลานี้!”
หลิงหยุนทำสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นจึงสั่งหลี่เพียวหยางไปว่า “เจ้าส่งข้อความบอกกัวผิง ให้มานำตัวพวกเขาทั้งหกไปที่ไว้ที่สำนักกระบี่หลิงหยุนก่อน ให้พวกเขาได้มีเวลาพักฟื้นจิตใจ หลังจากข้าเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว จึงค่อยไปรักษาให้กับพวกเขา..”
“ท่านเจ้าสำนักช่างมีจิตใจเมตตานักข้าจะจัดการทุกอย่างตามคำสั่งของท่านเดี๋ยวนี้!” หลังจากนั้นหลิงหยุนก็บอกกับหลี่เพียวหยางต่อว่า “ข้าจะไปจากที่นี่ชั่วคราวก่อน และจะกลับมาอีกทีในตอนเย็น!”
หลี่เพียวหยางได้แต่ทำสีหน้างุนงงแต่ไม่กล้าถาม หลิงหยุนจึงได้บอกเขาไปโดยไม่คิดที่จะปิดบัง “คืนนี้มีภารกิจสำคัญต้องทำ!”
“หลังจากที่ได้สำรวจสิ่งที่เกิดขึ้นกับสำนักฉางชุนและสำนักลิ่วเสวียนเหมินแล้ว ข้าพบว่าในเวลานี้ คนตระกูลหนิงดูเหมือนจะเลวร้ายขึ้นกว่าเดิมมาก พวกเขาหลงเหลือความเป็นมนุษย์อยู่น้อยเต็มที จึงคาดเดาได้ยากว่าพวกเขาคิดที่จะทำอะไรอีก ฉะนั้นแล้ว..”
หลี่เพียวหยางรีบเอ่ยแทรกขึ้นมาทันที“ข้าว่าพวกเขาคงจะต้องสังหารศิษย์สำนักต่างๆให้มากกว่านี้..”
หลิงหยุนส่ายหน้าไปมาพร้อมตอบกลับไปว่า“ไม่ใช่เช่นนั้นเสียทีเดียว! ทุกครั้งที่น้องสาวของข้าบุกถล่มสำนักต่างๆ นอกจากนางจะสังหารศิษย์สำนักกลุ่มหนึ่งตายไป นางจะรวบรวมศิษย์สำนักคนอื่นๆที่ยินยอม เพื่อใช้คนเหล่านั้นเป็นกองกำลังของนาง และข้าเชื่อว่าเวลานี้ นางคงจะมีกองกำลังมารไม่ต่ำกว่าสองร้อยคนแล้วเป็นแน่..”
“ภารกิจในคืนนี้จะเป็นการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายข้าจะเป็นผู้จัดการรับมือกับน้องสาวของข้าเอง ส่วนเจ้ากับศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุน มีหน้าที่รับมือกับลูกสมุนมารของนาง..”
“น้อมรับคำสั่งท่านเจ้าสำนัก!”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้ใช้ก้าวเทวะเทียนจู่ทงมุ่งหน้าออกจากสำนักลิ่วเสวียนเหมินทันที หลังจากนั้น หลิงหยุนก็ได้หยิบเครื่องมือสื่อสารออกมา เขาติดต่อไปหาพอล และสั่งให้พอลกับแวมไพร์ทั้งสี่ พร้อมด้วยหวังชงเซียวเตรียมตัวออกเดินทางทันที
แวมไพร์ทั้งห้าตนกับหวังชงเซียวอีกหนึ่งนั้นนับเป็นกองกำลังสำคัญของหลิงหยุนในการออกศึก และที่สำคัญ แวมไพร์ทั้งห้าของเขาไม่เคยกลัวตาย!
หลังจากเก็บเครื่องมือสื่อสารไปแล้วหลิงหยุนก็ได้สื่อสารกับโฉวเปิ่นสมุดจักรพรรดิทันที พร้อมกับสั่งว่า
“อาวุโสได้โปรดช่วยข้าพาพวกเขามาที่นี่โดยเร็วด้วย!”
“ยินดีอย่างยิ่ง!”
โฉวเปิ่นตอบหลิงหยุนกลับไปยิ้มๆเพียงแค่พริบตาเดียว หลิงหยุนก็ไปปรากฏตัวที่เกาะตงอ๋าว
“พวกเจ้าไปกับข้าคืนนี้พวกเราต้องเผชิญกับศึกครั้งใหญ่!”
ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้นหลิงหยุนก็มิได้อธิบายอะไรมากมาย เพียงแค่ร้องตะโกนบอกคนทั้งหกเพียงแค่สั้นๆ
………
ภายในหมู่บ้านตระกูลฉิน..
ในราวห้าโมงเย็นหลิงหยุนก็ได้ปรากฏกายขึ้นภายในบ้านของฉินจิวยื่อ ซึ่งนางอาศัยอยู่ตามลำพังผู้เดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร